เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีผู้ใดโต้แย้ง
"เฮ้อ~" ฉินเหยียนถอนหายใจเบาๆก่อนจะนั่งลงปราดมองไปยังหญิงชราพลางกล่าวถาม "ถงถง เจ้าได้ตรวจสอบศพของฉินหมิงหยวนก่อนหน้านั้นหรือไม่?"
หญิงชราผู้นี้มีนามว่าฉินรั่วถงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินเหยียนตั้งแต่วัยเยาว์ ซ้ำแล้วนางยังเป็นแพทย์ประจำตระกูลฉินที่เก่งกาจอีกต่างหาก
ฉินรั่วถงพยักหน้าพลางกล่าวด้วยคิ้วขมวด "จากที่มองดูภายนอกจะเห็นได้ว่าหมิงหยวนนั้นถูกทารุณกรรมก่อนจะเสียชีวิตไป โดยการตัดหู ถลกหนังออกมา ซ้ำยังกระหน่ำแทงไปยังเส้นเลือดใหญ่และเส้นประสาท...แต่หลังจากนั้นข้ากลับพบว่าในร่างกายของฉินหมิงหยวนไร้ซึ่งโลหิตไม่มีหลงเหลือไว้แม้แต่หยดเดียว นั่นเป็นเหตุผลว่าไฉนร่างของมันจึงซูบซีดมองเห็นหนังติดกระดูกได้ถึงเพียงนั้น"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดแสดงสีหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นเยียบไหลผ่านกลางหลังด้วยความหวาดกลัว
การทรมานประเภทใดกันที่สามารถทำให้โลหิตของบุคคลหายไปทั้งร่างเช่นนั้นได้?
"โลหิตไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว?" ฉินเหยียนขมวดคิ้วอย่างหนักด้วยสีหน้าฉงน แม้นว่าตนจะเคยผ่านการทรมานที่โหดร้ายกว่าหลายสิบปี แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้เขากลับรู้สึกหวาดกลัวในวิธีการของคนผู้นั้นอย่างบอกไม่ถูก
จะเรียกคนผู้นั้นว่าเป็นพระเจ้าผู้มอบความยุติธรรมหรือจะเรียกว่าเป็นมารร้ายผู้โหดเหี้ยมดี
"เอาล่ะ ช่างมันเถิด ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ไม่ควรจะนำมาพูดคุยอีกต่อไป" ฉินเหยียนเหลือบมองชายชราด้านข้าง "พี่ใหญ่ เมื่อคืนนี้มีผู้ใดในตระกูลฉินออกจากอาณาเขตของตระกูลบ้างหรือไม่?"
ชายชราที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ส่ายศีรษะ "ตั้งแต่เวลาพลบค่ำไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในอาคารทุกหลังของตระกูลฉิน ดังนั้นข้าคิดว่าไม่น่าจะเกิดจากบุคคลภายใน...บางทีอาจจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกันกับครอบครัวที่โดนย่ำยีเหล่านั้นก็เป็นได้"
ฉินเหยียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ "แล้วทางด้านไป๋เฉินเล่า? มีสิ่งใดคืบหน้าบ้างหรือไม่?"
"ไป๋เฉินยังคงไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดไปตั้งแต่กลับมาเมื่อวาน และเขาก็มิได้ออกจากตระกูลฉินไปเช่นกัน" ชายชราส่ายหน้าเอ่ยตอบ
ฉินเหยียนพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่พวกเขาเหล่าผู้อาวุโสจะเรียกฉินฟงให้เข้าพบ
จนเวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงพลบค่ำของวันนั้น หลังจากเหล่าผู้อาวุโสได้หารือกัน ฉินเหยียนได้เข้าไปสอบปากคำฉินฟงถึงเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าฉินฟงเอ่ยวาจาได้อย่างไหลลื่นคล่องแคล่ว ไม่ว่าฉินเหยียนจะเอ่ยถามอย่างไร ฉินฟงก็สามารถหลีกหนีจากข้อสงสัยในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดได้อย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่นหญิงสาวที่ฉินหมิงหยวนกระทำย่ำยีและส่งต่อให้ฉินฟงอีกทอด มันให้เหตุผลว่าบุตรชายของมันได้นำหญิงสาวผู้นี้มามอบให้แก่เขาโดยที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ซ้ำแล้วฉินฟงยังให้เหตุผลว่ามันคิดว่าบุตรชายของมันได้เลือกซื้อหญิงสาวผู้นี้มาจากย่านบุปผา
แน่นอนว่าคนตายพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะโป้ปดอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสามารถสืบหาความจริงได้
สุดท้ายแล้วฉินฟงก็มิได้รับโทษใดๆแม้แต่น้อย เพียงแต่ความเชื่อมั่นของฉินเหยียนได้ลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ผลลัพธ์ในครานี้ก็มิอาจที่จะเอาผิดฉินฟงได้
.
.
.
และในขณะเดียวกันที่ตระกูลฉินกำลังหาวิธีเยียวยากลุ่มของตระกูลข้าราชบริพาร ภายในห้องโถงอันงดงามแห่งหนึ่งที่ประดับประดาไปด้วยหยกสีม่วงรอบๆ ซ้ำยังกลุ่มสตรีสองนางที่กำลังบรรเลงเพลงกู่ฉินอย่างไพเราะเสนาะหู ลานบ้านปรากฏให้เห็นร่างสีม่วงของหยางลั่วที่ยกจอกสุราดื่มหมดในอึกเดียว
ข้างกายของเขาคือชายหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงที่กำลังแสดงสีหน้าไม่สู้ดี รอบกายของเขามีสตรีสองนางที่กำลังปรนนิบัติส่วนล่าง เขาคือหยางเหมินจากตระกูลหยางที่ซึ่งเป็นตระกูลอันดับสองของเมืองเทียนหยุน
"ท่านพ่อ ท่านได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตระกูลฉินหรือไม่?" หยางเหมินกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือจากความสุข
หยางลั่วพยักหน้าพลางกล่าวด้วยเสียงทุ้ม "ข้ารู้แล้ว เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าในยามนี้จะมีบุคคลกล้าที่จะสังหารสมาชิกของตระกูลฉินภายในเมืองเทียนหยุน นับว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันอย่างแท้จริง"
"นอกเสียจากพวกข้าตระกูลหยางแล้ว คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะลงมืออย่างอุกอาจภายในตระกูลฉิน นอกเสียจาก..." จู่ๆหยางลั่วก็หยุดประโยคอย่างกะทันหันด้วยริมฝีปากที่สั่นเบาๆ
"นอกเสียจากผู้ใดงั้นหรือ?" เมื่อเห็นว่าบิดาของมันเงียบไป จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
"นอกเสียจาก...ตระกูลไป๋" เมื่อกล่าวคำว่า 'ตระกูลไป๋' สีหน้าของหยางลั่วพลันซีดลงราวกับกำลังหวาดกลัวต่อบางสิ่ง
"ตระกูลไป๋! ตระกูลไป๋ล่มสลายไปแล้วมิใช่หรอกหรือ?" หยางเหมินกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
หยางลั่วผงกศีรษะบางเบา "พวกเรารู้เพียงแค่ว่าตระกูลไป๋ได้ตายไปทั้งหมดหลังจากการตายของไป๋หนานเทียน แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีใครบางคนจากตระกูลไป๋ยังคงมีชีวิตอยู่ และบางทีพวกมันอาจจะกำลังสืบหาเรื่องราวรวมถึงต้นตอของยุทธ์การมังกรเขมือบในครานั้น..."
"เพราะฉะนั้นพวกเราควรจะอยู่ให้เงียบที่สุดจนกว่าเรื่องราวภายในตระกูลฉินเริ่มเบาบางลง หลังจากนั้นก็เพียงแค่รอการติดต่อกลับมาจากฉินฟงเท่านั้น พวกเราจะไม่เคลื่อนไหวใดๆและต้องทำตัวมิให้เป็นจุดสนใจมากที่สุด"
หลังจากนั้นสองพ่อลูกพูดคุยอย่างสนุกสนานและดื่มด่ำไปกับรสสุรา โดยหารู้ไม่ว่ามีร่างสีดำนัยน์ตาสีแดงกำลังหลบซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้อย่างแนบเนียนภายในอาณาบริเวณห้องโถงใหญ่ในรัศมี 10 เมตร
"คาดไว้แล้วเชียว พวกมันเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินฟงเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดฉินหมิงหยวนจึงได้พยายามที่จะให้หยางเหมินสังหารข้าภายในตระกูลฉินเสียให้ได้...ดูเหมือนว่าข้าต้องเตรียมบิ๊กเซอร์ไพรซ์ให้แก่ตระกูลหยางเสียหน่อยแล้ว" ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างนี้คือไป๋เฉินที่ติดตามเพื่อสอดแนมตระกูลหยางหลังจากได้วางตราประทับโลหิตไว้เมื่อยามเช้าของวัน
ไป๋เฉินเพียงแค่ตั้งสมมติฐานไว้ว่าตระกูลหยางอาจจะมีการสมรู้ร่วมคิดกับฉินฟง แน่นอนว่าสมมติฐานของไป๋เฉินไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับ นั่นเป็นเพียงข้อสงสัยส่วนตัวที่มีโอกาสเพียงแค่ 5% เท่านั้น หากแต่ข้อสงสัยที่เหลือล้วนมาจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
แต่เขากลับไม่คาดคิดว่าสัญชาตญาณที่กำลังรู้สึกนั้นจะเป็นความจริงไปเสียได้
"สัญชาตญาณไม่เคยหลอกลวงข้าจริงๆ เพียงเท่านี้ก็เหลือเพียงแต่ตัวแปรเดียวเท่านั้นที่จะสะสางเรื่องของฉินฟงให้สิ้นสุดลง…" ไป๋เฉินพึมพำด้วยเสียงแผ่วก่อนจะออกจากตระกูลหยางกลมกลืนไปกับบรรยากาศในยามราตรี
.
.
.
~ สมาพันธ์นักฆ่า ~
ไป๋เฉินปรากฏกายขึ้นในสมาพันธ์นักฆ่าและเดินตรงไปนั่งลงกลางโต๊ะด้วยการแสดงออกที่เริงร่าราวกับว่าเพิ่งผ่านมาจากย่านบุปผาอย่างไรอย่างนั้น
"ท่านอาจารย์" หลวนซิงและหลิวอี้หลิวที่เพิ่งเข้ามาก้มหน้าลงด้วยความเคารพ ก่อนที่หลวนซิงจะรินชาลงถ้วยแก่เขาอย่างระมัดระวัง
ไป๋เฉินจิบชาและเอ่ยถามเสียงแผ่ว "หลวนซิง การฝึกฝนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"เป็นไปได้ด้วยดี วิธีการของท่านอาจารย์สามารถพัฒนาประสาทสัมผัสได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าตาบอดไปคงจะไม่ยากในการสังหารเป้าหมายในระยะสิบเมตรเป็นแน่" หลวนซิงกล่าวอย่างเชิดหน้าภาคภูมิ
ไป๋เฉินผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม "เอาล่ะ จะไม่มีการหยุดฝึกฝนจนกว่าจะคุ้นชินกับมัน และต่อจากนี้มีเรื่องสำคัญสำหรับสมาพันธ์ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่"
หลวนซิงและหลิวอี้หลิวมองหน้ากันอย่างสับสน พวกเขาตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ไป๋เฉินวางถ้วยชาลงและกล่าวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล "ข้าจะเริ่มการขยายสมาพันธ์และจะเริ่มเกณฑ์สมาชิกเพิ่มเติม"
"ห๊ะ?" เสียงอุทานของหลวนซิงและหลิวอี้หลิวดังขึ้นพร้อมเพรียง สามารถมองเห็นความสับสนในแววตาพวกเขาได้อย่างเด่นชัด
พวกเขาเป็นเพียงสมาพันธ์นักฆ่าที่มีสมาชิกเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น ซ้ำยังไม่มีภารกิจใดๆตกมาถึงมือของพวกเขาแม้แต่น้อย จึงส่งผลให้เงินเก็บทั้งหมดของทั้งเก้าเริ่มที่จะร่อยหรอเต็มที แต่การเกณฑ์สมาชิกเพิ่มไม่ต่างจากการเพิ่มปัญหาให้แก่สมาพันธ์หรอกหรือ?
ราวกับว่าไป๋เฉินสามารถมองเห็นคำถามภายในการแสดงออกของใบหน้าทั้งสองเป็นอย่างดี จากนั้นเขาจึงกล่าวต่อ "พวกเจ้าคงจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจในครานี้ แต่หลังจากนี้พวกเจ้าอาจจะมีเวลาไม่เพียงพอต่อการทำภารกิจเสียด้วยซ้ำ"
หลวนซิงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจแม้นจะไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นวาจาจากปากของไป๋เฉิน พวกเขาก็ยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้
"ท่านอาจารย์ แล้วท่านมีเกณฑ์ในการคัดเลือกสมาชิกอย่างไร?" หลิวอี้หลิวพลันเอ่ยถามด้วยความเคารพ
ริมฝีปากของไป๋เฉินขดเป็นรอยยิ้มเล็กๆ พลางชูสองนิ้วขึ้นมา "เกณฑ์การคัดเลือกมีเพียงแค่สองประการ...ประการแรกที่สำคัญที่สุดต้องเป็นชายหนุ่มที่อายุไม่เกิน 25 ปีและไม่ต่ำกว่า 12 ปี ถ้าเป็นไปได้ข้าต้องการเด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกจับไปขายใช้แรงงานเยี่ยงทาสและไร้บุพการี ส่วนจำนวนข้าต้องการในตอนนี้เพียงแค่ไม่เกินเจ็ดคน"
"ประการที่สองข้าต้องการบุคคลที่มีความแค้นอย่างรุนแรง แต่มีความอ่อนแอเกินไปส่งผลให้พวกเขาจำต้องยอมก้มหัวอย่างหวาดกลัว…บุคคลประเภทที่สองนี้ข้าต้องการเพียงแค่สามคน"
"สองประเภทนี้เท่านั้นที่ข้าจะรับเลือกเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ"