บทที่ 11 หาเรื่อง

ตอนที่ 11 หาเรื่อง

ซูเสียวเสี่ยวแวะไปห้องเว่ยถิงเช่นเคย

ไข้ลดแล้ว แต่อาการห้อเลือดอวัยวะภายในยังไม่หายดี ยังเป็นผู้ป่วยที่อ่อนแอเหมือนเดิม

“กินยาเองแล้วกันนะ”

ซูเสียวเสี่ยววางยาแก้อักเสบสองเม็ดกับยาแคปซูลบรรเทาอาการห้อเลือดสามเม็ดในถ้วยและยื่นให้เขา

นางรู้ว่าเขาตื่นแล้ว

“เจ้าเอายาอะไรให้ข้ากิน” เขาไม่เคยเห็นยาหน้าตาประหลาดเช่นนี้มาก่อน

ซูเสียวเสี่ยวแค่นเสียงหัวเราะ “โถ เป็นลูกเขยตระกูลนี้ไม่พอ ยังอยากรู้สูตรลับของตระกูลข้าอีกอย่างนั้นรึ”

“ใครอยากรู้กันล่ะ” เว่ยถิงเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา

พ่อซูกับซูเอ้อร์โก่วนั้นไม่รู้เรื่องที่ซูเสียวเสี่ยวรักษาอาการบาดเจ็บให้เว่ยถิง พวกเขายังคงนึกว่าเว่ยถิงทนอยู่ได้ด้วยยาจินฉวงที่เขาพกติดตัว

ส่วนเว่ยถิงกลับนึกว่าสองพ่อลูกรู้ว่าซูเสียวเสี่ยวเป็นคนรักษาเขา

ถึงแม้จะสงสัยว่าเหตุใดสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถึงเชี่ยวชาญด้านการรักษา แต่เขายังไม่สนิทสนมพอที่จะสนทนาเรื่องนี้กับโจรตระกูลนี้

ด้วยเหตุนี้ แอคหลุมของซูเสียวเสี่ยวก็ยังเป็นความลับอยู่

ต่อให้ความแตก ซูเสียวเสี่ยวก็ไม่กลัว ด้วยความรักที่พ่อซูกับซูเอ้อร์โก่วมีให้นางอย่างเต็มล้น ทำตีมึนไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

กลับเป็นเว่ยถิงต่างหากที่รับมือยากกว่า

ไว้มีโอกาส นางจะขุดความลับเกี่ยวกับเขาออกมาให้ได้

ที่เรือนมีเนื้อสัตว์แล้ว อาหารเช้าสำหรับวันนี้ ซูเสียวเสี่ยวทำเกี๊ยวนึ่งไปหลายชั่ง ต้มโจ๊กซี่โครงหมูใส่ผักไว้หนึ่งหม้อและปิ้งมันเทศไว้อีกหลายลูก

เมื่อคืนซูเอ้อร์โก่วปิ้งแล้ว เด็กน้อยทั้งสามคนดูเหมือนจะชอบกินมากทีเดียว

ในเมื่อตื่นกันหมดแล้ว ซูเสียวเสี่ยวจึงตั้งใจรอพวกเขากลับมากินอาหารเช้าพร้อมกัน

แต่นางรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นเงาคน

นี่เดินเล่นจนออกจากหมู่บ้านไปแล้วเหรอ

“ช่างเถอะ ไปเก็บฟืนสักหน่อยก่อนแล้วกัน”

ซูเสียวเสี่ยวยกโจ๊กซี่โครงหมูใส่ผักให้เว่ยถิงเสร็จก็หยิบเชือกป่านเดินไปยังป่าไม้ตรงหลังเขา

ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ นางได้พบเสี่ยวอู๋ซื่อเพื่อนบ้านเรือนข้างๆ อีกแล้ว

เสี่ยวอู๋ซื่อมาเก็บฟืนเหมือนกัน แต่นางสะดุดล้มโดยไม่ทันระวัง มิพักต้องพูดถึงฟืนที่ตกกระจายเต็มพื้น เท้าของนางกลับติดแหง็กขยับไม่ได้

นั่นเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ที่หักลงมาอยู่กลางป่า ขนาดชายหนุ่มวัยฉกรรจ์จะขยับยังไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วนับประสาอะไรกับเสี่ยวอู๋ซื่อซึ่งผอมแห้งเหลือแต่กระดูกผู้นี้เล่า

เสี่ยวอู๋ซื่อทั้งร้อนใจทั้งรู้สึกเจ็บ น้ำตาถึงกับไหลออกมา

แต่นางเป็นคนขี้อายตั้งแต่เกิด จึงไม่กล้าร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

ซูเสียวเสี่ยวไม่รู้ว่านางติดอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ท่าทางผอมแห้งแรงน้อยและไร้หนทางของนางก็ชวนให้รู้สึกสงสารจับใจ

ซูเสียวเสี่ยวจึงเดินเข้าไป

เมื่อเห็นหน้านาง เสี่ยวอู๋ซื่อก็เหมือนกระต่ายตื่นตกใจ สั่นสะท้านไปทั้งตัว

ซูเสียวเสี่ยวไม่พูดอะไร เพียงแต่โอบปลายด้านหนึ่งของต้นไม้ใหญ่

สองขาย่อตัวลงแล้วใช้แรงทั้งหมดยกปลายลำต้นขึ้นมา

นี่คือพลังของคนอ้วน!

ถ้าเปลี่ยนเป็นสาวสวยน้ำหนักสี่สิบห้า อย่างไรเสียก็ไม่มีทางอุ้มต้นไม่ใหญ่นี้ขึ้นมาได้แน่นอน

เสียวอู๋ซื่อขยับเท้าออกมาอย่างรีบร้อน

ปัง!

ต้นไม้ต้นใหญ่ฟาดลงกับพื้นอย่างแรง

“เหนื่อยแทบแย่!”

นางยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย

ซูเสียวเสี่ยวหายใจหอบพร้อมกับเดินมาตรงหน้าเสี่ยวอู๋ซื่อ นั่งยองๆ แล้วตรวจดูขาข้างขวาของนาง

“ฟกช้ำเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก เจ้ายังเดินได้หรือไม่”

เสี่ยวอู๋ซื่อพยักหน้าหงึกๆ อย่างขี้ขลาดพลางก้มเก็บฟืนที่อยู่บนพื้น

เมื่อเห็นท่าทางกะเผลกๆ ของนาง ซูเสียวเสี่ยวก็ถอนหายใจจึงเข้าไปช่วยนางมัดฟืนไว้ด้วยกันแล้วยกขึ้นบนบ่าของตัวเอง

“ตามมา”

เสี่ยวอู๋ซื่อมองดูซูตุ้ยนุ้ยจอมอันธพาลแย่งฟืนของนางนิ่งๆ และไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของอีกฝ่าย

ซูเสียวเสี่ยววางฟืนลงตรงหน้าประตูเรือนของนางเสร็จก็เดินจากไปทันที

อีกฝั่งหนึ่ง ซูเอ้อร์โก่วพาเด็กน้อยสามคนกลับมาอย่างสดใสร่าเริง

“ท่านพี่ พวกเรากลับมาแล้ว!”

ซูเสียวเสี่ยวเพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน “เอ๊ะ ทำไมถึงมีแค่พวกเจ้าสี่คนเล่า แล้วท่านพ่อล่ะ”

ซูเอ้อร์โก่วมองแวบเดียวก็เห็นฟืนที่อยู่ใกล้ๆ เท้าของนาง จึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ท่านพี่ไปเก็บฟืนมาหรือ งานอย่างนี้บอกข้าได้เลย ท่านพี่อย่าขึ้นเขาอีกเลยนะ”

“ข้าจะลดน้ำหนักน่ะ” ซูเสียวเสี่ยวตอบ “เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่าท่านพ่อไปที่ใด”

ซูเอ้อร์โก่วตอบ “อ้อ ท่านพ่อถูกคนเรียกเข้าเมืองน่ะ”

โรงหมอ

“พี่ซู เชิญทางนี้”

ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางซูเฉิงขึ้นไปยังห้องน้ำชาชั้นสอง “พี่เตารอพี่อยู่ด้านในขอรับ”

ซูเฉิงมองรอบๆ แล้วกล่าวงึมงำ “เหตุใดถึงมาดื่มชาในสถานที่เช่นนี้หรือ”

ชายหนุ่มยิ้มแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ

ซูเฉิงเดินเข้าไป

ภายในห้องมืดมาก กลิ่นเตียต๋าจิ่ว[footnoteRef:1]กับยาจินฉวงลอยเข้ามาแตะจมูก [1: เตียต๋าจิ่ว หรือ ดิทตาโจว (Dit ta jow) เป็นสมุนไพรทาบรรเทาแก้ปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ]

เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

จางเตานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดง แสงไฟสลัวช่วยปกปิดความอ่อนแอและผิวซีดเผือดของเขาได้พอดี

เขาหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “พี่ซูช่างเป็นคนมีธุระเยอะจริงๆ ผ่านมาตั้งหลายปีไม่คิดจะมาเยี่ยมน้องชายอย่างข้าเลยนะ”

ซูเฉิงหัวเราะดังฮ่าๆ เขาก้าวเท้าฉับๆ เดินเข้าไปหากำลังจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จางเตา แต่ลูกมือที่อยู่ด้านหลังจางเตาพลันออกมือดึงเก้าอี้ถอยหลังกลับมา

ซูเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย

จางเตากล่าวอย่างน่าเกรงขาม “เจ้านี่มันไร้มารยาทสิ้นดี! ยังไม่เอาเก้าอี้ให้พี่ซูนั่งอีก!”

“ขอรับ” อันธพาลผลักเก้าอี้ไปไว้ที่เดิม

การแสดงอำนาจเป็นลูกเล่นเก่าของคนในวงการนี้

ซูเฉิงนั่งลงอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังยิ้มสู้เอ่ยถามจางเตา “น้องชาย วันนี้เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดรึ”

จางเตาเผยรอยยิ้มเรียบๆ พร้อมกับกล่าว “พี่ซูพูดเช่นนี้ช่างดูห่างเหินเหลือเกิน หรือหากไม่มีธุระ สองพี่น้องอย่างพวกเราจะคุยถึงเรื่องเก่าๆ ด้วยกันไม่ได้เชียวรึ”

“แม่เอ็งน่ะสิ คุยเรื่องเก่าๆ…”

คำหยาบของซูเฉิงยังไม่ทันขาดคำ จางเตาก็พูดแทรกขึ้นมา “หลายวันก่อน นายท่านห้าส่งคนมาถามข้าว่าอยากตามท่านไปฝู่เฉิง[footnoteRef:2]หรือไม่” [2: ฝู่เฉิง สมัยโบราณหมายถึงเมืองที่ตั้งที่ทำการรัฐบาลระดับที่หนึ่ง]

นายท่านห้าคือผู้ที่นิสัยโหดเหี้ยมแม้แต่ขุนนางปกครองเมืองยังไม่กล้ายุ่ง

ซูเฉิงปรับเปลี่ยนทีท่าเป็นยิ้มแย้มและกล่าวต่อ “น้องชายได้รับการดูแลจากนายท่านห้าเช่นนี้ อนาคตคงรุ่งโรจน์ไร้จุดสิ้นสุดเลยล่ะสิ”

“ไอ้หนุ่มคนนี้ก็ได้มาจากนายท่านห้า” จางเตาแนะนำพลางชี้ไปยังมืออันธพาลที่อยู่ด้านหลัง

“ถึงว่าข้ามองแล้วดูไม่ธรรมดา” ซูเฉิงยิ้มและกล่าว “น้องชายมาเพื่อร่ำลาข้าอย่างนั้นรึ ไป เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปดื่มสักสองสามจอกที่ร้านชุนเฟิงเอง”

จางเตาเหยียดยิ้มทันใด “สุราเอาไว้ก่อน ถ้าพี่ซูตั้งใจจะส่งข้าจริงๆ มิสู้ให้ของขวัญข้าสักชิ้นดีกว่า”

ซูเฉิงรับปากอย่างไว “เจ้าอยากได้สิ่งใด ถ้าข้ามี ข้าจะนำมันมาให้เจ้าจงได้”

จางเตาหัวเราะและกล่าว “พี่มีและอยู่ในเรือนพี่ด้วย”

ซูเฉิงขมวดคิ้วย่น “อยู่ในเรือนข้ารึ”

จางเตาหัวเราะขึ้นอย่างมาดร้าย “บุตรสาวสุดที่รักของพี่ไง ซูต้ายา”

ซูเสียวเสี่ยวเก็บถ้วยชามตะเกียบเสร็จก็เดินออกทางประตูหลังครัว

ที่ด้านหลังห้องครัวของเรือนข้างๆ เสี่ยวอู๋ซื่อกำลังนั่งยองๆ แกะข้าวโพด นี่คืออาหารที่จะทำให้หนิวต้านลูกของเรือนรองกิน เมื่อเช้าจู่ๆ ก็พูดว่าอยากพริกหยวกผัดข้าวโพด

“ทำไมเจ้าเอาแต่ทำงานเล่า”

เสียงของซูเสียวเสี่ยวพลันดังขึ้นจนเสี่ยวอู๋ซื่อตื่นตกใจสะดุ้ง

โถ ขวัญอ่อนเสียจริง

ยังไม่ได้ทำอะไรแย่ๆ ออกไปเลย

ถึงแม้การพบหน้าทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซูเสียวเสี่ยวได้พยายามเผยความดีของตัวเองให้เสี่ยวอู๋ซื่อได้เห็นแล้วก็ตาม แต่ดูแล้วชื่อเสียงอันเลวร้ายของนางเมื่อก่อนคงแย่ถึงแย่ที่สุดจึงทำให้เสี่ยวอู๋ซื่อยังกลัวการเข้าใกล้ของนางไม่เปลี่ยน

ซูเสียวเสี่ยวหยิบข้าวโพดขึ้นมาแล้วตีที่ฝ่ามือ แปะๆ “อู๋ซื่อ ช่วยข้าที”

เสี่ยวอู๋ซื่อสูดหายใจลึก ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เจ้าซูตุ้ยนุ้ยจะรีดไถนางแล้ว…

โรงหมอ

เมื่อจางเตาพูดประโยคนั้นเสร็จ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของซูเฉิงเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว