บทที่ 16 คนเป็นหมอ

ตอนที่ 16 คนเป็นหมอ

ใช่แล้ว ชนเข้าเลย

ใช้แรงของตัวเองชนม้าพยศล้มลงได้สำเร็จ

หนึ่งคนหนึ่งม้าล้มลงบนถนนใหญ่อย่างแรง

ทว่าแทบจะในขณะเดียวกัน ซูเสียวเสี่ยวก็เล็งจังหวะเหมาะเจาะ ยกเท้าเตะรถเข็นตรงหน้าเข้าอย่างจัง

รถเข็นกระเด็นลอยหวือ กระแทกเข้ากับห้องโดยสารรถม้าที่ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยแรงเฉื่อย

ห้องโดยสารรถหยุดอยู่ตรงหน้าสองตายายที่วิ่งหนีไม่ทันราวกับเหยียบเบรก

สองตายายมองรถม้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมตกอกตกใจจนแข้งขาอ่อน

ม้าถูกชนหงายหลังดิ้นสู้อยู่สองสามครั้ง เด็กหนุ่มล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าชุบยาสลบออกมาผืนหนึ่ง ก่อนจะอุดจมูกมันไว้เพื่อทำให้มันสลบไป

เด็กหนุ่มแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่สีหน้าดูเจ็บปวดมาก

ซูเสียวเสี่ยวเดินไปหา ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”

เด็กหนุ่มกุมแขนซ้ายตัวเองไว้ “ไม่...”

ยังไม่ทันสิ้นประโยค เสียงร้องตกใจของสตรีก็ดังลอยมาจากในร้านด้านหลัง “นายน้อย นายน้อยเป็นอะไรหรือไม่ อย่าทำบ่าวตกใจสิเจ้าคะ”

ร้านนี้เป็นร้านขนมที่แพงที่สุดในเมืองนี้นั่นเอง ร้านจิ่นจี้

คนที่เกิดเรื่องเป็นเด็กชายอายุห้าขวบคนหนึ่ง สวมชุดผ้าไหมสีไพลิน

เมื่อครู่นี้เขากำลังกินเกาลัดผัดน้ำตาลอยู่ ไหนเลยจะรู้ว่าจะมาเห็นเด็กหนุ่มชนม้าเข้าแล้วม้าก็ล้มลงใต้หน้าต่างร้านที่เขาอยู่

เหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้ทำเอาเขาตกใจจนตัวสั่น เกาลัดติดคอ

สีหน้าเขาพลันเขียวคล้ำขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออก

สาวใช้ที่ปรนนิบัติเขาอยู่ตกใจขวัญหนี แต่นางก็ไม่ใช่หมอเสียด้วย นอกจากร้องตะโกนเสียงดังแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก

ซูเสียวเสี่ยวคว้าแขนข้างที่หลุดของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะตบอย่างแรงให้มันกลับเข้าที่ จากนั้นก็ไม่สนใจแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะตกใจเพียงใด นางสาวเท้าพุ่งเข้าไปในร้านจิ่นจี้ทันที

“เจ้าจะร้องไห้ไปไย รีบไปหาหมอสิ โรงหมอก็อยู่ข้างหน้านี่เอง รีบอุ้มเด็กไปเร็วเข้า”

ประโยคนี้ออกมาจากปากผู้ดูแลร้านจิ่นจี้

สาวใช้ลนลานจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังอุ้มเด็กห้าขวบไหวได้

ชายหนุ่มใจดีคนหนึ่งจึงยื่นมือเข้าช่วย อุ้มเด็กชายมาจากอ้อมอกนาง

ซูเสียวเสี่ยวแววตาสาดประกายแหลมคม นางขวางทางเขาเอาไว้ “ส่งเด็กมาให้ข้า”

ชายหนุ่มมองสาวชาวบ้านตัวอวบอ้วนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างแปลกใจ “เจ้าเป็นใครน่ะ”

ซูเสียวเสี่ยวมองเด็กชายที่ค่อยๆ เริ่มหมดสติพลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ส่งเด็กมาให้ข้า เขาใกล้จะแย่แล้ว”

เด็กคนนี้ขาดอากาศหายใจอย่างเห็นได้ชัด

โดยปกติแล้ว ขาดอากาศหายใจเกินหนึ่งนาทีจะหยุดหายใจ เกินสามนาทีสมองจะบวม เกินหกนาทีจะทำให้อวัยวะของร่างกายเสียหายอย่างถาวร จนถึงขั้นขาดอากาศหายใจตายได้

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แม่หนูน้อยเจ้าอย่ามาสร้างความวุ่นวายเพิ่ม ข้าต้องพาเด็กไปส่งที่โรงหมอ”

มีลูกค้าทนดูไม่ไหวแล้ว “สาวบ้านนอกจากที่ใดกัน มาสร้างความวุ่นวายอะไร”

ชายชราสองคนส่ายหน้า

“นี่ ของบ้านเหล่าจางก็ขาดอากาศหายใจตายเช่นนี้เหมือนกัน ช่วยไม่ได้หรอก”

“นั่นสิ ไปโรงหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

ซูเสียวเสี่ยวกลับไม่สงสัยในฝีมือการแพทย์ของพวกหมอเลย นางเอ่ยกับชายหนุ่มว่า “โรงหมอไกลเกินไป เจ้าไปไม่ทันหรอก ข้าช่วยเขาได้”

ล้อเล่นหรือไร สาวชาวบ้านร่างอ้วนคนหนึ่งบอกว่าตัวเองช่วยรักษาอาการสำลักเสี่ยงตายเช่นนี้ได้

ไม่มีใครเชื่อคำพูดของซูเสียวเสี่ยว และไม่มีใครกล้าส่งเด็กให้นาง

ยามนี้ผู้ดูแลจึงกระโดดออกโรง “นังคนนี้มาจากไหน ยังไม่หลบให้ข้าอีก เจ้าอยากทำร้ายเด็กคนนี้รึ”

เขาไม่สนใจว่าจะรักษาหายหรือไม่ เอาเป็นว่า จะมาก่อเรื่องในร้านเขาไม่ได้เด็ดขาด

ใช้เหตุผลอธิบายไม่สำเร็จ เวลาก็กระชั้น ซูเสียวเสี่ยวจึงต้องใช้ไม้แข็ง

“ล่วงเกินแล้ว”

นางเตะชายหนุ่มคนนั้นหนึ่งที เขาเจ็บจนต้องปล่อยมือ ซูเสียวเสี่ยวใช้สองแขนรับตัวเด็กมา

“แย่งเด็กไปแล้ว! แย่งเด็กไปแล้ว!” ผู้ดูแลร้องตะโกน

ทุกคนเห็นเด็กคนนั้นอยู่ในวิกฤตความเป็นความตาย นึกไม่ถึงว่าจะมีแม่นางอวบอ้วนมาก่อความวุ่นวาย ทุกคนจึงต่างเดือดดาล

“นังคนชั่ว หากเจ้ายังไม่ปล่อยเด็กคนนั้น พวกเราจะไม่เกรงใจแล้วนะ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยขณะชี้จมูกซูเสียวเสี่ยว

“แม่นาง เด็กคนนี้ใกล้จะตายแล้ว เจ้าอย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่มเลย”

“เจ้าต้องการอะไร ค่อยๆ พูดค่อยๆ จาก็ได้ อย่าจับเด็กที่กำลังจะตายมาเป็นตัวประกันเลย”

“ให้นางรักษา”

ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังตะโกนกันเซ็งแซ่ เสียงเย็นเยียบของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับปรากฏตัวตรงหน้าประตู

ทุกคนต่างชะงักงัน

ฝูงชนแทบจะหลีกทางกันให้หมด

นั่นคือเด็กหนุ่มรูปงามในอาภรณ์หรูหรา หน้าตางามดุจหยก รูปรางสูงโปร่งสง่างาม มีหยกประดับอันล้ำค่าห้อยอยู่เอว

หัวไหล่กับชายเสื้อของเขาค่อนข้างสกปรกและดูอเนจอนาถ ทว่ามาดของผู้สูงศักดิ์ทะลุฝุ่นของเขาไม่มีแผ่ว

ทันใดนั้นห้องโถงใหญ่ก็พลันเงียบเป็นเป่าสาก

เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าซูเสียวเสี่ยว ก่อนเอ่ยทีละคำว่า “เจ้ารักษาสิ”

ซูเสียวเสี่ยวพยักหน้า “ข้าขอเก้าอี้ตัวหนึ่ง”

เด็กหนุ่มฟาดแส้ออกไปม้วนขวับเอาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง

เป็นคนมีวรยุทธ์ติดตัวจริงๆ ด้วย

เพียงไม่นานก็มีคนนึกออกว่าเขาคือเด็กหนุ่มที่ชนกับม้าอย่างแรงบนถนนใหญ่เมื่อครู่นี้ ยามนี้ทุกคนจึงยิ่งไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

ซูเสียวเสี่ยวรีบนั่งลงแล้วให้เด็กน้อยคว่ำพาดกับแขนซ้ายของตัวเอง ให้เขาก้มหน้าลง ใช้ฝ่ามือประคองคางเขาไว้

จากนั้นนางก็เริ่มตบลงบริเวณกลางสันหลังเขา

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง

เมื่อตบถึงครั้งที่ห้า เด็กน้อยก็พ่นเกาลัดออกมา

เมื่อเด็กน้อยหายใจได้แล้วก็ร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง

ผู้คนรอบด้านต่างพากันตกใจพูดอะไรไม่ออก

เสียงร้องไห้ของเด็กชายเรียกสติสาวใช้กลับคืนมา นางล้มลุกคลุกคลานโผไปหา ก่อนจะอุ้มเด็กมาไว้ในอ้อมอกแน่น “ฮือออ...นายน้อยบ่าวตกใจแทบแย่...”

บรรดาลูกค้าและคนผ่านทางต่างมารุมล้อม

ป้าคนหนึ่งเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งร้อง รีบเอาน้ำให้เด็กกินเถอะ”

พ่อค้าที่อยู่ด้านข้างส่งน้ำชามาให้ “อย่าให้เด็กกินเกาลัดอีกล่ะ”

ชายสูงวัยคนหนึ่งลูบเคราไปมา “เมื่อครู่นี้โชคดีที่ได้แม่นางท่านนี้...รีบขอบคุณนางเสียสิ...มิฉะนั้นนายน้อยของเจ้าคงไม่รอดแล้ว ข้าอายุปูนนี้แล้ว เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ...เอ๋...แม่นางคนนั้นเล่า”

ซูเสียวเสี่ยวออกจากร้านจิ่นจี้แล้ว

เมื่อครู่นี้เร่งรีบช่วยคน ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสามจะเป็นอย่างไรบ้าง

นางเดินทะลุถนนออกมายังที่เดิมที่เด็กน้อยสามคนเคยยืนอยู่แต่กลับว่างเปล่า

คิ้วนางขมวดมุ่นทันที

“ต้าหู่ เอ้อร์หู่ เสี่ยวหู่”

ในระหว่างที่นางกำลังร้อนใจ เด็กน้อยสามคนก็วิ่งลิ่วๆ ออกมาจากร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่ง

“ฮูหยิน ลูกของท่าน...” พนักงานในร้านเอ่ยเตือน

สตรีออกเรือนแล้วที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่หันกลับมามองแวบหนึ่ง “ไม่ใช่ลูกของข้า อย่าเพ้อเจ้อ”

พนักงานร้านตกใจ

เมื่อครู่เด็กสามคนนี้เดินอาดๆ ตามหลังฮูหยินนางนี้เข้ามา เขาก็นึกว่ามาด้วยกัน

ซูเสียวเสี่ยวเห็นเด็กทั้งสามก็พลันเบาใจลง

เด็กทั้งสามพากันโผเข้ามากอดนาง

นางนั่งยองๆ ไล่ลูบศีรษะของทั้งสามพลางเอ่ยอย่างชื่นใจว่า “รู้จักเข้าไปรอในร้านด้วย ฉลาดเสียจริง”

ปลายปีแล้ว พวกค้ามนุษย์เดินขวักไขว่บนท้องถนน หากไม่ระวังก็อาจตกเป็นเป้าหมายได้ ในร้านปลอดภัยกว่ามาก โดยเฉพาะร้านชั้นสูงอย่างร้านขายเครื่องประดับราคาแพง โดยปกติแล้วพวกค้ามนุษย์จะเข้าไปไม่ได้

เด็กน้อยทั้งสามถูกชมก็พากันเขินอายจนหน้าดวงน้อยแดงระเรื่อ