บทที่ 5 บทเรียน

ตอนที่ 5 บทเรียน

ซูเสียวเสี่ยวนำแป้งมันเทศใส่ลงในหม้อนึ่งขนาดใหญ่แล้วก็ยกเสื้อผ้าสกปรกหนึ่งกะละมังไปยังริมแม่น้ำด้านหลังหมู่บ้าน

นี่คือแม่น้ำที่มีน้ำไหลตลอด ไหลผ่านหลายหมู่บ้าน ปกติทุกคนจะพากันมาซักผ้าและซาวข้าวตรงนี้

แม้ฟ้าจะเพิ่งสว่าง แต่มีคนมาซักผ้ามากมายแล้ว

ทุกคนที่เห็นซูตุ้ยนุ้ยปรากฏตัวพร้อมกับกะละมังต่างตะลึงงันกันถ้วนหน้าราวกับเห็นผี

ไม่นึกเลยว่าสตรีเกียจคร้านผู้นี้จะตื่นเช้ามาทำงานบ้านเป็นด้วย เพราะพวกเขาตาฝากหรือว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก

ไม่สิ เจ้าซูตุ้ยนุ้ยต้องมารีดไถเงินแน่ๆ

แววตาของทุกคนเผยความตระหนกตกใจ ยังไม่ทันรอให้ซูเสียวเสี่ยวเดินเข้ามาใกล้ก็พากันยกกะละมังและวิ่งหนีราวกับผึ้งแตกรังทันที

ซูเสียวเสี่ยวยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้จึงหาพื้นที่ใกล้ริมแม่น้ำและนั่งลง

สมัยโบราณไม่มีมลพิษจากอุตสาหกรรม แหล่งน้ำใสสะอาดจนมองเห็นพื้นน้ำ แม้แต่อากาศที่หายใจก็ยังชวนให้รู้สึกจิตใจเบิกบานมีความสุข

ซูเสียวเสี่ยวหยิบเสื้อผ้าออกมา บางแผ่บนก้อนหินก้อนใหญ่ นางถูด้วยจ้าวเจี่ยว[footnoteRef:1]แล้วขยี้จนสะอาด จากนั้นถึงใช้ท่อนไม้ตีให้เศษจ้าวเจี่ยวหลุดออกมาจากเสื้อผ้า ตีหนึ่งรอบล้างน้ำหนึ่งรอบ ทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ [1: จ้าวเจี่ยว เป็นฝักผลจากต้น 皂荚(จ้าวเจี๋ย) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gleditsia sinensis เป็นพืชดอกสมุนไพรของจีนที่ถูกนำมาใช้ทำเป็นสบู่ นำผลฝักมาบดและทำให้เกิดฟองมากเมื่อผสมในน้ำ]

หลังจากซักเสื้อผ้าหนึ่งกะละมังเสร็จ เหงื่อก็ไหลท่วมตัว

ขณะที่ซูเสียวเสี่ยวยกกะละมังไม้จะเดินกลับไป บังเอิญได้พบกับสะใภ้ใหญ่เสี่ยวอู๋ซื่อ[footnoteRef:2]แห่งตระกูลหลิวซานกำลังยกกะละมังมุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำ [2: ซื่อ ผู้หญิงสมัยโบราณมักจะถูกเรียกด้วยแซ่ ดังนั้น อู๋ซื่อ หมายถึง แซ่อู๋ คือว่า ‘ซื่อ’ หมายถึง แซ่หรือนามสกุล ตัวอย่างเช่น หากเป็นหญิงจากตระกูล โจว จะเรียกว่า โจวซื่อ มาจากตระกูล หวัง จะเรียกว่า หวังซื่อ เป็นต้น ]

เสี่ยวอู๋ซื่อเห็นนางก็พลันตะลึงตกใจตัวสั่น จนไม้ตีที่อยู่ในกะละมังตกพื้น ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ที่ตกลงไปใกล้ข้างเท้าซูเสียวเสี่ยวพอดี

เสี่ยวอู๋ซื่อตกใจกลัวมาก อยากก้มเก็บแต่ไม่กล้า

ซูเสียวเสี่ยวยื่นมือออกไปแล้วก้มเก็บให้นาง

เสี่ยวอู๋ซื่อหลับตาลงทันที

ก๊องแก๊ง

ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นตามที่จินตนาการ

เสี่ยวอู๋ซื่อลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ นางมองไม้ตีในกะละมัง หันกลับไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ส่วนซูเสียวเสี่ยวยกกะละมังเดินไปไกลแล้วโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

“เดิน ผ่านไปเลย…อย่างนั้นรึ”

...

เรือนตระกูลซู เด็กน้อยสามคนตื่นนอนแล้ว

ซูเอ้อร์โก่วจะนอนถึงตะวันโด่งฟ้า ซูเฉิงเองก็เช่นกัน ส่วนเว่ยถิงเป็นผู้ป่วยอาการหนัก ยังคงสลบไม่ได้สติ

ไม่มีใครแต่งตัวให้เด็กน้อยสามคน พวกเขาลงย่ำพื้นด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า

พวกเขาเดินวนรอบเรือนมาแล้วหนึ่งรอบก็ยังไม่มีผู้ใหญ่คนไหนรู้สึกตัว

ตอนนี้เอง มีเสียงเด็กเจี้ยวจ้าวดังมาจากเรือนข้างๆ ทั้งสามคนจึงออกไปดูด้วยความใคร่รู้

เรือนข้างๆ คือตระกูลหลิวซาน

สะใภ้ใหญ่เสี่ยวอู๋ซื่อออกไปซักผ้า เด็กที่ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวคือหนิวต้านลูกชายสะใภ้รองนามเหอซื่อ

ปีนี้หนิวต้านอายุเจ็ดขวบ เป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลหลิว

“ท่านแม่ ใส่เสื้อผ้าให้ข้าหน่อยสิ”

“ได้ๆๆ เจ้ารอก่อนนะ ให้พ่อเจ้าดื่มยาก่อน”

พ่อของหนิวต้านเอวเคล็ดจากการขุดรากบัวในบ่อปลาเมื่อสองสามวันก่อน หมอได้จ่ายยาสมุนไพรสลายเลือดคั่งและช่วยการไหลเวียนโลหิตให้

เด็กน้อยสามคนเขย่งเท้าเกาะหน้าต่าง พากันเหม่อมองดูครอบครัวนั้น

หนิวต้านเคยเห็นเด็กสามคนนั้น รู้ว่าพวกเขาคือลูกติดที่เพิ่งมาใหม่ของตระกูลซู ในใจรู้สึกดูถูกอย่างมาก

เขาแลบลิ้นใส่ด้วยความขยะแขยง “แบร่ ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตายเลยคอยดู”

“ลงมา” เหอซื่อตีๆ ก้นของลูกชาย ดันลูกชายนั่งลงบนเตียง หยิบเสื้อผ้ามาใส่ให้เขาทีละชิ้น

“ท่านแม่ ข้าอยากกินซุปไข่หวาน” หนิวต้านกล่าว

“จ้ะ ประเดี๋ยวแม่ทำให้” เหอซื่อกล่าว

ในเรือนมีบุตรสาวหลายคน แต่มีเด็กในท้องของนางเท่านั้นที่คลอดออกมาพร้อมเจ้านั่น ทุกคนจึงตามใจ อย่าว่าแต่ซุปไข่หวานหนึ่งฟองเลย สองฟองก็มีให้กินอย่างไม่ขัดสน

หนิวต้านยกซุปไข่หวานที่แม่ของเขาทำให้ นั่งกินให้เด็กน้อยสามคนที่อยู่ตรงหน้าต่างดู

เมื่อซูเสียวเสี่ยวถือกะละมังไม้กลับมาถึงเรือนก็เห็นฉากเจ้าแฝดสามกำลังดูหนิวต้านกินตาปริบๆ

ทั้งสามคนไม่ได้ใส่รองเท้า เสื้อผ้าที่ใส่ก็น้อยชิ้นเบาบาง

ซูเสียวเสี่ยวขมวดคิ้วทันทีพร้อมกับวางกะละมังลงและเดินเข้าไปหา

หนิวต้านเห็นซูตุ้ยนุ้ยเดินมา ทันใดนั้นก็ทำกร่างไม่ออกกลับหลังหันวิ่งทันที

ซูเสียวเสี่ยวพาทั้งสามคนกลับเข้าเรือน สวมเสื้อผ้าและรองเท้าให้

ทั้งสามคนตัวผอมกว่าที่นางคิดไว้

ดูจากการเสื้อผ้าของเว่ยถิงและพวกเขาแล้ว ไม่เหมือนกับคนไม่มีอันจะกินแล้วเหตุใดถึงผอมเพียงนี้

“พวกเจ้าหิวหรือยัง” นางถาม

ทั้งสามคนพยักหน้าหงึกๆ

“เดี๋ยวข้าไปเอาอาหารมาให้พวกเจ้านะ” ซูเสียวเสี่ยวเดินเข้าไปในครัว

ทั้งสามคนเดินตามเข้ามาแล้วจับจ้องไปที่ไข่ไก่ในตะกร้าอย่างไม่ละสายตา

“อยากกินสิ่งนี้อย่างนั้นรึ”

ทั้งสามพยักหน้า

ซูเสียวเสี่ยวจึงตอกไข่ไปสามฟอง ให้คนละหนึ่งฟอง

ห้องครัวเพิ่งจุดไฟมา อบอุ่นกว่าในห้องโถง ซูเสียวเสี่ยวจึงยกเก้าอี้เข้ามา เพื่อให้เด็กสามคนนั่งกินในห้องครัว

ส่วนนางแวะไปห้องเว่ยถิงพร้อมกับปลุกให้เขาตื่น “ได้เวลากินยาแล้ว”

เว่ยถิงลืมตาขึ้นสะลึมสะลือ

ซูเสียวเสี่ยวพยุงเขาขึ้นมาและป้อนยาแก้อักเสบกับยารักษาห้อเลือดให้เขา

เว่ยถิงยังไม่มีความอยากอาหารจึงหลับลงไปอีกครั้ง

เด็กน้อยสามคนเกาะประตูแอบมองและเห็นภาพเหตุการ์นี้เข้า

เด็กน้อยทั้งสามคนนึกถึงสตรีเรือนข้างๆ ที่เห็นเมื่อเช้า

สตรีป้อนยาให้พ่อของหนิวต้าน สวมใส่เสื้อผ้าให้หนิวต้าน ทำซุปไข่หวานให้หนิวต้านกิน

หนิวต้านเรียกนางว่าท่านแม่

...

ซูเสียวเสี่ยวไปปลุกซูเอ้อร์โก่ว ให้เขาช่วยดูเด็กและคนป่วยในเรือน นางต้องเข้าไปในเมืองสักหน่อย

ถึงแม้ซูเฉิงจะเข้าเมืองไปเมื่อวาน แต่ผู้ชายอย่างเขา ไม่รู้จักเรื่องการใช้ชีวิตอย่างละเอียดรอบคอบ เงินขวัญถุงที่ปล้นมา สิ่งที่นึกขึ้นได้อันดับแรกไม่ใช่การซื้อข้าวสารซื้อเส้นหมี่กลับบ้าน แต่คือการซื้อขนมหวานให้บุตรสาวสุดที่รัก

เขาซื้อขนมหวานไปด้วยเงินครึ่งหนึ่งของเงินขวัญถุง เหลือกลับมาไม่ถึงสองร้อยเหวิน

ปลายปีใกล้เข้ามาทุกที ข้าวของต่างขึ้นราคา สองร้อยเหวินสำหรับใช้สามคนนับว่าเกือบชักหน้าไม่ถึงหลัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกสี่ปากที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา

ต้องหาวิธีหาเงินแล้ว

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เยื้องไปข้างหน้าพลันมีเสียงตะโกนลั่นดังขึ้นมา

“ซูตุ้ยนุ้ย!”

หา?

คนแซ่เหอ?

เหอถงเซิงชื่อจริงนามว่าเหอเจียน ตระกูลเหอมีบุตรชายหกคน เขาเป็นลูกคนที่สาม

หลังจากหนีงานแต่งงานเมื่อวาน เอ้อร์โก่วบอกว่าเขาหนีกลับเข้าเมือง นึกไม่ถึงเลยว่าจะพบเขาตั้งแต่ทางเข้าตลาดในวันนี้

ข้างกายของเขามีชายหนุ่มแต่งตัวเหมือนคนเล่าเรียนหนังสือยืนอยู่สองคน คงเป็นเพื่อนร่วมเรียนกระมัง

เหอถงเซิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าโมโห จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “หยุดสักทีเจ้าซูตุ้ยนุ้ย อย่ามาทำตัวเป็นวิญญาณคอยตามหลอกหลอนได้หรือไม่”

ซูเสียวเสี่ยวขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้ามาหาเจ้างั้นรึ”

เหอถงเซิงถามกลับเสียงแข็ง “แล้วไม่ใช่เช่นนั้นรึ”

“ก็ใช่” ซูเสียวเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมยื่นออกไปช้าๆ

เหอถงเซิงถอยกลับดุจแมงป่อง “เจ้าจะทำอะไร”

ซูเสียวเสี่ยวหัวเราะกล่าวว่า “สินสอดทองหมั้นไงล่ะ เจ้าคงไม่แค่ยกเลิกงานแต่ง แต่ไม่คืนสินสอดให้ข้าหรอกกระมัง”

“นี่เจ้า”

“มาจ้งเจ้าอะไร ข้าขอเตือน อย่ามาพูดพล่ามไร้สาระกับข้า ไปหาคณิกาหนุ่มในหอนางโลมยังต้องได้ลูบคลำสักสองครั้งก่อนถึงจะให้เงินเลย ประการแรก ข้าไม่ได้ไหว้ฟ้าดินกับเจ้า ประการที่สอง ข้าไม่ได้เข้าหอกับเจ้า ฉะนั้นเจ้าอย่าคิดเบี้ยวหนี้ข้าเป็นอันขาด”

เหอถงเซิงโกรธตัวสั่น

นังหญิงอ้วนผู้นี้…ริอาจเปรียบเขาเป็นคณิกาหนุ่มในหอนางโลม

ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี

แต่เขาดันใช้เงินเหล่านั้นไปแล้วส่วนหนึ่งนี่สิ

ซูเสียวเสี่ยวกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่คืนให้ข้าก็ไปเจอกันที่ที่ว่าการแล้วกัน”

เหอถงเซิงกัดฟันกล่าว “เหตุใดต้องทำเรื่องให้ไปถึงที่ว่าการด้วย เจ้าไม่กลัวขายหน้าเลยรึ”

ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถาม “ขายหน้าคือสิ่งใด กินแทนข้าวได้หรือไม่แล้วอีกอย่างคนที่ต้องอับอายขายหน้าเป็นเจ้าไม่ใช่รึ เจ้าเป็นคนรับสินสอด งานแต่งงานนี้เจ้าก็เป็นคนตอบรับเอง”

เหอถงเซิงโกรธเลือดขึ้นหน้า “นั่นเพราะข้าถูกแม่สื่อหลอก…”

ซูเสียวเสี่ยวมองเขาด้วยหน้าเย็นชา

“เสียดายที่เล่าเรียนหนังสือมาตั้งหลายปี ไอ้ที่เรียนมันเข้าไปอยู่ในท้องหมาแล้วรึไร แม่สื่อชาวบ้านคนหนึ่งยังหลอกเจ้าได้ ถ้าสมองมีเนื้อไม่ได้มีแต่น้ำก็คงไม่ตกหลุมพรางนี้หรอก”

“ข้าว่าเจ้าหยุดเรียนหนังสือดีกว่า กลับเรือนไปทำไร่ไถนาเสียเถอะ น้ำที่อยู่ในสมอง คงช่วยรดแปลงผักได้สองหมู่[footnoteRef:3]” [3: หมู่ คือ หน่วยวัดที่ดินของประเทศจีน ซึ่ง 1 หมู่ มีค่าเท่ากับ 666 ตารางเมตรโดยประมาณ]