ตอนที่ 6 สินสอด
เหอถงเซิงโกรธแทบหงายหลัง
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเป็นคนฉลาดที่คนทั้งหมู่บ้านภูมิใจมากที่สุดตลอดมา เคยถูกคนอื่นเหยียดหยามเช่นนี้ที่ไหนกัน
นางยังใช่ซูตุ้ยนุ้ยที่เอาแต่ถือมีดไล่ฟาดฟันคนหรือไม่
นางกลายเป็นคนฝีปากแหลมคมอย่างเช่นวันนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เพื่อนร่วมเรียนสองคนกับชาวบ้านรอบๆ เริ่มล้อมวงเข้ามา คำพูดของซูเสียวเสี่ยวเฉียบขาดทุกคำ ลำดับชัดเจน ต่อให้ไม่ทราบเรื่องมาก่อนก็สามารถเข้าใจเหตุและผลได้ในคราวเดียว
เรื่องราวคงเป็นบัณฑิตคนนี้ถูกแม่สื่อหลอก จากนั้นหนีไปในวันแต่งงาน ตอนนี้ไม่ยอมคืนค่าสินสอดให้
“แม่นาง เขาต้องคืนค่าสินสอดเจ้าเป็นเงินเท่าไหร่กันหรือ”
“ยี่สิบตำลึงเจ้าค่ะ”
เสียงตะลึงตกใจดังขึ้นทั่วทิศ
แต่งเมียคนหนึ่งแค่สองตำลึง แม้ว่าแต่งลูกเขยจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่คงไม่เกินหกตำลึง ต่อให้เป็นคนเรียนหนังสือ อีกทั้งรูปงามด้วย อย่างมากที่สุดก็สิบตำลึงและไม่มากไปกว่านี้
แต่ว่า...
สายตาทุกคู่ตกอยู่ที่ร่างกายตุ้ยนุ้ยของซูเสียวเสี่ยว พวกเขาจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกจำนวนมากถึงเพียงนี้
คนที่มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ในหมู่บ้านแห่งนี้…ไม่มีใครต้องการจริงๆ
“ซูตุ้ยนุ้ย เจ้าไม่ลองดูพฤติกรรมของตัวเองหน่อยเลยรึไง” เหอถงเซิงกล่าวออกไปด้วยความโมโหเสียงดังราวกับฟ้าผ่า
ซูเสียวเสี่ยวตอบกลับเสียงเรียบ “พฤติกรรมข้ามันเป็นอย่างไรหรือ มันกินเวลาที่เจ้าจะคืนค่าสินสอดให้ข้าหรืออย่างไร”
ชาวบ้านพยักหน้าเงียบๆ อย่างอดไม่ได้ หญิงอ้วนผู้นี้มีตรรกะที่เยี่ยมยอด ไม่ถูกบัณฑิตผู้นั้นจูงจมูกเลย
หญิงสาวพูดไปตามข้อเท็จจริง มีเหตุผลมีหลักฐาน พอหันมองบัณฑิตผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นจนเริ่มร้อนรนอยู่ไม่สุข เขาเริ่มดูถูกด่าทอหญิงสาวต่อหน้าผู้คนอย่างคาดไม่ถึง
สติปัญญาและชั้นเชิงของทั้งสองคน ห่างชั้นกันอย่างชัดเจน
ในเวลานี้ แม้กระทั่งเพื่อนร่วมเรียนสองคนก็ขมวดคิ้วใส่เหอถงเซิงอย่างอดไม่ได้
แววตาผิดปกติจากรอบด้านเริ่มมีมากขึ้น
เหอถงเซิงกล่าวด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด “ไม่ ไม่ ไม่แน่ว่าเจ้าก็เป็นพวกเดียวกันกับแม่สื่อ ร่วมมือกันเพื่อมาหลอกให้ข้าแต่งงาน ใช่ ต้องเป็นเช่นนี้แน่”
ซูเสียวเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไว้เจอกันที่ที่ว่าการแล้วกัน”
พอสิ้นประโยค นางก็หันหลังและเดินไปทางที่ว่าการท้องถิ่นทันที
หากว่าเหอถงเซิงนึกว่านางเพียงแค่ข่มขู่เขา
ถ้าเช่นนั้น เขาเดาถูก
ในเรือนยังมีบุรุษไม่รู้ที่มาที่ไปอาศัย นางจะให้ที่ว่าการท้องถิ่นให้ความสนใจตระกูลซู โดยที่นางเองก็ยังไม่ทราบแหล่งที่มาของอีกฝ่ายได้อย่างไร
หากดูจากบทสนทนาเมื่อครู่นี้ เหอถงเซิงยังไม่รู้ว่านางมีสามีแล้ว
มิฉะนั้น ด้วยศักดิ์ศรีของเขา เขาต้องต่อว่านางเป็นคนไร้ยางอายแน่ๆ
เหอถงเซิงเป็นผู้ร่ำเรียนหนังสือ หากว่าเขาต้องแปดเปื้อนเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะสูญเสียโอกาสในการสอบเพื่อให้ได้ลาภยศ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เหอถงเซิงกล่าวข่มขู่ “ตระกูลซูของเจ้าโอหังจองหองไปทั่วหมู่บ้าน ก่อเรื่องเลวทรามนับไม่ถ้วน หากเรื่องไปถึงที่ว่าการจริงๆ เจ้ายังออกมาได้อีกรึ”
ซูเสียวเสี่ยวไม่สนใจเขา
ทำสงครามจิตวิทยา แค่บัณฑิตโง่ๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่พอจะมาอุดช่องฟันนางได้เลย
ผลลัพธ์ตามคาด เมื่อเดินมาถึงตรงหัวมุม เหอถงเซิงกัดฟันวิ่งตามไปหน้าตั้ง
“ซูตุ้ยนุ้ย”
ซูเสียวเสี่ยวยิ้มถาม “ตัดสินใจคืนเงินแล้วรึ”
คนยังเป็นคนเดิม แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด รอยยิ้มนั้นทำให้เหอถงเซิงมึนงงไปชั่วขณะ เกิดภาพลวงตาว่าซูตุ้ยนุ้ยดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
เขาหันหน้ามาแล้วใช้น้ำเสียงเหมือนทำบุญทำทาน “ข้าจะคืนให้เจ้าครึ่งหนึ่งแล้วเรื่องนี้ถือว่าเราจบกัน”
“ของของเจ้าตกแตกแน่ะ” ซูเสียวเสี่ยวมองตรงเท้าของเขา
“สิ่งใดหรือ” เขาก้มหน้ามองหา
“หน้าเจ้าน่ะ”
เหอถงเซิง “...”
“ท่านเจ้าหน้าที่” ซูเสียวเสี่ยวเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่เดินตรวจร้านขายสุราฝั่งตรงข้าม
เหอถงเซิงเลิกคิ้ว “สิบ สิบห้าตำลึง สิบห้าตำลึงพอได้แล้วกระมัง”
ซูเสียวเสี่ยวเหมือนไม่ได้ยินและเดินไปทางเจ้าหน้าที่ต่อ
“สิบแปดตำลึง”
ซูเสียวเสี่ยวเดินมาถึงข้างๆ เจ้าหน้าที่ลาดตระเวน
“มีเรื่องอะไรรึ” เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเอ่ยถาม
“ข้าจะคืน”
เหอถงเซิงกระทืบเท้า
ซูเสียวเสี่ยวยิ้มอ่อน “ข้าอยากถามท่านเจ้าหน้าที่ว่าร้านจิ่นจี้ไปทางใดหรือเจ้าคะ”
...
ซูเสียวเสี่ยวได้เงินจำนวนห้าตำลึงจากเหอถงเซิง อีกสิบห้าตำลึงที่เหลือให้เขาทำสัญญากู้ยืมเงิน และคืนภายในสามวัน
จากนั้นซูเสียวเสี่ยวก็แวะไปที่ร้านขายผ้า
การซื้อเสื้อผ้าไม่ได้อยู่ในแผนการแต่แรกและเงินสองร้อยเหวินไม่ได้เยอะอะไร
ตอนนี้นางมีเงินแล้ว นางแค่อยากซื้อเสื้อผ้าท้องถิ่นให้เว่ยถิงและเด็กน้อยสามคนสักหน่อย
“จะซื้อให้สามีกับลูกหรือ” เจ้าของร้านเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
ซูเสียวเสี่ยวยิ้ม
หลังเดินออกจากร้านขายผ้า เงินยังเหลืออีกสี่ตำลึง
นางจึงไปร้านขายธัญพืชต่อ ซื้อแป้งข้าวโพดยี่สิบชั่ง แป้งขาวสิบชั่ง และข้าวสารอีกสิบชั่ง
ตอนไปซื้อเนื้อสัตว์ ร้านเกือบจะปิดแล้ว
“เนื้อตากแห้งขายอย่างไรรึ” นางเอ่ยถาม
คนขายเนื้อเป็นชายหนุ่ม เขาเอ่ยตอบ “หนึ่งชั่งห้าสิบเหวิน เนื้อดีทั้งนั้น”
“แพงขนาดนี้เลยหรือ”
“ร้านของข้าขายถูกที่สุดแล้ว เจ้าลองไปถามร้านอื่นดูสิ อย่างน้อยตั้งหกสิบเหวิน”
“เนื้อสดล่ะ” ซูเสียวเสี่ยวถามต่อ
คนขายเนื้อตอบ “จะปิดร้านแล้ว ถ้าเกิดเจ้ารับ ข้าขายให้เจ้าหนึ่งชั่งสิบเหวิน”
สมัยโบราณเกลือราคาแพง ต้นทุนเนื้อตากแห้งสูง ราคาขายจึงสูงตาม
ซูเสียวเสี่ยวตัดสินใจซื้อซี่โครงกับเนื้อสามชั้นสดและกลับไปทำเอง
คนขายเนื้อเห็นว่านางซื้อทีเดียวหลายชั่งจึงยิ้มและเอ่ยถาม “แม่นาง ข้ายังมีเครื่องในหมูอีก ถ้าเจ้าไม่รังเกียจก็เอาไปเถิด ไหนๆ ข้าก็จะปิดร้านแล้ว”
เครื่องในหมูเป็นของดีในชาติก่อน แต่ในสมัยโบราณไม่เป็นที่ต้องการเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนไม่รู้วิธีทำ
แน่นอนว่า ไม่ได้เกินจริงถึงขั้นโยนทิ้งก็ไม่มีใครซื้อ อย่างไรเสียชาวบ้านจนๆ ปีหนึ่งได้กินเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่มื้อ เครื่องในยังถือว่าเป็นเนื้อชนิดหนึ่ง
“ขอบใจนะ”
ถ้าจะทำเนื้อตากแห้ง เกลือกับเครื่องเทศจะขาดไม่ได้
กว่าซูเสียวเสี่ยวจ่ายตลาดเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายแล้ว
ของมากมายขนาดนี้ ซูเสียวเสี่ยวถือกลับไปไม่หมด
แต่นางโชคดี บังเอิญเห็นตาเฒ่าหลี่ที่ขับเกวียนเทียมวัวตรงทางเข้าตลาด
ตาเฒ่าหลี่เพิ่งขายแม่ไก่แก่ไปสองตัวและซื้อน้ำตาลทรายแดงสองชั่งให้หลานชายกับลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งท้อง แถมยังมีของปีใหม่ที่คนในหมู่บ้านฝากซื้อด้วย
“ลุงหลี่” ซูเสียวเสี่ยวโบกมือทักทาย
ตาเฒ่าหลี่ดึงเกวียนหนีทันที
ซูเสียวเสี่ยวจึงเข้าไปขวางทาง
“ลุงหลี่ ข้าจะกลับหมู่บ้าน รบกวนพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
เจ้าซูตุ้ยนุ้ยคนเก่าไม่เคยสุภาพเช่นนี้มาก่อน มีแต่เรียกตาแก่หลี่ๆ และไม่เคยทักทายใดๆ ขึ้นมานั่งแปะบนเกวียนทันที
หากว่าโชคดี เจ้าซูตุ้ยนุ้ยจะไม่ให้ค่ารถ
หากว่าโชคร้าย เจ้าซูตุ้ยนุ้ยจะไถเงินตาเฒ่าหลี่
ตาเฒ่าหลี่ด่าตัวเองดวงซวยอยู่ในใจ เมื่อวานเพิ่งถูกปล้นเงินขวัญถุง วันนี้ยังต้องมาเจออีก
เขาไม่ยอมเห็นใจเจ้าซูตุ้ยนุ้ยเพียงเพราะนางพูดจาเกรงใจเพียงไม่กี่คำแน่
ตาเฒ่าหลี่แทบจะร้องไห้ แต่เขาจะทำอะไรได้
ถ้าทำให้เจ้าเด็กอันธพาลนี่โมโห ตระกูลซูยังมีคนพาลอีกสองคนที่มีกำปั้นที่แข็งแกร่งกว่า
ตาเฒ่าหลี่ทำหน้าโศกเศร้า แต่ก็ยอมให้ซูเสียวเสี่ยวพร้อมของของนางขึ้นเกวียน
กลับถึงหมู่บ้านได้ครึ่งทาง เกวียนวัวก็ถูกขวางเอาไว้
เป็นพวกอันธพาลสามคนของตัวเมือง หัวโจกนามว่าพี่เตา อายุน้อยกว่าซูเฉิงไม่กี่ปี เพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากที่ว่าการเมื่อไม่นานมานี้
เขาควงมีดในมือ มองซูเสียวเสี่ยวแวบหนึ่ง พร้อมหัวเราะอย่างประหลาดใจ “อ้าว ลูกสาวพี่ซูไม่ใช่รึ บังเอิญแท้”
สีหน้าตาเฒ่าหลี่พลันเปลี่ยนไป
ซวยแล้ว พวกเดียวกัน ของบนเกวียนวัวของเขาไม่รอดแน่ๆ
นอกเสียจากเจ้าซูตุ้ยนุ้ยจะช่วยเขา…
แต่เจ้าซูตุ้ยนุ้ยไม่มีทางช่วยเขาแน่
ไม่มีทาง…