ตอนที่ 15 ความโกลาหล
อย่างไรก็ตาม คืนนี้นางไม่ได้ฝันถึงห้องยาของฐานทัพ แต่นอนหลับยาวจนถึงรุ่งเช้า
ซูเสียวเสี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“สวัสดิการของผู้เดินทางข้ามภพมีแค่ครั้งเดียวเองเหรอ”
ถ้ารู้แต่แรก นางน่าจะหยิบยามาเยอะๆ หน่อย
ในเมื่อไม่สามารถพึ่งห้องยาได้แล้วก็คงต้องลองไปโรงหมอในเมืองแล้วล่ะ
นางแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องไป
น่าจะเพราะเมื่อวานต่อสู้จนเหนื่อย วันนี้เลยตื่นสายกว่าสองวันก่อนเล็กน้อย สิ่งนี้สัมพันธ์กับกิจวัตรประจำวันของนาง ส่วนคนอื่นๆ ยังอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันสวยงาม
นางไปล้างหน้าที่ท้ายเรือนและส่องดูตัวเองกับน้ำในกะละมัง
นางมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่เคยมองดูใบหน้านี้ดีๆ เลย
อ้วนก็อ้วนอยู่เล็กน้อย เนื้อแน่นจ้ำม่ำ แต่หน้าตาถือว่าไม่แย่ คิ้วหนารูปทรงสวยงาม ดวงตาผลซิ่งทั้งกลมทั้งใหญ่ จมูกเรียวเล็กแต่สันสูงโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มสีอมชมพู เวลายิ้มยังมีลักยิ้มอีกสองอัน
หากตัดสินจากประสบการณ์การอ่านนิตยสารความงามอันโชกโชนของนางเมื่อชาติก่อน หากผอมลง ถือว่าเป็นหญิงรูปงามคนหนึ่งเชียวล่ะ
ซูเสียวเสี่ยวเข้าไปในห้องครัว นางนึ่งหมั่นโถวทำจากแป้งหมี่ขาวหนึ่งเข่ง ต้มโจ๊กมันเทศหนึ่งหม้อ และต้มไข่ไก่อีกสิบฟอง
ในเรื่องการกิน นางยังควบคุมตัวเองได้บ้าง แต่ไม่ได้เข้มงวดกวดขันมากเกินไป อย่างเช่นหมูสามชั้นตุ๋นนางกินแต่กินไม่เยอะ ไม่ได้อดกินทั้งหมด
การลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรปล่อยให้ท้องหิวสุ่มสี่สุ่มห้าหรือจู่ๆ ก็กินคลีนเกินไป มิฉะนั้น ในที่สุดจะนำไปสู่การกินอย่างตบะแตก
ปัจจุบันนางมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ดังนั้นเพียงแค่ขยับเขยื้อน ทำให้ตัวเองยุ่งๆ เข้าไว้ ไม่คิดแต่เรื่องกินทั้งวัน น้ำหนักของนางก็จะค่อยๆ ลดลงมาเอง
หลังจากทำอาหารเช้าเสร็จ ซูเซียวเสี่ยวก็เดินไปเรียกซูเอ้อร์โก่วให้ตื่น
เพิ่งเข้าไปในห้องก็เห็นเด็กน้อยสามคนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในผ้าห่ม
ตื่นแล้วเหรอ
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ซูเสียวเสี่ยวพลันรู้สึกผิดเล็กน้อย เด็กที่สูญเสียแม่ก็น่าสงสารอยู่แล้ว แต่ยังมีพ่อที่พึ่งพาไม่ได้อีก
พวกเขาเพียงแค่เรียกคำว่าแม่เองไม่ใช่เหรอ
จะจริงจังขนาดนั้นทำไมกัน
พวกเขาอยากเรียก ก็เรียกไปเถอะ
ไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย
ซูเสียวเสี่ยวที่ปรับทัศนคติเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยๆ ดึงผ้าห่มของเด็กน้อยสามคนออกอย่างแผ่วเบา
เด็กน้อยสามคนหัวฟูยุ่งเหยิง สบตานางด้วยท่าทางซื่อๆ
ซูเสียวเสี่ยวหลุดขำพรวดออกมา
เด็กน้อยสามคนยกมือน้อยๆ ขึ้นมาปิดหน้าเล็กๆ ของตัวเองเอาไว้
เขินจังเขินจัง
ซูเสียวเสี่ยวหัวเราะลั่น แต่ซูเอ้อร์โก่วก็ยังไม่ตื่น ซูเอ้อร์โก่วยังนอนกางแขนกางขาน้ำลายไหลย้อยไม่รู้เรื่อง
เดิมทีจะมาปลุกซูเอ้อร์โก่วให้ตื่น แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว
“ข้าจะเข้าไปในเมือง พวกเจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเสียวเสี่ยวออกไปพร้อมกับเด็กน้อยผู้กล้าหาญสามคน
ตัวซูเสียวเสี่ยวเองสามารถเดินเข้าเมืองได้ แต่เด็กสามคนน่าจะเดินไม่ไหว โชคดีที่เกวียนของตาเฒ่าหลี่อยู่หน้าหมู่บ้านและดูท่าทาง คงใกล้จะออกเดินทางพอดี
“มาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะจริงๆ”
นางพาเด็กๆ เดินเข้าไป
รอบๆ เกวียนวัว มีชาวบ้านที่จะเข้าเมืองยืนล้อมรอบ พอเห็นนางจะนั่งเกวียน วงล้อมพลันแตกกระจาย เหลือเพียงเสี่ยวอู๋ซื่อที่ไม่ไปไหน
เกลือกับเข็มและด้ายในเรือนใช้หมดแล้ว แม่สามีให้นางไปซื้อในเมือง
นางยังกลัวซูตุ้ยนุ้ยเหมือนเดิม
“ไม่ไปรึ”
ซูเสียวเสี่ยวที่นั่งอยู่บนเกวียนเอ่ยถาม
เสี่ยวอู๋ซื่อลังเลครู่หนึ่ง ถึงทำใจดีสู้เสือขึ้นเกวียนไป
ซูเสียวเสี่ยวกับเด็กสามคนนั่งฝั่งเดียวกัน ส่วนเสี่ยวอู๋ซื่อนั่งฝั่งตรงข้าม และยังมีข้าวสารอาหารแห้งอีกกองหนึ่งที่ตาเฒ่าหลี่ช่วยชาวบ้านเอาไปขายให้กับร้านค้า
หลายครั้งที่เสี่ยวอู๋ซื่ออยากพูดแต่ไม่กล้าพูด
นางอยากบอกว่า ขนมหวานเมื่อวานอร่อยมาก ลูกสาวสองคนของนางโตป่านนี้เพิ่งเคยกินขนมหวานในเมืองเป็นครั้งแรก
รถเกวียนเพิ่งออกจากหมู่บ้าน ก็พบหวังล่ายจื่อ
พอเห็นซูตุ้ยนุ้ย เขาตะลึงพรึงเพริดไปครู่หนึ่ง
“ซูตุ้ยนุ้ยนี่เอง จะพาลูกชายเข้าเมืองรึ”
เขายิ้มแย้มเอ่ยปากทักทาย
สมาชิกสามคนในตระกูลซูเป็นจอมอันธพาลของหมู่บ้าน ส่วนหวังล่ายจื่อก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ เรื่องลักขโมยปล้นของก็ทำไปไม่น้อยแล้วยังเป็นพวกหื่นกามอีก
ซูเสียวเสี่ยวไม่อยากสนใจเขา
เขาไม่กล้าหาเรื่องซูตุ้ยนุ้ยแน่นอน เขามองเสี่ยวอู๋ซื่อผู้อ่อนแอแทน มุมปากพลันยกโค้งขึ้นและนั่งลงข้างๆ นาง
“น้องสาวจะเข้าเมืองหรือ” เขาพูดกับเสี่ยวอู๋ซื่อระยะประชิด
เสี่ยวอู๋ซื่อไม่ชอบใจจึงขยับตัวออกไป
หวังล่ายจื่อขยับตัวเข้าไปใกล้เหมือนเดิม “ไปซื้ออะไรหรือ เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าถือนะ”
เขาขยับขาไปชนกับขาของเสี่ยวอู๋ซื่อ
เขาไม่สนใจว่าเสี่ยวอู๋ซื่อจะขยับไปไหน ยังไงเขาก็จะขยับเข้าไปอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่ละอายใจ มือสกปรก ข้างหนึ่งแสร้งทำเป็นยื่นออกไปด้านหลังของเสี่ยวอู๋ซื่อโดยไม่ตั้งใจ
เสี่ยวอู๋ซื่อพลันนิ่งขึงไปทั้งตัว
หวังล่ายจื่อยิ้มอย่างเจตนาร้าย
วินาทีต่อมา ซูเสียวเสี่ยวพลันลุกขึ้นพรวดและเตะเขาลงจากเวียนด้วยขาข้างเดียว
ตาเฒ่าหลี่ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงรีบหยุดเกวียน
“เกิดอะไรขึ้น” เขาหันกลับมาเอ่ยถาม
หวังล่ายจื่อหล่นลงกระแทกฟันหลุดหนึ่งซี่ เขาพ่นเลือดออกมาเสร็จก็ด่าทออย่างหยาบคาบ “เจ้าซูตุ้ยนุ้ย! เจ้าเตะข้าทำไม!”
เสี่ยวอู๋ซื่อมองซูเสียวเสี่ยวด้วยแววตาแดงก่ำ
ซูเสียวเสี่ยวยกเท้าขึ้นเหยียบบนเก้าอี้แล้วกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ข้าเห็นเจ้าแล้วมันขัดตาก็เลยอยากจะเตะสักหน่อย ทำไมรึ ไม่พอใจข้างั้นรึ”
“นี่เจ้า…”
หวังล่ายจื่อมองเสี่ยวอู๋ซื่อที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง เจ้าซูตุ้ยนุ้ยช่วยออกหน้าให้เสี่ยวอู๋ซื่องั้นรึ
เป็นไปไม่ได้ เจ้าซูตุ้ยนุ้ยไม่ใช่คนดีเช่นนั้น
แต่เขาไม่ได้ล่วงเกินอะไรนางเลยนะ
หวังล่ายจื่อคิดให้ตายก็คิดไม่ออกและไม่อาจคาดหวังให้เจ้าซูตุ้ยนุ้ยอธิบายกับเขาจึงทำได้เพียงด่าพึมพำและเดินออกไป
ตาเฒ่าหลี่หันกลับไปขับเกวียนต่อไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
ซูเสียวเสี่ยวไม่ได้ถามเสี่ยวอู๋ซื่อว่าเป็นอย่างไรบ้างและไม่ได้เอ่ยปากปลอบใจ นางทำราวกับว่าไม่เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่ทำไปเพียงเพราะไม่ถูกใจหวังล่ายจื่อเท่านั้น
เกวียนวัวจอดลงที่ทางเข้าตลาด
ซูเสียวเสี่ยวอุ้มเด็กสามคนลงจากเกวียน
เสี่ยวอู๋ซื่อลงจากเกวียนตามมาติดๆ
นางรวบรวมความกล้าและกล่าวกับซูเสียวเสี่ยวเสียงเบา “ขอบ ขอบใจมากนะ”
…
ซูเสียวเสี่ยวแวะไปที่โรงหมอมาแล้วเมื่อวาน นางยังจำทางได้
นางพาเด็กน้อยสามคนเดินท่ามกลางผู้คนที่เดินจอแจ พวกเขากลายเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนบนทางเดินจำนวนไม่น้อย
เดิมทีเด็กแฝดสามคนก็แทบจะไม่ค่อยได้เห็นอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหน้าตาที่ดูน่ารักผิวขาวดุจหิมะเช่นนี้
เมื่อวานนี้ ทั้งสามคนเดินอวดโฉมในหมู่บ้าน วันนี้เลยนึกว่าจะเดินอวดโฉมในตัวเมือง
พวกเขาเดินอกผายไหล่ผึ่ง ย่ำเท้าฉับๆ อย่างโดดเด่นไม่เห็นแก่หน้าใคร
ผู้คนบนถนนขำแทบหยุดไม่ได้
“ทุกคนหัวเราะอะไรกัน”
ซูเสียวเสี่ยวพึมพำ กำลังจะหันหน้าไปมองเด็กน้อยสามคน
ในตอนนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งพลันวิ่งสวนทางมาอย่างรวดเร็ว
“หลบไป! รีบหลบไป!”
คนขับรถม้าตะโกนเตือน
เขาพยายามหยุดรถม้า แต่ไม่รู้เกิดสิ่งใดขึ้นกับม้าจึงควบคุมไม่ได้ เขาดึงอย่างไรก็ดึงไม่ไหว
“พวกเจ้าสามคน…”
ซูเสียวเสี่ยวอยากบอกให้เด็กน้อยสามคนหลบไปด้านข้างโดยเร็ว แต่พอหันกลับมาก็เห็นทั้งสามคนไปหลบอยู่ใต้สิ่ง…เอ่อไม่ใช่ ด้านหลังชายร่างกำยำเรียบร้อย
เอ่อ…ความสามารถในยามวิกฤตนั้นแข็งแกร่งเลยทีเดียว
ทั้งถนนอยู่ในความโกลาหล ซูเสียวเสี่ยวคว้าเด็กผู้หญิงที่ล้มอยู่ใกล้ๆ ขาของนางขึ้นมา จากนั้นรถเข็นเล็กหนึ่งคันก็พุ่งเข้ามา อีกนิดเดียวก็จะชนเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว
รถม้าที่สูญเสียการควบคุมพุ่งเข้าหาฝูงชน
ก่อนที่จะสายเกินไป พลันมีชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าฝ้ายทะลุหน้าต่างลงมาจากชั้นสองและพุ่งเข้าชนม้าตัวนั้นอย่างไม่ลังเล