บทที่ 3 ลูก

ตอนที่ 3 ลูก

นึกไม่ถึงว่าจะคนมีไร้ยางอายเช่นนี้อยู่บนโลก สำรวจดูเขาจนหมดจดแล้วยังดูหมิ่นเขาอีก

มีอย่างที่ไหนกัน

ช่างเถอะ เขาเป็นชายหนุ่มไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสตรีหรอก

ซูเสียวเสี่ยวมองชายหนุ่มที่ไอสังหารพวยพุ่งเมื่อเสี้ยววินาทีก่อน จู่ๆ ก็เงียบลงกะทันหัน

นางเลิกคิ้วขึ้น

เอ๋ ยอมสยบแล้วรึ

ชายหนุ่มไม่ได้ยอมสยบ เขาเพียงสงบลงเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือเด็กทั้งสามคนอยู่ที่ไหนและปลอดภัยหรือไม่ ปัญหาที่ตนประสบอยู่ตอนนี้ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง

เขาจำได้ว่าตนถูกจู่โจมจากด้านหลัง พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ซูเสียวเสี่ยวยื่นมือเล็กอ้วนของตัวเองไปโบกๆ ตรงหน้าของชายหนุ่ม “นี่เจ้าเหม่อลอยอะไรอยู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่พูดจา อย่าบอกนะว่าถูกข้านั่งทับจนฟั่นเฟือนไปแล้ว”

นางค่อยๆ ขยับก้นอวบของตนเองออก “นี่อย่างไร ข้าไม่ได้นั่งทับเจ้าแล้ว”

มัน ชา ไป นาน แล้ว

ชายหนุ่มยังคงสีหน้านิ่งเฉยและเริ่มสำรวจซูเสียวเสี่ยวตั้งแต่หัวจรดเท้า

ในสายตาเขาที่มองไปซูเสียวเสี่ยวมีทั้งความสงสัย ระแวดระวังป้องกัน แต่สิ่งที่ไม่มีคือสายตาดูถูกกับสายตามองแปลกประหลาดเมื่อเห็นรูปร่างอ้วนท้วนอุดมไปด้วยไขมันของนาง

ต้องรู้ไว้ว่า ตั้งแต่เด็กจนโต สายตาแปลกๆ ที่เจ้าของร่างเดิมเคยได้รับมีมากมาย

แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าคนทั้งหมู่บ้านมีเจตนาร้ายต่อนาง แต่พูดได้ว่าคนที่ไม่มองนางด้วยสายตาประหลาดใจเลย ชายหนุ่มตรงหน้านางนั้นคือคนแรก

ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม “เจ้าบอกว่าครอบครัวเจ้าเป็นคนช่วยพาข้ากลับมา แล้วพวกเขายังบอกสิ่งใดกับเจ้าอีกหรือไม่”

บอกว่านายเป็นสามีฉัน

และยังบอกว่านายมีลูกให้ฉันแล้วสามคน

ซูเสียวเสี่ยวนั่งยองๆ วาดวงกลมบนพื้น นางกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไร

แต่ในมุมมองของชายหนุ่ม เขาเห็นเพียงหญิงอ้วนตุ้ยนุ้ยที่แบกหัวกลมๆ ไว้บนบ่ากำลังพ่นลมหายใจผ่านทุกรูขุมขนออกมาอย่างน่ารำคาญ

มุมปากของชายหนุ่มกระตุก

โครก~

ท้องของชายหนุ่มส่งเสียงร้องออกมา

“เอ๋?” ซูเสียวเสี่ยวเงยหน้าขึ้นถาม “เจ้าหิวแล้วหรือ”

ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ซูเสียวเสี่ยวไม่รอฟังคำตอบก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นางปัดฝุ่นบนมือและกล่าว “เดี๋ยวข้าไปเอาอาหารมาให้นะ”

จริงๆ เลย ถูกชายหนุ่มผู้นี้ขัดจังหวะจนลืมไปเลยว่าตนเองก็ยังไม่ได้กินข้าว

ซูเสียวเสี่ยวกลับถึงครัวก็ยกซุปมันเทศสองถ้วยกับแป้งห่อไส้กุยช่ายกลับมา มีซุปถ้วยหนึ่งที่กินไปหนึ่งคำเมื่อครู่นี้และเริ่มเย็นไปแล้ว

“ให้ข้าป้อนเจ้าหรือเจ้าจะกินเอง” ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถาม

“ข้ากินเองได้ เจ้าคลายเชือกให้ข้า” ชายหนุ่มบอกกล่าวแต่ไม่เห็นซูเสียวเสี่ยวขยับจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวเสริม “ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”

ซูเสียวเสี่ยวจึงแกะเชือกที่มัดแขนขาเขาออก จากนั้นพยุงเขานั่งบนเตียงและหยิบหมอนให้เขาอิง

บาดแผลของเขาส่วนใหญ่อยู่ตรงท้องกับขา แขนขยับได้ปกติ สามารถกินข้าวเองได้

ซูเสียวเสี่ยวยกโต๊ะตัวเล็กในห้องของตัวเองมาวางบนเตียงเขา จากนั้นยกถ้วยซุปมันเทศอุ่นๆ กับแป้งห่อไส้กุยช่ายมาวางบนโต๊ะ

เวลาซูเสียวเสี่ยวขี้เกียจลงจากเตียง พ่อซูกับซูเอ้อร์โก่วก็ป้อนข้าวให้นางเช่นนี้

ชายหนุ่มมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วแทบไม่มีความอยาก แต่เขาต้องรีบทำร่างกายให้ฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว

เขาซดซุปมันเทศอย่างไม่เต็มใจ แต่กลับพบว่ารสชาติอร่อยอย่างน่าประหลาดใจ

ความหวานของมันเทศผสมรวมกับน้ำซุป ในรสหวานมีรสเค็มอยู่เล็กน้อย ต้นหอมซอยสดที่ทานควบคู่ไปด้วย รสชาติไม่ด้อยไปกว่าที่ปรุงโดยพ่อครัวในเมืองหลวง

จากนั้น เขาก็ชิมแป้งห่อไส้กุยช่ายต่อ มันกรอบนอกนุ่มใน อร่อยน่าทึ่งเป็นที่สุด

อาหารเหล่านี้ สตรีผู้นี้เป็นคนทำทั้งหมดอย่างนั้นรึ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงเชียว

“เจ้ามีนามว่าอะไรรึ” ซูเสียวเสี่ยวที่นั่งกินน้ำซุปอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม

ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่งถึงตอบ “ข้าชื่อเว่ยถิง”

“ข้าชื่อซูต้ายา”

ซูเสียวเสี่ยวก็แนะนำชื่อของร่างนี้ด้วยคน

เว่ยถิงไม่พูดต่อ เขาอดทนต่อความเจ็บของบาดแผลและกินอาหารต่อ

ซูเสียวเสี่ยวเหลือบมองเขาเป็นพักๆ

หากมองข้ามใบหน้าที่บวมเป็นหมู แต่มองเพียงท่าทางกินข้าวที่ไม่รีบร้อนของเขาก็มีความเป็นผู้ดีแทรกอยู่

แต่บุคลิกของชายหนุ่มนั้นเยือกเย็น

จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ

เหมือนคนที่คลานออกมาจากกองศพและแผ่รังสีพิฆาตที่ก่อขึ้นจากเถ้ากระดูกคนกระมัง

ชายคนนี้เคยฆ่าคนมาก่อนและไม่ใช่แค่คนเดียว

พ่อซูจะรู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าตัวเองไปจับตัวปัญหาตัวใหญ่กลับมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้ที่นางเพิ่งตรวจเขาไป เขามีรอยแผลมีดบาดกับถูกกระแทกหลายจุดบนร่างกาย รอยบาดจากมีดที่ลึกจนเห็นกระดูกมีอยู่สองจุด อยู่ตรงส่วนท้องด้านขวาบนกับน่องขาด้านซ้าย

บริเวณบาดแผลมีร่องรอยของการทำแผลง่ายๆ น่าจะเป็นพ่อซูที่เป็นคนทายาจินฉวงให้เขา

ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตาม เขาก็เสียเลือดไปเยอะ ชีพจรกับลมหายใจเขาอ่อนแรงมาก ถ้าดูจากรอยมีดบาดกับรอยฟกช้ำตรงท้อง อวัยวะภายในอาจมีเลือดออกด้วยก็เป็นได้

กล่าวง่ายๆ อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสกว่าที่เห็นมาก

ถ้าอยู่ในชาติที่แล้ว นางมั่นใจมากว่ารักษาเขาได้ แต่ตอนนี้…

...

เว่ยถิงพักผ่อนอีกครั้งหลังจากกินข้าวเสร็จ

ซูเสียวเสี่ยวเหนื่อยพอสมควรเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะร่างกายนี้อ้วนเกินไป กินได้นอนได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้เลย

ซูเสียวเสี่ยวล้างถ้วยตะเกียบเสร็จ กลับถึงห้องก็เอาหน้าฟุบเตียงในห้องทันที

ตอนที่กำลังคิดถึงบาดแผลของชายหนุ่ม ในช่วงที่สะลึมสะลือ จู่ๆ นางก็ฝันว่าตัวเองได้กลับไปยังห้องยาที่ฐานทัพ

นี่คือห้องยาเภสัชกรรมที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารวิจัย อยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง ยังไม่ถูกเปิดใช้งาน ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าไปได้มีเพียงไม่กี่คน

ซูเสียวเสี่ยวคือหนึ่งในนั้น

นางคว้ากระเป๋าปฐมพยาบาลขึ้นมาและเริ่มหยิบยาฉุกเฉินบางส่วนใส่เข้าไป

เลือกไปเลือกมาพลันตื่นขึ้น

ซูเสียวเสี่ยวรู้สึกขำ นางเคารพในอาชีพของตัวเองแค่ไหนกันนะ แม้กระทั่งฝัน ก็ยังฝันว่าจะรักษาบาดแผลให้กับชายผู้นั้น

แต่วินาทีต่อมา นางก็ขำไม่ออกทันที

นางเห็นกระเป๋าปฐมพยาบาลอยู่ในมือของตัวเอง...

...

“ต้ายา พ่อกลับมาแล้ว”

เสียงที่สดใสร่าเริงของซูเฉิงดังมาจากด้านนอก ซูเสียวเสี่ยวซุกกระเป๋าปฐมพยาบาลเข้าไปในผ้าห่ม

นิ่งไว้ อย่าลนลาน

ซูเสียวเสี่ยวยิ้มและเดินออกจากห้องไปด้วยใจสงบ

ซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วกลับมาจากการปล้นชาวบ้านพร้อมกับเข้าไปในเมืองและซื้อขนมที่ต้ายาชอบกินกลับมา

เด็กน้อยทั้งสามคนถูกบังคับให้ทำงานทั้งวัน พวกเขาเหนื่อยจนหลับไประหว่างทาง ซูเอ้อร์โก่วอุ้มไว้ข้างละหนึ่งคน ส่วนพ่อซูอุ้มไว้หนึ่งคน

ก่อนหน้านี้ซูเสียวเสี่ยวหมดสติเร็วเกินไปจึงไม่ทันเห็นหน้าตาของเด็กน้อยเหล่านี้ชัดๆ พอได้มองดูอย่างละเอียด ภายในใจก็อดตกใจไม่ได้

ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ผิวขาวเนียนดั่งหยก ขนตายาวหนา เป็นเด็กที่หน้าตางดงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น โดยเฉพาะความน่าเอ็นดูยามนอนหลับ มันช่างชวนให้รู้สึกใจอ่อนยวบไปหมด

นึกไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะให้กำเนิดบุตรผิวขาวดุจหิมะที่น่ารักถึงเพียงนี้

ซูเสียวเสี่ยวจิ้มที่แก้มยุ้ยๆ ของเด็กสามคน

อู้ว

นุ่มจัง

เด็กน้อยสามคนลืมตาขึ้นทีละคนและดูเหมือนว่าตื่นขึ้นเพราะถูกซูเสียวเสี่ยวจิ้ม

“เอ๋ ท่านพ่อ เด็กๆ ตื่นแล้ว” ซูเอ้อร์โก่วแทบร้องไห้ “พวกเจ้าตื่นสักที ข้าเหนื่อยแทบแย่”

เดินอุ้มอยู่หลายลี้จนแขนของเขาแทบหักแล้ว

ซูเสียวเสี่ยวมองแฝดสามหนึ่งทีด้วยสายตาประหลาด

เป็นภาพลวงตารึไม่

เหตุใดถึงไม่รู้สึกเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนล่ะ

คงไม่ได้แกล้งหลับตลอดทางแล้วใช้พ่อซูกับซูเอ้อร์โก่วเป็นอุปกรณ์ช่วยเดินทางหรอกกระมัง

...นางคงคิดมากไป

เด็กอายุเพียงสองสามขวบคงไม่ร้ายเช่นนั้นหรอก