บทที่ 14 ประวัติชีวิต

ตอนที่ 14 ประวัติชีวิต

“ถัง”

ซูเสียวเสี่ยวแก้ไขให้ถูกต้อง

“แม่”

เด็กน้อยสามคนไม่ยอมแก้ตาม

ซูเสียวเสี่ยวปวดหัวตุบ

คราวก่อนมีเด็กน้อยคนเดียวเท่านั้นที่เรียก คราวนี้เรียกพร้อมกันสามคน

แม้ว่า…เด็กๆ เริ่มเอ่ยปากเป็นเรื่องที่ดี แต่นางดีใจไม่ออกเลยสักนิด

นี่เป็นการเข้าใจผิดครั้งยิ่งใหญ่แสนงดงาม แต่นางไม่ได้เป็นแม่ของพวกเขานี่

เมื่อต้องเผชิญกับการเรียกผิดๆ ของเด็กน้อย ซูเสียวเสี่ยวก็ทอดถอนใจด้วยทำอะไรไม่ถูก

“เอาล่ะ กินเถอะ” นางยื่นถังหูลู่ใส่มือพวกเขา “ให้กินแค่หนึ่งอันนะ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะนอนไม่หลับ ที่เหลือค่อยกินพรุ่งนี้ เข้าใจหรือไม่”

พอสิ้นประโยค นางก็ลูบหัวเด็กสามคนแล้วเดินไปยังห้องครัว

เด็กน้อยสามคนถือถังหูลู่ มองนางตาปริบๆ ร่างจิ๋วดูเศร้าสร้อย

ซูเสียวเสี่ยวรอจนน้ำในห้องครัวเดือด ซูเอ้อร์โก่วก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ

“เอ้อร์โก่ว…”

“หา…”

ยังไม่ตกส้วม ถ้างั้นคงไม่เป็นอะไร

ซูเสียวเสี่ยวถือน้ำร้อนถังหนึ่งกลับเข้าห้องตัวเอง วันนี้นางสู้กับคนเป็นกลุ่ม ทั้งเนื้อตัวสกปรกไปหมด ต้องรีบอาบน้ำทำความสะอาดกันเสียหน่อย

นางกำลังจะถอดเสื้อผ้า พลันได้ยินเสียงไอค่อกแค่ก ดังมาจากห้องเว่ยถิง

นางตกใจจึงไม่สนใจเรื่องอาบน้ำแล้ว แต่เดินไปห้องข้างๆ ทันที

เว่ยถิงเพียงแค่สำลักน้ำดื่ม เมื่อเห็นว่ามีคนเดินมา เขาจึงรีบวางแก้วลงบนเก้าอี้ พลิกตัว หันแผ่นหลังอันเย็นชาให้ซูเสียวเสี่ยวแทน

ซูเสียวเสี่ยวมองชายหนุ่มผู้เอาใจยากแล้วมองถ้วยน้ำชาที่หายไปครึ่งแก้วพร้อมกับส่งเสียงเยาะเย้ย

“ขอเตือนนะว่าอย่าขยับตัวมั่วซั่ว โดยเฉพาะเวลาลุกขึ้นหรือพลิกตัวอย่าขยับเร็วเกินไป มิฉะนั้นอาจทำให้อวัยวะภายในเลือดออกได้อีก ถึงเวลานั้นเทวดาฟ้าดินก็ช่วยเจ้าไม่ได้นะ”

เว่ยถิงไม่สนใจนาง

ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นอะไร ซูเสียวเสี่ยวก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่ออีก

แต่พอหันหลัง นางพลันนึกขึ้นได้บางอย่างจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยถามเขา “ลูกชายเจ้า…อายุเท่าไหร่แล้วหรือ”

เว่ยถิงยังคงหันหลังให้นาง “สองขวบครึ่ง”

ซูเสียวเสี่ยวแอบพยักหน้า พอๆ กับที่นางเดาไว้เลย

นางกล่าวต่อ “แล้วใครเป็นคนโต คนรอง และคนเล็ก”

เว่ยถิงนึกครู่หนึ่งถึงตอบ “บนศีรษะมีหนึ่งขวัญคือคนโต สองขวัญคือคนรอง สามขวัญคือคนเล็ก”

พ่อซูทายถูกซะด้วย

ซูเสียวเสี่ยวรู้สึกประหลาดใจมาก

“แล้ว…พวกเขาชื่ออะไรบ้างหรือ”

“เจ้าถามเรื่องนี้เพื่ออะไร” ในน้ำเสียงของเว่ยถิงแฝงความระมัดระวังตัว

ซูเสียวเสี่ยวเบะปาก “ไม่อยากบอกก็ช่างปะไร จากนี้ไปข้าจะเรียกว่าต้าหู่ เอ้อร์หู่ เสียวหู่!”

เว่ยถิงขมวดคิ้วอยากพูดแต่ไม่พูดออกมา

ซูเสียวเสี่ยวมองเขาแวบหนึ่งแล้วกระแอมเบาๆ พร้อมกล่าว “แล้ว เจ้าอยู่รักษาตัวข้างนอกแบบนึ้คงไม่เป็นอะไร แต่เด็กๆ ไม่กลับเรือนนานขนาดนี้ คนในเรือนท่านจะไม่กังวลเอารึ”

“อะไรนะ” เว่ยถิงไม่อาจเข้าใจความหมายของนางได้ในทันที

ซูเสียวเสี่ยวกล่าว “แม่ของพวกเขาน่ะ!”

เว่ยถิงเงียบ

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงตอบเสียงแผ่ว “นางเสียชีวิตแล้ว”

ซูเสียวเสี่ยว “…”

“ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าภรรยาของเจ้า…”

“นางไม่ใช่ภรรยาของข้า”

“หืม”

อะไรกันนี่

คนเขาคลอดลูกชายให้ตั้งสามคน สุดท้ายไม่มีแม้กระทั่งฐานะเลยหรือ

ผู้ชายเฮงซวย

ซูเสียวเสี่ยวเดินออกไปด้วยความโมโหเดือด

“นางเป็น…” เว่ยถิงกล่าวเพียงครึ่งหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พอหันกลับมา ซูเสียวเสี่ยวก็เดินออกไปแล้ว

เขาขมวดคิ้ว

ซูเสียวเสี่ยวกลับเข้าห้องซูเอ้อร์โก่วอีกครั้ง

เด็กน้อยสามคนพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเตียงและนอนหลับไปโดยไม่ได้ห่มผ้าห่ม ในมือยังมีถังหูลู่ที่ซูเสียวเสี่ยวให้ แต่ไม่ได้กินเลยสักอัน

เห็นอยู่ว่าอยากกิน ทำไมถึงไม่กินกันนะ

เป็นเพราะเสียใจหรือเปล่า

คำพูดของนาง ทำร้ายจิตใจดวงน้อยของพวกเขาอย่างนั้นหรือ

ซูเสียวเสี่ยวดึงผ้าห่มมาห่มให้พวกเขา

“พี่!”

ซูเสียวเสี่ยวสะดุ้ง นางหันกลับไปถลึงตาใส่และกล่าว “เจ้าทำข้าตกใจหมด เบาๆ หน่อยสิ พวกเขานอนหลับแล้ว”

“อ้อ” ซูเอ้อร์โก่วเกาศีรษะและเดินเข้าห้อง เขาเอ่ยเสียงเบา “พี่ เมื่อครู่นี้พี่เรียกข้าทำไม”

“เจ้านั่งลงก่อน” ซูเสียวเสี่ยวชี้เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ

ซูเอ้อร์โก่วนั่งลงอย่างเชื่อฟัง

ซูเสียวเสี่ยวตรวจดูแผลบาดเจ็บของเขาและไปหยิบยาจินฉวงหนึ่งขวดจากห้องเว่ยถิงมาทาบริเวณที่มีแผล

เขาโดนชกที่หน้าอย่างจังหนึ่งที ตอนนี้หน้าบวมปูดจมูกเขียวช้ำ บนไหล่ก็มีรอยข่วน

“ถ้าเจ็บก็บอกข้านะ” นางกล่าว

ซูเอ้อร์โก่วยิ้มอย่างคนโง่ “แหะๆ ไม่เจ็บหรอก พี่”

“หืม” ซูเสียวเสี่ยวทายาให้เขาต่อ

ซูเอ้อร์โก่วครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงกล่าว “ข้ารู้สึกว่า…หลังจากท่านพี่ล้มหัวกระแทก พี่ก็ดีกับข้าและท่านพ่อมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบๆ “อย่างนั้นรึ”

ซูเอ้อร์โก่วพยักหน้าจริงจัง “ใช่ เมื่อก่อนพี่จะไม่ซื้อเสื้อผ้าให้ข้าและไม่ทายาให้ข้า…ท่านพ่อพูดถูก เวลาผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเปลี่ยนไป พี่ ต่อจากนี้ไปข้าจะดีกับพี่เขยอย่างแน่นอน”

ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับเว่ยถิงอีกแล้วล่ะ

เจ้าหมอนั่นกินอยู่ในเรือนโดยไม่เสียเงินสักแดงยังไม่ว่า แถมยังแย่งผลงานของนางอีกนี่มันอะไรกัน

“ถ้าไม่นอนกับเขาสักครั้งหนึ่งข้าคงเสียเปรียบแน่”

“พี่ว่าอย่างไรนะขอรับ” ซูเอ้อร์โก่วได้ยินไม่ชัด

ซูเสียวเสี่ยวกอดอกและกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “สภาพเป็นหัวหมูเช่นนั้น ข้าคงเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าหลังมีเซ็กส์ได้ง่ายมาก”

ซูเอ้อร์โก่ว พี่ข้าอาการกำเริบอีกแล้ว…ที่นางพูดมา ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว

...

กลางคืน ซูเสียวเสี่ยวอาบน้ำเสร็จก็ห่อตัวด้วยผ้านวมและมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

นางไม่ใช่คนนอนหลับเร็ว ในสมองของนางเริ่มคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

ก่อนอื่นคือสถานการณ์ของครอบครัว

เงินห้าตำลึงที่ได้มาเมื่อครั้งก่อนถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว เงินทั้งหมดของครอบครัว เหลือเพียงส่วนที่เหอถงเซิงยังค้างชำระอีกสิบห้าตำลึง

ฟังดูแล้วเหมือนไม่แย่เท่าไหร่นัก แต่ถ้าทุกคนกินเก่งอย่างนี้…ยกเว้นคนไข้เว่ยถิง ในสถานการณ์ที่ไม่มีรายได้เช่นนี้ ใช้ได้อีกไม่นานก็ต้องหมดไป

ยังไม่พูดถึงว่าจะเป็นครอบครัวมีอันจะกิน แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ยากจน

และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคืออาการบาดเจ็บที่มือของพ่อซู

แผลเก่าอย่างนี้รักษาหายยากที่สุด

ห้องยาของฐานทัพคือห้องยาที่ใหญ่ที่สุดของหน่วยทหาร ข้างในมียาวิเศษใหม่ๆ ที่วิจัยและพัฒนาออกมาจำนวนไม่น้อย

เสียดายที่ครั้งก่อนนางหยิบมาแค่ยาฉุกเฉินบางส่วนที่เอาไว้รักษาเว่ยถิง

ถ้าหากได้กลับเข้าไปอีกครั้งก็คงจะดี

ซูเสียวเสี่ยวกอดกระเป๋าปฐมพยาบาลแล้วนอนหลับไป