ตอนที่ 39 : จูเก่อชิงหยุน

ฉินเยว่ฉานพยักหน้าเบาๆด้วยรอยยิ้ม "ถูกต้อง และอีกอย่างเมื่อหลายพันปึก่อนกำเนิดทวีปเทียนหลาง มีข่าวลือมาว่าท่านมหาเทวะแห่งการสรรค์สร้างเป็นผู้ที่มาจากดาราจักรอื่น แต่นั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ข้าไม่แน่ใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกปรุงแต่งขึ้นหรือไม่"

"แล้วรูปปั้นนี้มีเพียงแค่ย่านหยุนเทียนจงเท่านั้นหรือ?" ไป๋เฉินครรลองมองและกล่าวถามอย่างสงสัย

"รูปสลักของท่านมหาเทวะที่มีห้ารูปปั้นซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางของเมืองทั้งสี่และแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้ผู้คนได้สักการะเทิดทูนในฐานะผู้สร้างทวีปนี้ขึ้นมา" นัยน์ตาของฉินเยว่ฉานเป็นประกายเมื่อมองไปยังรูปสลักของชายหนุ่มที่มีกระบี่ลวดลายแปลกประหลาดที่ตั้งตระหง่าน

ไป๋เฉินส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ 'อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาและให้ฝูงชนเคารพสักการะงั้นรึ? ช่างน่าหัวร่อสิ้นดี'

ผลสุดท้ายไป๋เฉินทำได้เพียงพยักหน้าแต่สายตายังคงจดจ่อไปยังรูปสลักด้วยความหงุดหงิด จากนั้นไม่นานทั้งสองตรงไปยังภัตตาคารหรูหราที่อยู่ไม่ไกลจากส่วนกลาง

ไป๋เฉินและฉินเยว่ฉานผ่านประตูขนาดใหญ่เข้ามาได้อย่างง่ายดาย สองคนกำลังเดินเท้าไปยังภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ซึ่งถูกประดับประดาไว้ด้วยหยกสีม่วงงดงาม เบื้องหน้ามีป้ายไม้อักษรสีทองขนาดใหญ่สลักไว้ว่าภัตตาคารหยกสีม่วง

ฉินเยว่ฉานมองขึ้นไป "ที่นี่แหละ" 

ทันใดนั้นทหารยามด้านนอกเดินมาที่พวกเขาทั้งสอง เมื่อเห็นว่านั่นคือฉินเยว่ฉานบุตรสาวของฉินเหยียน มันรีบก้มหน้าลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม "คารวะคุณหนูฉิน ไม่ทราบมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?" 

ฉินเยว่ฉานโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ "ข้าไม่ได้มาทานอาหาร ข้าเพียงแค่มาพบใครบางคน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมสิ่งใด"

"เช่นนั้นให้ข้านำทางไป" ทหารยามเปิดประตูร้านและนำทางไปยังชั้นที่สาม ก่อนที่เขาจะขอตัวจากไป

เมื่อทั้งสองเดินขึ้นไปบนชั้นสาม ฉินเยว่ฉานหยุดลงที่หน้าห้องส่วนตัวหมายเลข 32 ก่อนที่นางจะก้าวไปด้านหน้าและเคาะประตูเบาๆ "ผู้อาวุโสที่อยู่ภายในห้องนี้ ข้าฉินเยว่ฉานจากตระกูลฉิน ขออภัยที่มารบกวนในเวลานี้-"

"เอี๊ยด~"

ไม่ทันจะได้สิ้นสุดประโยค ประตูกลับเปิดออกเผยให้เห็นชายวัยกลางคนสูง 2 เมตร ใบหน้าของคนผู้นี้แลดูใจดี เขาปราดมองไปที่ทั้งสองก่อนจะหยุดลงที่ไป๋เฉิน "โอ้? หลานชายไป๋ ไม่ได้เจอกันเสียเนิ่นนาน ข้ากำลังรอเจ้าอยู่" 

"เอ๊ะ! แพทย์จากแผ่นดินใหญ่คือท่านเองหรอกหรือ?" ไป๋เฉินอดอุทานอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

บุคคลตรงหน้ามีนามว่าจูเก่อชิงหยุน เขาคือหนึ่งในสหายของไป๋หนานเทียนที่เคยมาที่ตำหนักตระกูลไป๋อยู่บ่อยๆ 

และในความทรงจำของไป๋เฉิน คนผู้นี้เปรียบได้ดั่งแพทย์ระดับสูงที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ยกย่อง 

แต่ทว่า 5 ปีก่อนที่ตระกูลไป๋จะล่มสลายไป กลับมีข่าวลือว่าจูเก่อชิงหยุนได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ และหลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดทราบข่าวของเขาอีกเลย

"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เข้ามาก่อนๆ" จูเก่อชิงหยุนลากคอไป๋เฉินเข้าไปภายในห้องด้วยความสนิทสนม โดยที่มีฉินเยว่ฉานยืนตกตะลึงอยู่หน้าห้อง

เมื่อเข้าไปด้านในก็ต้องพบเจอกับอาหารหรูหรามากมายกองบนโต๊ะกลมที่เขาได้สั่งไว้ ภายในระยะสายตาปรากฏให้เห็นร่างที่อ่อนช้อยงดงามของหญิงสาวผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวที่มีผ้าบางๆปกปิดรูปลักษณ์ไว้ หญิงสาวผู้นั้นมีนัยน์ตาสีฟ้าอันน่าหลงใหล ผมเผ้าปล่อยไสวดุจสายธาร แต่ใบหน้ากลับเย็นชาประดุจดั่งว่าเป็นเทือกเขาน้ำแข็ง

เมื่อไป๋เฉินครรลองมองดูให้ดีเขากลับจำโครงหน้าของหญิงสาวได้ นางคือจูเก่อหลิงเอ๋อร์บุตรสาวของจูเก่อชิงหยุน

ในยามนั้นที่ไป๋เฉินมีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น แต่ความงดงามของนางยังสลักอยู่ในจิตใต้สำนึกของไป๋เฉินตลอดมา

"พี่สาวหลิงเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันเสียเนิ่นนาน" ไป๋เฉินประสานมือทักทายพอเป็นพิธี 

แต่จูเก่อหลิงเอ๋อร์เพียงแค่พยักหน้าเบาๆและมิได้สนใจเขาอีกต่อไป

"อะแฮ่มๆ มามามา นั่งลง มากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน" จูเก่อชิงหยุนคลายบรรยากาศที่อึดอัดด้วยสีหน้าเริงร่า ก่อนจะนั่งลงข้างบุตรสาวและยกจอกสุราดื่มไปในอึกเดียว

ไป๋เฉินและฉินเยว่ฉานทำได้เพียงมองหน้ากันแต่มิได้ร่วมทานอาหาร พวกเขาเพียงแค่นั่งรอเขารับประทานอาหารอย่างหิวกระหายมาแต่ไหนไม่ทราบได้ 

จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสักพักใหญ่ จูเก่อชิงหยุนลูบพุงนอนแผ่และเรอเบาๆ "ไป๋เฉิน ข้าได้ยินมาแล้วว่ารากปราณของเจ้าสูญสลาย เจ้ากลับกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ที่ถูกเหยียดหยามจากฝูงชน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แม่มันเถอะ! ช่างน่าสมเพชเสียนี่กระไร"

สีหน้าของไป๋เฉินมืดลง ฉินเยว่ฉานจ้องมองจูเก่อชิงหยุนด้วยแววตาเย็นชาราวกับว่าจูเก่อชิงหยุนกำลังตอกย้ำซ้ำแผลเก่าอย่างไรอย่างนั้น

จนจูเก่อหลิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตีอย่างรุนแรง "ท่านพ่อ ท่านปากเสียอีกแล้ว"

"เอ่อ...โทษที โทษที" จูเก่อชิงหยุนเกาศีรษะอย่างเขินอาย

จากนั้นไม่นานสายตาของจูเก่อชิงหยุนเหลือบไปรอบๆร่างของไป๋เฉิน แต่จู่ๆนัยน์ตาของเขากลับสั่นไหว "ดูเหมือนว่าฉินเหยียนต้องการให้ข้ารักษารากปราณของเจ้าใช่หรือไม่?" 

ไป๋เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่สายตาของเขากำลังสื่อสารบางอย่างกับจูเก่อชิงหยุน ทว่าสายตาของฉินเยว่ฉานเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

ราวกับว่าจูเก่อชิงหยุนสามารถอ่านแววตาของไป๋เฉินได้ทะลุปรุโปร่ง ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจ "ดูเหมือนว่าข้ามิอาจรักษารากปราณให้เจ้าได้อีกต่อไป..."

"อะไร! ท่านไม่สามารถรักษาไป๋เฉินได้จริงๆหรือ?" สีหน้าของฉินเยว่ฉานจมลง ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับผ้าปูที่นอนจนเกือบจะร่ำไห้

จูเก่อชิงหยุนพยักหน้าอย่างหนักหน่วงเป็นการยืนยัน แม้แต่จูเก่อหลิงเอ๋อร์ยังเหม่อมองบิดาของนางอย่างประหลาดใจ นางรู้ดีว่าบิดาของนางเป็นแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับหนึ่งในสามภายในทวีปเทียนหลาง การที่นางเห็นว่าบิดาปฏิเสธเช่นนี้แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ

แต่อาการเกี่ยวกับรากปราณนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ในกรณีของไป๋เฉินเขาได้ระเบิดตันเถียนและรากปราณไปแล้วต่อให้จะรักษาอย่างไรก็ไม่มีหนทางที่สดใสให้แก่เขาอีกต่อไป

เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋เฉินกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก 

'จูเก่อชิงหยุนผู้นี้เป็นผู้ที่มากด้วยประสบการณ์อย่างแท้จริง สายตาเช่นนั้นเขาคงจะรู้อยู่แล้วว่าข้ามีรากปราณแล้ว และหากเปิดเผยการมีอยู่ของรากปราณของข้ามีแต่จะทำให้สถานการณ์ที่ข้าอยู่ย่ำแย่ลง'

"สาวน้อยฉิน ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งไป๋เฉินจะกลับมาเป็นดั่งเดิม" จูเก่อชิงหยุนโบกมือราวกับกำลังให้ความหวัง แต่ฉินเยว่ฉานกลับก้มหน้าลงแต่มิได้กล่าวอันใด

ไป๋เฉินแสร้งแสดงสีหน้าเรียบเฉยราวกับมิได้สนใจใดๆ ก่อนที่ซองจดหมายจะปรากฏขึ้น "ดูเหมือนว่าจดหมายจากลุงฉินคงจะไม่จำเป็นอีกต่อไป"

"ฮึ่ม! ฉินเหยียนช่างเป็นชายชราที่โง่เขลา! มันหารู้ไม่ว่า- อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย ข้าเจ็บ~" ไม่ทันที่จูเก่อชิงหยุนจะกล่าวจนจบ มือเพรียวบางของจูเก่อหลิงเอ๋อร์บิดเอวจนครบ 360° อย่างรุนแรง

จูเก่อหลิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงอย่างอับอาย การมีบิดาปากเสียช่างไม่ดีเอาเสียเลย

ไป๋เฉินเพียงกระแอมเบาๆเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ลุงชิงหยุน ท่านมีจุดประสงค์อันใดในการเดินทางมายังเมืองเทียนหยุน?" 

จูเก่อชิงหยุนเพียงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก่อนที่จดหมายที่พับหลายทบจะปรากฏขึ้นวางมันลงตรงหน้าไป๋เฉิน "มีใครบางคนฝากข้ามา ให้เจ้าถึงตระกูลของเจ้าเสียก่อนแล้วค่อยเปิดอ่าน"

แม้นไป๋เฉินจะสงสัยแต่เขาก็เก็บม้วนกระดาษเก็บไว้อย่างดีเมื่อเห็นทีท่าลับๆล่อๆแล้วเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

จากนั้นทั้งสองรำเลิกเหตุการณ์ในอดีตจนเวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จนสุดท้ายไป๋เฉินก็ได้ขอตัวจากไป

แต่ก่อนจะจากไปจูเก่อชิงหยุนกลับยื่นแผนที่แผ่นหนึ่งให้แก่เขา "เอาล่ะ หากเจ้ามีปัญหาเจ้าสามารถตามหาข้าได้ในแผนที่นี้"

แม้นจะไม่เข้าใจเหตุผลแต่ไป๋เฉินพยักหน้าเบาๆเก็บแผนที่ไว้ ก่อนที่เขาประสานมือด้วยท่วงท่าสุภาพก่อนจะจากไป

เมื่อร่างของไป๋เฉินและฉินเยว่ฉานหายลับไป จูเก่อหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย "ท่านพ่อ ท่านไม่สามารถรักษาไป๋เฉินได้จริงๆหรือ?"

"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!" แต่จูเก่อชิงหยุนกลับหัวเราะดังลั่นอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย "มิใช่ว่าข้ามิอาจรักษาเขาได้ แต่ไป๋เฉินไม่มีความจำเป็นให้ข้าต้องรักษา เพราะเขายังคงเป็นผู้บำเพ็ญปราณอยู่ ซ้ำยังมีรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าชายหนุ่มที่ข้าเคยเจอเสียด้วยซ้ำ"

"อะไร! ท่านบอกว่าไป๋เฉินยังคงเป็นผู้บำเพ็ญปราณ?" การแสดงออกของจูเก่อหลิงเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความสับสน

จูเก่อชิงหยุนผงกศีรษะอย่างหนัก "ถูกต้อง แม้แต่ผู้บำเพ็ญในระดับปราณลึกลับเช่นเจ้าก็มิอาจมองผ่านการซ่อนระดับการบำเพ็ญของไป๋เฉินได้ เจ้าพอจะรู้ถึงความสามารถของไป๋เฉินแล้วใช่หรือไม่?"

จูเก่อหลิงเอ๋อร์พยักหน้าแต่ยังคงแสดงสีหน้าสงสัย "แล้วเหตุใดเขาจึงปิดบังเช่นนั้น หากเขาเปิดเผยความแข็งแกร่ง เขาจะได้รับความเคารพจากฝูงชนเพิ่มมากขึ้นมิใช่หรอกหรือ?"

แต่จูเก่อชิงหยุนส่ายหน้าโดยพลัน "เจ้ายังอ่อนต่อโลกเกินไป การเปิดเผยไพ่ตายในเวลาที่มีศัตรูรอบกายจะมีประโยชน์อะไร? การทำเช่นนั้นไม่ต่างจากการแหวกหญ้าให้งูตื่น การที่เขาจะเปิดเผยความแข็งแกร่งมีเพียงแต่ผลเสียกับผลเสียเท่านั้น"

หลังจากนั้นจูเก่อชิงหยุนยกไหสุราดื่มจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยสีหน้าน่าสงสาร "ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ตระกูลฉินได้กลับหัวกลับหางเป็นแน่" 

"แม้นว่าเขาจะไร้พลังในการแก้แค้นให้แก่หนานเทียน แต่แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่แม้แต่ข้าเองก็ยังหวาดกลัว สายตาเช่นนั้นมีเพียงบุคคลที่ตัดสินใจสังหารใครสักคนเท่านั้นพึงจะมี และไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง..."

"แต่ข้าเองก็ยังสับสนไม่น้อย ปกติแล้วไป๋เฉินไม่เคยแสดงแววตาเช่นนั้นมาก่อน เป็นไปได้ไหมว่าการล่มสลายของตระกูลไป๋ได้หล่อหลอมให้เขาเป็นเช่นนั้น?" จูเก่อชิงหยุนได้แต่ลูบคางพลางตริตรอง