ตอนที่ 17 เป็นแม่
“หิวกันหรือไม่” ซูเสียวเสี่ยวถาม
เมื่อเช้าเด็กทั้งสามรู้ว่าจะได้ออกจากบ้านก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ไม่ได้กินข้าวที่บ้านให้อิ่มท้องดี มัวแต่อยากรีบออกไปเล่น
ทั้งสามพากันพยักหน้าหงึกหงัก
ซูเสียวเสี่ยวจำได้ว่าแถวๆ นี้มีร้านแผงลอยขายเกี๊ยวกับบัวลอยอยู่ร้านหนึ่ง สองสามีภรรยาทำกิจการกันมาหลายปีแล้ว รสชาติดีมาตลอด ทั้งยังเป็นทางเดียวกันกับโรงหมอด้วย
ซูเสียวเสี่ยวจึงพาเด็กน้อยทั้งสามไปหาร้านแผงลอยร้านนั้น
ช่วงเวลานี้เลยมื้อเช้าไปแล้วจึงไม่มีลูกค้า เถ้าแก่ไม่อยู่ มีแต่เถ้าแก่เนี้ยที่ยืนห่อเกี๊ยวอยู่หลังร้านกับเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบยืนช่วยเด็ดผักอยู่ข้างๆ
นางเห็นลูกค้าเป็นคนแรกจึงดึงเสื้อเถ้าแก่เนี้ย “ท่านแม่ ลูกค้ามา”
เถ้าแก่เนี้ยจำซูเสียวเสี่ยวได้ อย่างไรเสียลูกค้าอ้วนท้วมเพียงนี้ก็มีไม่มาก มาครั้งเดียวก็จำได้แล้ว
“แม่นาง วันนี้จะเอาบัวลอยสุราข้าวสองถ้วยกับเกี๊ยวน้ำแกงเผ็ดอีกหรือไม่”
นางเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
เจ้าของร่างเดิมกินจุ สามารถกินได้สามชามภายในครั้งเดียว ซ้ำยังมีของหวานอีกสองถ้วย จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร
ซูเสียวเสี่ยวตัดสินใจข่มความพลุ่งพล่านอยากอาหารเอาไว้เพื่อแผนการลดน้ำหนัก ก่อนถามเด็กน้อยทั้งสามว่า “พวกเจ้าอยากกินเกี๊ยวหรืออยากกินบัวลอยกัน”
เจ้าหนูทั้งสามไม่ตอบ
เถ้าแก่เนี้ยก้มหน้าลงมาจึงได้พบว่าข้างกายแม่นางอวบอ้วนมีเด็กน้อยอีกสามคนตามมาด้วย
เจ้าก้อนน้อยน่ารักน่าชัง ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ราวกับตุ๊กตาในภาพวาดปีใหม่
เถ้าแก่เนี้ยไม่เคยเห็นเด็กน้อยงดงามเช่นนี้มาก่อนจึงอดถามไม่ได้ว่า “แม่นาง พวกเขาคือ...”
ซูเสียวเสี่ยวมองเด็กหญิงที่ตัวติดข้างกายเถ้าแก่เนี้ยแล้วหันมามองเด็กทั้งสามด้วยแววตาชื่นชม ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ลูกชายข้าเอง”
เด็กสามคนนิ่งอึ้ง
เถ้าแก่เนี้ยก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
ซูเสียวเสี่ยวอายุยังน้อยนัก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนมารดาที่มีลูกสามคน แต่ในโลกอันวุ่นวายใบนี้ ใช่ว่าจะไม่มีสตรีที่ออกเรือนเร็ว
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มเอ่ยว่า “ลูกชายสามคน ช่างโชคดีเสียจริง”
ซูเสียวเสี่ยวยิ้มจางๆ
ซูเสียวเสี่ยวถามเด็กสามคนอีกว่า “เกี๊ยว บัวลอย จะกินอันไหนกัน”
เจ้าสามคน “ท่านแม่”
รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
ซูเสี่ยวเสี่ยวกระแอมเบาๆ ก่อนจะขานรับเสียงขลุกขลัก “อืม กินอะไรล่ะ”
เด็กสามคนดวงตาเป็นประกาย
ซูเสียวเสี่ยวหันหน้าหนีพลางกระซิบเสียงเบาว่า “อย่ามองข้าเช่นนี้ ข้าก็เป็นแม่คนครั้งแรกเช่นกัน...อาจจะเป็นได้ไม่ดีก็ได้...”
“กิน”
เจ้าตัวน้อยคนหนึ่งชี้ไปที่เกี๊ยวพลางเอ่ยขึ้น
ซูเสียวเสี่ยวตกใจไม่น้อย พูดคำที่สองได้ไวเพียงนี้เชียวรึ
หน้าผากมีหนึ่งขวัญ นี่ต้าหู่
ส่วนเด็กอีกสองคนคนที่คาดผมสีขาวคือเอ้อร์หู่ คนที่คนผมสีฟ้าคือเสียวหู่
เอ้อร์หู่กับเสียวหู่จะกินบัวลอย
ทั้งสี่คนนั่งล้อมโต๊ะเล็กๆ กัน ก่อนที่เกี๊ยวกับบัวลอยร้อนๆ จะถูกยกมา
“ท่านแม่ กิน” ทั้งสามคนเอ่ย
ซูเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยว่า “พวกเจ้ากินเถอะ ข้าไม่หิว ระวังร้อนล่ะ”
ทั้งสามคนยกชามขึ้นกินกันคำน้อยๆ อย่างมูมมาม
จู่ๆ ซูเสียวเสี่ยวก็มองทั้งสามพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้า...พูดชื่อตัวเองกันได้หรือไม่”
นางอยากรู้ชื่อจริงๆ ของพวกเขา
ทั้งสามเอียงศีรษะเล็กๆ ครุ่นคิด ก่อนจะพากันพยักหน้า
ซูเสี่ยวเสี่ยวดวงตาเป็นประกายทันที “เช่นนั้นพวกเจ้าชื่ออะไรกันรึ”
มือน้อยๆ ของทั้งสามทาบหน้าอกตัวเองไว้
“ต้าหู่”
“เอ้อร์หู่”
“เฉียวหุ (เสียวหู่)”
ซูเสียวเสี่ยว “...”
…
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ซูเสียวเสี่ยวก็พาพวกเขาไปโรงหมอของเมือง
เมื่อวานวิวาทกันโดยใช้ประตูหลังเข้าออก เพื่อหลบหลีกคนของโรงหมอ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้จักนาง
เพื่อรักษาบาดแผลของพ่อซูให้ทรงตัวเอาไว้ จะขาดการฝังเข็มและยาบำรุงไปไม่ได้
“ข้าอยากได้เข็มเงินคู่หนึ่ง แล้วก็...” ซูเสียวเสี่ยวหยุดเว้นก่อนจะสั่งยาสิบกว่าชนิดออกมาภายในรวดเดียว
เจ้าของร้านคิดเงินให้นาง ทั้งหมดห้าตำลึง
หลังจากจับจ่ายครั้งแรกไป ยามนี้เงินในมือนางจึงเหลือสองตำลึง
“ลดให้หน่อยได้หรือไม่” ซูเสียวเสี่ยวถาม
เจ้าของร้านยิ้มเรียบๆ “แม่นางอยากให้เท่าใดเล่า”
ซูเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยว่า “ในมือข้ามีเพียงสองตำลึง หากพวกเจ้ายินดี...ข้าสามารถเอายาของข้าแลกกับพวกเจ้าเป็นเงินส่วนที่ขาดได้”
เจ้าของร้านโมโหขึ้นมา
สตรีบ้านนอกคนหนึ่งช่างปากดีนัก
นางเอายานางมาแลกรึ
ยาอะไรล่ะ สมุนไพรเน่าๆ ในดินชนบทรึ
นางเห็นหรงเอินถังเป็นสถานที่แบบใดกัน
“หรงเอินถังเป็นโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มียาดีสารพัด จะมาอยากได้ของจากหญิงชาวบ้านคนหนึ่งรึ เจ้ามีปัญญาเอาอะไรมาแลกล่ะ”
ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยว่า “ยาข้าดีมาก”
ผู้ดูแลเอ่ยเยาะเย้ยว่า “ข้าดูแล้วเจ้ามาหลอกเอายามากกว่า คนอย่างเจ้าข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว รีบไสหัวไป มิฉะนั้นข้าจะแจ้งความ”
ณ ห้องปีกข้างบนชั้นสอง เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าไหมนั่งอยู่บนเก้าอี้ หมอของโรงหมอคนหนึ่งกำลังตรวจแขนซ้ายให้เขาอยู่
“บริเวณที่กระดูกเคลื่อนต่อกันได้ดีมาก ไม่มีทางทิ้งอาการภายหลังแน่นอน”
เด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมยกมือขึ้น หมอจึงออกจากห้องไปอย่างรู้งาน
องครักษ์ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย ดูสิ แม่นางคนเมื่อครู่นี้”
เด็กหนุ่มหันไปมอง “นางนี่นา”
แต่ข้างกายมีเด็กน้อยเพิ่มขึ้นมาสามคน
องครักษ์ทำมือทำไม้พลางเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “คุณชาย เมื่อครู่นี้นางแค่ทำแบบนั้นครู่หนึ่ง...ก็ต่อแขนของท่านกลับคืนได้แล้วรึ”
ตอนที่เด็กหนุ่มชนกับม้านั้น เขาอยู่ท่ามกลางฝูงชนฝั่งตรงข้ามจึงเห็นไม่ค่อยชัด
เด็กหนุ่มอาภรณ์ไหมส่งเสียงอืมคำหนึ่ง
องครักษ์เอ่ยว่า “ข้าดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์นางแล้ว เป็นสาวชนบทชัดๆ นี่นา นางทำเรื่องนี้เป็นได้อย่างไร หรือว่านางจะรู้วิชาแพทย์ คุณชาย คุณชาย พวกเราเชิญนางไปรักษาลูกพี่ลูกน้องของท่านด้วยดีหรือไม่”
เด็กหนุ่มเงียบงันไม่พูดไม่จา
ต่อแขนที่หลุดเข้าที่ได้ ช่วยชีวิตเด็กที่อาหารติดคอเกือบขาดอากาศได้ นางคงจะมีวิชาแพทย์อยู่
ทว่า...การรักษาท่านพี่นั้น
“ท่านพี่มีฐานะพิเศษ คนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปทางที่ดีอย่าให้ใกล้ชิดท่านพี่สุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า รอหมอต่งจากโรงหมอกันเถอะ”
หมอต่งเป็นแพทย์มาหลายปี ฝีมือการแพทย์สูงส่งจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาท่านพี่
…
ส่วนทางด้านซูเสียวเสี่ยวเมื่อออกจากโรงหมอแล้วก็กำลังจะไปดูที่อื่นต่อ เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกชายวัยกลางคนคนหนึ่งขวางทางไว้
การแต่งตัวของอีกฝ่ายมองผ่านๆ ไม่แตกต่างจากประชาชนทั่วไป ทว่าตรงบั้นเอวกลับห้อยน้ำเต้ายาไว้ลูกหนึ่ง
เขาเป็นหลังจง[footnoteRef:1] [1: หลังจง หมอแผนโบราณของจีน]
หลังจงรอยยิ้มเบ่งบานเต็มหน้า เขาประสานมือให้ซูเสียวเสี่ยวน้อยๆ ก่อนบอกจุดประสงค์ในการมาเยือน
ซูเสี่ยวเสี่ยวส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง “ที่แท้ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ที่ร้านจิ่นจี้ด้วยนี่เอง...ยามนี้เจ้าอยากถามข้าว่าใช้วิธีใดกันแน่จึงได้ช่วยเด็กคนนั้นไว้ได้ใช่หรือไม่”
หลังจงยิ้มซุกซน “ขอแม่นางโปรดอย่าได้ลังเลที่จะชี้แนะ”
ซูเสียวเสี่ยวโบกมือ “โอ๊ย เกรงใจเกินไปแล้ว ชี้นงชี้แนะอะไรกัน เจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้ก็แค่นั้นแหละ”
“จริงรึ” หลังจงไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตกลงง่ายดายเพียงนี้ นี่มันไม่เหมือนที่เขาคิดไว้เลย
“เจ้าเป็นหลังจงกระมัง” ซูเสียวเสี่ยวหยิบเอาขวดกระเบื้องใบเล็กออกมาจากตะกร้าขวดหนึ่ง ก่อนยิ้มน้อยๆ “พอดีเลย ทางข้ามียาจินฉวงอยู่ขวดหนึ่ง เจ้าอยากได้หรือไม่ ขายให้เจ้าราคาถูกๆ เลยนะ”
หลังจงมองขวดกระเบื้องน้อยที่นางหยิบออกมาแวบหนึ่ง ก่อนถามอย่างไม่พอใจว่า “หากไม่ซื้อยาของเจ้า เจ้าจะยังสอนวิธีช่วยรักษาอาการอาหารติดคอหรือไม่”
“สอนสิ” ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “แต่เจ้าจะรับวิชาไปโดยไม่รู้สึกผิดรึ”
หลังจง “...”
หลังจงมุมปากกระตุก ปากยิ้มตาไม่ยิ้มพลางถามว่า “ขวดละเท่าใดรึ”
ซูเสียวเสี่ยวยื่นมือออกไป “เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ขายให้เจ้าห้าตำลึงแล้วกัน”
หลังจงตกใจยกใหญ่ “ห้าตำลึง! เหตุใดเจ้าไม่ปล้นกันเลยเล่า”
ซูเสียวเสี่ยวสองตามองฟ้า ก่อนจะแบมืออย่างจนปัญญา “เช่นนั้นก็ให้โรงหมออื่นได้วิชาไปโดยไม่จ่ายเงินก็แล้วกัน”
หลังจง “...” อีกครา