ตอนที่ 20 : รากปราณมารเก้าเนตร

ไป๋เฉินจึงตัดสินใจเดินเข้าใกล้ประตูอย่างสงสัยใคร่รู้

ทว่าเมื่อหยุดอยู่ตรงประตูสูงกว่าสิบฟุต ประตูสำริดสีดำพิลึกกึกกือโบราณแลดูจะมิได้ใช้งานมาเนิ่นนาน ระยะห่างระหว่างประตูสองบานนั้นถูกล่ามไว้ด้วยโซ่สีดำสมัยบรรพกาล

ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดมาดลใจไป๋เฉินจึงตัดสินใจเดินปรี่ไปยังโซ่ขนาดยักษ์ที่กำลังคล้องไว้พลางลูบคลำ "เป็นไปได้ไหมว่าประตูบานนี้คือทางออกของสถานที่แห่งนี้?"

ด้วยความไม่รูัไป๋เฉินจึงดึงโซ่ที่มีความหนากว่า 20 เซนติเมตรที่กำลังปิดกั้นพันธนาการบานประตูออก หมายที่จะกลับออกไปจากสถานที่บ้าๆแห่งนี้ให้เร็วที่สุด

วินาทีต่อมาบานประตูถูกเปิดออกอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับว่ามิได้มีการเปิดประตูบานนึ้มาเนิ่นนาน

"เอี๊ยด~"

เมื่อประตูสำริดถูกแง้มออก จู่ๆกลับมีรัศมีเข่นฆ่าและจิตสังหารอันน่าสะพรึงไหลหลั่งออกจากบานประตูราวกับพายุน้ำวนเข้าถาโถมโหมกระหน่ำเข้าสู่โสตประสาท ส่งผลให้ไป๋เฉินเบิกตากว้างด้วยความหนาวสั่น

"หว่อง!"

เมื่อประตูสำริดเปิดออกได้ครึ่งหนึ่ง ฉากทัศน์ด้านในกลับกลายเป็นฉากที่มีเพียงสีแดงฉานอันรกร้างไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้างและสิ่งมีชีวิต กลิ่นสาบของโลหิตคละคลุ้งตลบอบอวลอยู่ภายใน ไป๋เฉินจีงรีบถอยร่นออกไปตั้งท่าเตรียมต่อสู้ด้วยความระแวดระวัง

ทันใดนั้นฉากหลังสีแดงฉานกลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอย่างเขื่องช้า ปรากฏให้เห็นนัยน์ตาสีแดงก่ำเบิกโพลงประดุจดั่งว่าเส้นเลือดฝอยแตกกรายทั้งเก้าดวงกำลังจ้องมองมายังร่างของเขาด้วยอารมณ์ที่เริงร่า "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดข้าก็หลุดออกจากที่บ้าๆแห่งนี้เสียที!

เมื่อเห็นดวงตาทั้งเก้าดวงกำลังจดจ้องมายังตน ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งพรวดถอยร่นฝีเท้ากลับไปโดยพลัน "จะ-เจ้าเป็นใคร? แล้วที่นี่คือไหนกัน"

ดวงตาทั้งเก้าสอดประสานจ้องมองมาพร้อมกับเสียงอันน่าขนลุก "โอ้? ช่างเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ยิ่ง แม้นว่าจะอ่อนแอเล็กน้อย แต่การสิงสู่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา…"

ไป๋เฉินสัมผัสได้ถึงลางร้ายและจิตสังหารที่กำลังลุกโชนของดวงตา เขายกฝ่ามือขึ้นขนาบหน้าอกยืดขาซ้ายไปด้านหลังตระเตรียมท่าสำหรับการต่อสู้

"พยายามต่อต้านงั้นรึ!? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! นี่คือมิติของข้า ต่อให้เจ้าจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ได้!" ดวงตาแดงก่ำทั้งเก้าเบิกโพลงก่อนที่ตราประทับ 血 จะเปล่งออกจากรูม่านตาพุ่งตรงไปยังหน้าผากของไป๋เฉินอย่างกะทันหันโดยไม่มีการพูดจาใดๆ

"ไม่ดี!" ไป๋เฉินสาวหมัดอัดกำปั้นใส่ตราประทับนั้นอย่างเฉียบแหลม แต่ทว่าตรานั้นกลับทะลุทะลวงผ่านกำปั้นพุ่งตรงเข้าสู่วังนิวานโดยที่มิอาจปัดป้องได้!

"ฝู่!"

เมื่อตราโลหิตเข้ารู้ร่างของไป๋เฉิน นัยน์ตาสีแดงก่ำของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหมองหม่นอย่างฉับพลัน กลางกระหม่อมเขาปรากฏอักษร 血 เฉกเช่นเดียวกันกับตราประทับเมื่อครู่ทุกประการ ร่างที่เคยยืนตรงกลับก้มหน้าลงราวกับเหม่อลอย

จู่ๆไป๋เฉินแหงนหน้าฉีกยิ้มกว้างอย่างชั่วร้ายถึงรูหู "ในที่สุดข้าก็มีร่างกายเป็นของตัวเองเสียที...ตั้งแต่หมื่นปีก่อนแล้วที่ไอ้สารเลวนั่นกล้าผนึกข้าไว้ในที่แห่งนี้!"

แต่สุ้มเสียงนั้นกลับมิใช่สุ้มเสียงของไป๋เฉินแม้แต่น้อย หากแต่เป็นเสียงอันแพบพร่าราวกับชายชราอย่างไรอย่างนั้น

"ไอ้ดวงตาเวรนี่เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร!?" วินาทีต่อมากลับมีเสียงหนึ่งสบถดังก้องภายในโสตประสาทและเสียงนั้นคือเสียงของไป๋เฉินตัวจริง

ไป๋เฉินที่มีดวงตาสีหม่นอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยเสียงชรา "เกิดอะไรขึ้น!? เหตุใดจิตวิญญาณของเจ้าจึงไม่สลายหายไปเล่า!?"

"สลายหายบ้าบออะไร! นี่มิใช่ร่างของเจ้าด้วยซ้ำ!"

"ไม่! เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ดูดกลืนจิตวิญญาณของเจ้าไปแล้ว! มันควรจะหายไปตลอดกาลมิใช่หรอกหรือ!?"

"ดูดกลืน? เจ้าพยายามดูดกลืนข้างั้นรึ! มาดูกันว่าใครจะดูดกลืนใคร!"

"เจ้า! เจ้าจะทำอะไร!?"

จิตวิญญาณทั้งสองดวงกำลังโต้เถียงอย่างดุเดือด เสียงทั้งสองกำลังก่นด่ากันอย่างรุนแรงจากร่างของไป๋เฉิน เนื่องจากจิตวิญญาณของดวงตาลึกลับพยายามที่จะดูดกลืนจิตวิญญาณของไป๋เฉินเพื่อสิงสู่ร่าง และจิตวิญญาณของไป๋เฉินพยายามที่จะแย่งชิงการควบคุมกายหยาบกลับคืนมา

ทันใดนั้นนัยน์ตาสีดำหม่นหมองกลับกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นเดิมของไป๋เฉิน เสียงอันแหบพร่ากลับกำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน

เสียงของดวงตาทั้งเก้าดังขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อมันสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณกำลังจะสูญสลายไป "เจ้า! เจ้ามิใช่จิตวิญญาณของโลกใบนี้! เจ้าเป็นใครกัน!?-"

ไป๋เฉินมิได้สนใจคำเอ่ยใดๆ พร้อมตะโกนลั่นอย่างโกรธจัด "พยายามที่จะกลืนกินร่างของข้างั้นหรือ!? แต่โทษทีไอ้น้อง! ในเมื่อเจ้าดูดกลืนข้าได้ ข้าเองก็สามารถดูดกลืนเจ้าเข้าไปได้เช่นกัน!"

"ไป๋เฉินกัดฟันราวกับกำลังดูดซับบางสิ่งเข้าไปไหลเวียนสู่จุดกึ่งกลางใต้ท้องน้อยราวกับปลาวาฬดูดกลืนมหาสมุทร

"ไปคุยกับรากมะม่วง!!!"

.

.

.

ในวินาทีต่อมาไป๋เฉินก็หลุดพ้นจากภวังค์สะดุ้งเฮือกด้วยสีหน้าที่ซีดขาวราวกับผ้าปูที่นอน เขากำลังใช้สองมือค้ำยันพื้นที่กำลังนั่งด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก ก่อนจะประมวลผลในสิ่งที่เห็น "เมื่อครู่นี้ข้าฝันไปหรอกหรือ?"

เขากลอกตามองไปรอบๆกายอย่างตื่นตัวและเห็นว่าเขาได้กลับมาอยู่ภายในของห้องตนเช่นเดิมแล้ว

ริมฝีปากที่สั่นเครือก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง "ดวงตาเวรนั่นคืออะไรกันแน่?"

แต่ทันใดนั้นไป๋เฉินที่กำลังขนลุกขนชันพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในร่างที่แตกต่างออกไป ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ

ไป๋เฉินที่สังเกตเห็นความผิดปกติจึงได้ตรวจสอบร่างกายลูบคลำไปทั่วทุกส่วน

และเขากลับต้องพบว่าภายในจุดใต้ท้องน้อยปรากฏรัศมีสีแดงโลหิตเป็นทรงกลมที่กำลังหมุนเวียนทวนเข็มนาฬิกาประดุจดั่งว่าแสงสีแดงนั้นกำลังดูดซับมวลพลังงานธรรมชาติรอบกายอย่างละโมบโลภมาก

"นี่มันรากปราณ! เป็นไปได้อย่างไร!?" เสียงตะโกนอย่างตะลึงพรึงเพริดของไป๋เฉินดังขึ้นอย่างไม่เชื่อ ในความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่าก็มีอธิบายไว้ว่ารูปลักษณ์ของรากปราณนั้นตรงกันกับแสงสีแดงที่กำลังส่องสว่างอยู่ทุกประการ

จนมาตระหนักได้ว่าแสงสีแดงจากใต้จุดท้องน้อยช่างเหมือนกันกับสีของนัยน์ตาทั้งเก้าดวงนั้นทุกประการ!

ไป๋เฉินไม่รอช้าเขานั่งหลับตาเข้าสู่สภาวะฌาณโดยพลันราวกับว่าเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ และปล่อยให้พลังงานธรรมชาติไหลวนเวียนรอบกายเข้าสู่แสงสีแดงเฉื่อยชาโดยไม่ต่อต้าน

พลางคิดทบทวนความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่าเกี่ยวกับการบำเพ็ญปราณทั้งหมดและจัดวางท่วงท่าในอิริยาบถในลักษณะเดียวกัน เขาไขว้ขามือทั้งสองจีบหงายเข้าสู่สมาธิ 

จากนั้นคลื่นกระแสพายุพลังงานสีขาวกำลังวนเวียนเหนือศีรษะ ก่อนที่ตันเถึยนจะดูดกลืนพลังงานสีขาวทั้งหมดนั้นไปจนสิ้นเปรียบดั่งหลุมดำอันไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเสียง "ครื้น~"

ทันใดนั้นแสงสีแดงใต้จุดท้องน้อยส่องสว่างระยิบระยับเจิดจ้าราวกับว่าตันเถียนกำลังหมุนเวียนพลังงานทวนเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วเร่งรุดยิ่งกว่าเก่า ก่อนที่จะสัมผัสได้ว่าเส้นชีพจรทั้งสิบสามภายในร่างนั้นเห็นเป็นภาพของท่อหล่อเลี้ยงสีแดงไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนอวัยวะที่กำลังปวดบูมขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

จนเขาจำต้องกัดฟันจนแทบจะแตกละเอียดจากความเจ็บปวดแสนเข็ญ

ทันใดนั้นกระแสพลังงานสีขาวหมุนเวียนถูกดูดกลืนจนสิ้นเข้าสู่แสงสีแดง ก่อนที่ระลอกคลื่นระเบิดดังขึ้นเก้าครั้งอย่างฉับพลัน

"บู้ม!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 1!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 2!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 3!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 4!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 5!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 6!

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 7!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 8!"

"ก่อกำเนิดปราณขั้นที่ 9!"

วินาทีต่อมาพายุหมุนในแสงสีแดงใต้ท้องน้อยก็หยุดลงด้วยแรงเหวี่ยงที่ทุเลาลงก่อนที่มันจะหยุดขยับไปโดยปริยาย

ไป๋เฉินลืมตาขึ้นมาด้วยแสงสีเลือดส่องประกายในรูม่านตา บนหน้าผากของเขาปรากฏอักษร 血 ชั่ววูบก่อนจะหายลับตาไป

ไป๋เฉินยืนขึ้นอย่างตกตะลึงพร้อมตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแผกไป

"ไฉนร่างกายของข้าจึงได้เบาหวิวราวกับลอยได้เช่นนี้ "ไป๋เฉินบ่นพึมพำในขณะเคลื่อนไหวออกกำปั้นไปรอบๆอย่างตื่นเต้น 

"ฝู้!" ปลายกำปั้นของเขามีกระแสลมปราณไหลผ่านจนสามารถใช้เปิดประตูที่ปิดอยู่ได้ในระยะไกล 

[ เอาจริงดิ๊!? ]

[ นี่มัน...ข้าสามารถบำเพ็ญปราณได้แล้ว! ]

"นี่คือความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ในนิยายที่ข้าเคยอ่านอยู่เสมอๆงั้นรึ" เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ 

เขาพยายามออกกำปั้นและพลิกร่างออกท่วงท่าการต่อสู้ในชีวิตที่แล้วอย่างคล่องแคล่วด้วยอารมณ์สนุกสนาน ซ้ำยังตีลังกากลับหลังกลางอากาศก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

ร่างกายของเขาเบาหวิวยิ่งกว่านุ่นเสียอีก

หลังจากออกกระบวนท่าไปเกือบร้อยครั้ง ไป๋เฉินปาดเหงื่อที่กำลังไหลซิกๆด้วยสีหน้าที่ตื่นตาตื่นใจ "หลังจากนี้ข้าก็สามารถที่จะทำตามใจได้แล้วมิใช่หรอกหรือ?"

"หากเป็นเช่นนั้นลำดับแรกข้าต้องทำ..." ไป๋เฉินตั้งปณิธานในขณะรูม่านตาฉายแสงแห่งความโหดเหี้ยมอำมหิต!

" ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่!" ด้วยเสียงหัวร่ออันน่าขนลุก ร่างของไป๋เฉินพลันหายลับตาไปจากห้องโทรมๆอย่างไร้ร่องรอย

 

 

สิ่งที่อยากเขียน :

ไป๋เฉินที่มีดวงตาสีหม่นอดไม่ได้ที่จะอุทาน "เกิดอะไรขึ้น!? เหตุใดจิตวิญญาณของเจ้าจึงไม่สลายหายไปเล่า!?"

"สลายหายไปพ่อมึงดิไอ้สัตว์! นี่ไม่ใช่ร่างกายของมึงเสียหน่อย! ไอ้เด็กเหี้ย!"

"ไม่! เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ดูดกลินจิตวิญญาณของเจ้าไปแล้ว! มันควรจะหายไปตลอดกาลมิใช่หรอกหรือ!?"

"ดูดกลืน? เจ้าพยายามที่จะดูดกลืนข้างั้นรึ!? ไอ้แม่ย้อย! มาดูกันว่าไผสิดูดกลืนไผ!"

"เจ้า! เจ้าจะทำอะไร!?"