บทที่ 10 เรียกท่านแม่

ตอนที่ 10 เรียกท่านแม่

ซูเสียวเสี่ยวเอ่ย “เสื้อตัวเดียวเองเจ้าคะ ไม่ถึงกับต้อง…”

ซูเฉิงรู้สึกคัดจมูกและลำคอตีบตัน “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเย็บเสื้อให้พ่อ…”

“ซื้อเจ้าค่ะ…”

“เหมือนกันนั่นแหละ”

แต่สำหรับข้ามันไม่เหมือนกัน

ซูเสียวเสี่ยวมองพ่อซู ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง

จอมอันธพาลแห่งหมู่บ้านซิ่งฮวาเวลาได้รับเสื้อนวมจากบุตรสาวแล้วมีปฏิกิริยาแบบนี้เองเหรอแล้วฉันต้องรับช่วงต่อยังไงดีเนี่ย

ซูเฉิงตื้นตันสุดหัวใจ น้ำตาเอ่อคลอ “พอแต่งงานแล้วก็ต่างไปจริงๆ ลูกสาวข้าโตแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าจะทำดีกับลูกเขยแน่นอน”

ไม่ใช่สิ เกี่ยวอะไรกับเว่ยถิง

นางเป็นคนซื้อเสื้อนะ

เจ้าหมอนั่นไม่ได้ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว

ท่านจะทำดีกับเขาทำไม จัดการเขาสิถึงจะถูกต้อง

“ต้ายา นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” ซูเฉิงพูดกับซูเสียวเสี่ยว

“เจ้าค่ะ” ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยตอบ “ท่านก็พักผ่อนได้แล้วเจ้าค่ะ”

ซูเฉิงพยักหน้า

ซูเสียวเสี่ยวกลับหลังหันเดินออกไป

เสียง ฮือ ดังสนั่นจากด้านในทันทีที่ประตูปิดลง

…ดูเหมือนว่าเป็นพ่อซูที่อยู่ในห้องกำลังกอดเสื้อนวมที่บุตรสาวซื้อให้…น้ำตาของชายมุทะลุดุดันกำลังไหลทะลัก

รูปร่างตุ้ยนุ้ยของซูเสียวเสี่ยวพลันสั่นระริก

ชาวบ้านรู้หรือเปล่าว่าอันธพาลซูเป็นคนแบบนี้

ซูเสียวเสี่ยวไปหาซูเอ้อร์โก่วที่ท้ายเรือนต่อ

ซูเอ้อร์โก่วกำลังอาบน้ำเย็นอยู่ที่ท้ายเรือน ซูเฉิงเป็นคนสอนเขาว่าการอาบน้ำเย็นในฤดูหนาวจะช่วยเพิ่มสมรรถนะของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น

ซูเอ้อร์โก่วจึงไม่อาบน้ำร้อนอีกตั้งแต่แปดขวบและร่างกายของเขาก็แข็งแรงจริงๆ

…ซูเสียวเสี่ยวเกิดความสงสัยในตัวซูเฉิงอย่างจริงจังว่าเขาน่าจะแค่ขี้เกียจต้มน้ำร้อนให้ซูเอ้อร์โก่วเท่านั้น

“เอ้อร์โก่ว”

“พี่หรือ”

ซูเอ้อร์โก่วเพิ่งราดน้ำเย็นลงหัวก็พบว่าซูเสียวเสี่ยวเดินมาแล้ว

ลมหนาวกระโชกเช่นนี้ ทั้งเนื้อตัวของเขามีเพียงกางเกงในที่เปียกปอนหนึ่งตัว

ซูเสียวเสี่ยวเห็นแล้วยังรู้สึกหนาวแทน

“ข้าซื้อเสื้อนวมมาให้เจ้า เดี๋ยวข้าวางไว้ในห้องเจ้านะ เจ้าอาบเสร็จแล้วลองใส่ดู ถ้าไม่พอดีตัวก็บอกข้า ไว้ข้าเอาไปแก้ในเมือง”

“ขอรับ”

ซูเอ้อร์โก่วตอบรับอย่างฉะฉานรวดเร็ว จากนั้นก็ยกขันขึ้นราดตัวอาบน้ำต่อ

เขาพบว่าซูเสียวเสี่ยวยังไม่ไปและจ้องเขานิ่งไม่ขยับจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่ มีเรื่องอื่นอีกรึ”

ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถามออกไปอย่างระมัดระวัง “เจ้า อยากร้องไห้หรือไม่”

“หืม” ซูเอ้อร์โก่วชะงักครู่หนึ่งก็ส่ายหัว “ไม่อยาก ทำไมข้าต้องอยากร้องไห้ด้วย”

ซูเสียวเสี่ยวโบกมือปัดๆ แล้วกล่าว “เช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว เจ้ารีบอาบน้ำรีบเข้าไปด้านในเถอะ ระวังเป็นไข้”

ดูเหมือนว่าคนตระกูลนี้มีเพียงซูเอ้อร์โก่วเท่านั้นที่ไม่ใช่คนขี้แย การเป็นคนซื่อก็มีข้อดีอย่างคนซื่อๆ นี่เอง

ซูเสียวเสี่ยวเข้าไปในห้องซูเอ้อร์โก่ว

เด็กน้อยสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิเล่นไม้ประกอบอยู่บนเตียง

เป็นของเล่นที่เจ้าของร่างเดิมกับซูเอ้อร์โก่วเคยเล่นเมื่อยังเป็นเด็ก วันนี้ซูเฉิงใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นออกมาจากหีบ มันคล้ายคลึงกับตัวต่อแผ่นไม้ประดิษฐ์เจ็ดชิ้น แต่ไม่ได้มาตรฐานเช่นนั้น

เด็กๆ ไม่ร้องไห้ไม่ซุกซน เวลาไม่มีคนคอยดูแล พวกเขาสามารถหาสิ่งของเล่นเองได้ เลี้ยงง่ายกว่าหนิวต้านที่อยู่เรือนข้างๆ มาก

ซูเสียวเสี่ยวหอบเสื้อผ้าเดินเข้าไปหา

เด็กสามคนแหงนหน้ามองนาง แววตาน่ารักน่าเอ็นดู เขินอายเล็กน้อย

หัวใจน้าหญิงของซูเสียวเสี่ยวแทบจะทะลักออกมาแล้ว

ถึงจะมีพ่อที่เชื่อถือไม่ได้ แต่เด็กน้อยสามคนนี้ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง

น่ารักกว่าตุ๊กตาในตู้คีบที่นางเคยซื้อเมื่อชาติที่แล้วทุกตัว

ซูเสียวเสี่ยววางเสื้อผ้าตัวใหม่ไว้บนหัวเตียง จากนั้นหยิบชุดเล็กๆ สามชุดมาเปลี่ยนให้เด็กสามคน

นางใส่เสื้อผ้าให้พวกเขาแล้วเมื่อเช้าจึงพอรู้ขนาดตัวของพวกเขาอยู่บ้าง เสื้อนวมที่ซื้อมาก็ล้วนพอดีตัว

“ลุกขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ” นางกล่าว

เด็กสามคนยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นบนเตียงกันไปมา

ขนาดกางเกงก็พอดี ไม่ยาวเกินขาและไม่หลวมจนอาจหลุดลงไป

“เอาล่ะ วันนี้เล่นแต่เพียงเท่านี้ ถึงเวลานอนแล้วนะ”

ซูเสียวเสี่ยวเก็บของเล่นบนเตียง จัดวางผ้าห่ม ถอดเสื้อให้ทั้งสามคนแล้วพาเด็กๆ เข้าไปอยู่ในผ้าห่มทีละคน

นางไม่รู้ว่าเด็กน้อยสามคนนี้กลัวความมืดหรือไม่ ตอนนางเป็นเด็กนางกลัว

นางวางตะเกียงน้ำมันไว้บนโต๊ะหนึ่งอันแล้วตรวจดูมุมผ้าห่มของแต่ละคนอีกครั้ง

ขณะที่นางกำลังจะหันหลังเดินออกไป หนึ่งในสามคนนั้นไม่รู้ว่าใครพลันเรียกขึ้นมาคำหนึ่งว่าท่านแม่

ซูเสียวเสี่ยวแทบสะดุดล้ม

“ใครเรียกรึ”

นางหันกลับไปมองเด็กสามคนที่ห่อตัวในผ้าห่มด้วยความตกตะลึง

เด็กสามคนมองนางอย่างไร้เดียงสา

นางพูดแก้อย่างจริงจัง “เรียกมั่วๆ ไม่ได้นะ เข้าใจหรือไม่ ข้าไม่ใช่แม่ของพวกเจ้า”

เด็กสามคนยังคงมองนางเช่นเดิม

นางถอนหายใจ ช่างเถอะ พวกเขายังเด็ก เคยได้ยินว่าเวลาเด็กกำลังหัดพูดมักจะเรียกมั่วๆ

เมื่อชาติก่อน มีเด็กๆ วัยก่อนชั้นอนุบาลจำนวนไม่น้อยที่มักเรียกคนแปลกหน้าว่าแม่

พวกเขาก็คงเป็นเช่นนั้น

ซูเสียวเสี่ยวไปห้องเว่ยถิงเป็นห้องสุดท้าย

นางไม่สุภาพกับเว่ยถิงขนาดนั้นแล้ว โยนเสื้อผ้าใส่ตัวเขาทันที

เว่ยถิงใกล้จะนอนหลับแล้วพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“เจ้า…”

“เชอะ!”

ซูเสียวเสี่ยวหันหลังเดินออกไปอย่างเหย่อหยิ่งและไม่หันกลับมาอีกเลย

...

เช้าวันถัดมา ซูเสียวเสี่ยวยังพยายามตื่นแต่เช้าตรู่

นางดึงแผ่นปิดแผลบนหลังมือออก

แผ่นปิดแผลแบบนี้มีลักษณะคล้ายผิวหนังของคน ถ้าไม่ดูใกล้ๆ จะดูไม่ออก เพราะเหตุนี้คนในเรือนจึงไม่มีคนรู้ว่านางบาดเจ็บ

“ยาชนิดใหม่ของอาคารวิจัยได้ผลดีทีเดียว ปากแผลยาวขนาดนี้ยังสมานแผลได้ในคืนเดียว”

“ดูจากอาการแล้ว อีกสองวันก็คงหายดีกลับมาเป็นปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น”

ช่างเป็นเหตุสุดวิสัยที่น่ายินดีเสียจริง

นางเปลี่ยนผ้าปิดแผลอันใหม่เสร็จก็เข้าครัวทำอาหารเช้า

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ นอกจากคนไข้เว่ยถิง คนที่เหลือทั้งหมดตื่นนอนกันหมดแล้ว และทุกคนยังสวมใส่เสื้อนวมที่ซูเสียวเสี่ยวซื้อให้

เด็กๆ ตื่นแต่เช้านั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แต่พ่อซูกับซูเอ้อร์โก่วสองคน ถ้าตะวันไม่โด่งฟ้า จะไม่ยอมตื่นไม่ใช่หรือ

เมื่อวานกว่านางจะปลุกซูเอ้อร์โก่วให้ตื่นได้ นางเสียพลังงานไปเยอะมาก

“วันนี้อากาศไม่เลวนะ ออกไปเดินเล่นกัน”

ซูเฉิงกล่าว

“ท่านพ่อพูดถูก”

ซูเอ้อร์โก่วกล่าว

เด็กน้อยสามคนพยักหน้าหงึกๆ ตาม

ซูเสียวเสี่ยวกล่าว “ยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยนะเจ้าคะ”

“กลับมาค่อยกิน”

พอสิ้นประโยค ซูเฉิงก็พาซูเอ้อร์โก่วและเด็กน้อยสามคนเดินฉับๆ ออกนอกประตูไป

ชาวบ้านคนแรกที่พบหน้าคือป้าโจวที่กำลังไปขุดหัวไชเท้าในสวน

ป้าโจวจับตะกร้าแน่นพร้อมกล่าว “ข้าไม่มีเงินหรอกนะ”

ซูเฉิงเดินกร่างเข้าไปหาพลางตบๆ แขนเสื้อตัวเอง “เสื้อตัวใหม่”

ป้าโจวทำหน้างงงวย

ซูเฉิง “ลูกสาวข้าซื้อให้”

ซูเอ้อร์โก่ว “พี่สาวข้าซื้อให้”

เด็กน้อยสามคน “ท่านแม่ซื้อให้”

ป้าโจว “…”

...

โรงหมอแห่งหนึ่งในตัวเมือง หมอกำลังทำแผลครั้งสุดท้ายให้กับจางเตา

บาดแผลที่ซูเสียวเสี่ยวทิ้งไว้สาหัสไม่เบา ซี่โครงของเขาหักไปสามซี่เต็มๆ

หากไม่ใช่ร่างกายที่ฝึกฝนการต่อสู้มายาวนาน ป่านนี้คงได้เป็นอัมพาตไปแล้ว

“พี่ใหญ่!”

ลูกน้องอีกสองคน คนหนึ่งสลบไม่ได้สติ ส่วนอีกคนขากะเผลก

คนที่เรียกคือคนที่สอง

แววตาแห่งความเคียดแค้นพาดผ่านดวงตาของจางเตา “ซูเฉิง เจ้าเลี้ยงบุตรสาวได้ดีจริงๆ! ฝากไว้ก่อนเถอะ! ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”