เช้าวันสดใสเสียงนกดังจอแจรอบๆกระโจม ไป๋เฉินตื่นขึ้นก่อนจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้านนั่งอยู่หน้ากระจกเงาจัดระเบียบทรงผม
ก่อนที่ร่างของฉินเหวินเทียนมาปรากฏขึ้นหน้าประตูด้วยเสียงตะโกน "พี่เขย ท่านพ่อให้ข้ามาเรียกท่านไปที่ห้องโถง"
ไป๋เฉินที่กำลังจัดทรงผมก็ชำเลืองมอง "เอาล่ะ รอสักครู่"
เวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน ร่างสีขาวของไป๋เฉินเดินเทียบเคียงกับฉินเหวินเทียนผ่านสวนบุปผามากมาย "เหวินเทียน ลุงฉินมีธุระอันใดจึงเรียกหาข้างั้นรึ? ปกติท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยมิใช่หรือ"
ฉินเหวินเทียนแสดงสีหน้าโศกเศร้า "ท่านพ่อมีอาการป่วยฉับพลัน เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็อาเจียนเป็นเลือด ร่างกายของท่านพ่อกลับอ่อนแอลง..."
"โอ้?" ไป๋เฉินอุทานเบาๆอย่างประหลาดใจ 'ฉางเอ๋อร์ลงมือได้สมกับเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง'
ฉางเอ๋อร์เป็นเพียงผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์แต่กลับสามารถวางยาฉินเหยียนที่มีการบำเพ็ญปราณลึกลับได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนนางจะเชี่ยวชาญการลอบเร้นและการวางยาอย่างแท้จริง
ร่างของไป๋เฉินและฉินเหวินเทียนย่างกรายเข้าห้องโถงใหญ่ ด้านในมีร่างของเหล่าผู้อาวุโสรวมตัวกันโดยไม่มีผู้ใดขาดหายไปแม้แต่ผู้เดียว ดูเหมือนว่าเรื่องที่ต้องการหารือมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สุดสายตาเขามองเห็นร่างสีฟ้าของฉินเหยียนกำลังสำลักเบาๆออกมาเป็นเลือดด้วยใบหน้าซูบผอม ข้างกายคือฉินเยว่ฉานที่กำลังจับร่างเขาไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะปวดใจเมื่อเห็นฉินเยว่ฉานแสดงสีหน้าเช่นนั้น แต่ทว่าเพื่อผลลัพธ์แล้วไม่ว่าจะไร้ปราณีเพียงใดก็ต้องทำ
ฉินเหยียนชำเลืองมองเห็นร่างทั้งสอง เขากวักมือเบาๆด้วยรอยยิ้ม "ไป๋เฉิน เหวินเทียนมานั่งข้างกายข้า"
สีหน้าของฉินฟงและเหล่าผู้อาวุโสตกตะลึงโดยพลัน ปกติแล้วการที่ฉินเหวินเทียนนั่งข้างกายของฉินเหยียนนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ฉินเหยียนกวักเรียกให้ไป๋เฉินนั่งในตำแหน่งที่เทียบได้กับผู้อาวุโสสูงสุดเหมือนจะมีนัยยะบางอย่าง
ฉินฟงที่กำลังนั่งมองมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างฉับพลัน
ไป๋เฉินเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มโดยไม่คิดอะไร ก่อนจะนั่งลงทางขวามือที่ชิดใกล้กับฉินเหยียน ถัดไปจากไป๋เฉินคือชายชราในอาภรณ์สีฟ้าที่อยู่กับฉินเหยียนเมื่อคืน เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดฉินเฉิง และถัดไปคือผู้อาวุโสลำดับที่สองฉินฟง
โดยที่ทางซ้ายฉินเหยียนมีฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนรวมถึงผู้อาวุโสอีกสี่คน
บนโต๊ะเบื้องหน้าพวกเขาทุกคนมีถ้วยชาหยกวางอยู่ สาวรับใช้ค่อยๆรินชาให้แก่ไป๋เฉินอย่างระมัดระวัง เมื่อมองจากตำแหน่งการนั่งแล้วความสำคัญของไป๋เฉินยามนี้เหนือเสียยิ่งกว่าฉินฟงไปแล้ว
ฉินเหยียนปาดรอยโลหิตให้หายจากฝ่ามือ พลันกระแอมเบาๆ "วันนี้ข้ามีเรื่องหารือสองหัวข้อด้วยกัน หัวข้อแรกเกี่ยวข้องกับตระกูลหยางและกองโจรมายาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มีสายข่าวมารายงานว่าหยางลั่วนำทัพทหารบุกรุกเผชิญหน้าเข้าห้ำหั่นกับกองโจรมายาจนสูญเสียกองกำลังไปกว่า 7 ใน 10 ส่วน และกองโจรมายาก็แตกสลายแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง... และเมื่อเช้านี้เพิ่งมีข่าวเกี่ยวกับการตายของหยางเหมินและภรรยาของหยางลั่วรวมถึงผู้อาวุโสอีกหลายคน"
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสทั้งเก้าแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล่าวขึ้น "ท่านผู้นำ แม้แต่ตระกูลหยางก็เกือบจะล่มสลายไปภายในค่ำคืนเดียวอย่างนั้นหรือ?"
ฉินเหยียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม "ถูกต้อง แต่ทว่าสมาชิกของตระกูลหยางที่ตกตายไปส่วนใหญ่ล้วนแล้วเกิดจากฝีมือของชายคนหนึ่งมิใช่กองโจรมายา ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของชายผู้นั้นที่ยุแหย่ให้สองกองกำลังต้องห้ำหั่นกัน"
สีหน้าของฉินฟงซีดลง มันรีบก้มหน้าเพราะกลัวว่าจะถูกจับสังเกต
ไป๋เฉินที่ยกถ้วยชาเพียงยิ้มมุมปากอย่างเงียบๆและสะดับรับฟังต่อไป
ฉินเหยียนเว้นวรรคครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ "และสิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นตระกูลหยางถูกปล้นทรัพย์สินภายในค่ำคืนเดียวจนหยกสีม่วงไม่มีเหลืออยู่ในโรงงาน และเหมืองหยกก็ถล่มลงมา บัดนี้ตระกูลหยางที่มั่งคั่งกลับกลายเป็นยาจกไปในชั่วข้ามคืน"
ผู้อาวุโสลำดับที่สามที่กำลังจะดื่มช้ากลับเผลอพ่นชาออกมาเต็มปาก "แค่ก แค่ก"
ข่าวนี้ราวกับมีสายฟ้าฟาดเข้ากลางหัว! มันน่าตกใจเกินไป! ตระกูลหยางที่มีกองกำลังระดับสูงและมีความมั่งคั่งและธุรกิจทั่วทุกหนแห่งของเมืองเทียนหยุนกลับต้องล้มละลายภายในเวลาไม่กี่ชั่วยาม!
"ผู้ใดกันแน่ที่สร้างเรื่องราวใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้?" ผู้อาวุโสลำดับที่สามสอบถามอย่างไม่อดทน
แต่ฉินเหยียนส่ายศีรษะบางเบา "ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร มีที่มาและหน้าตาอย่างไร เพราะเขาสวมหน้ากากไหมสีดำตลอดเวลาตามคำบอกกล่าวของสมาชิกตระกูลหยางที่อยู่ในเหตุการณ์"
ฉินถิงผู้อาวุโสลำดับที่หกก็แสดงความคิดเห็นในลักษณะเอ่ยถาม "พี่ใหญ่ นั่นหมายความทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะบุคคลเพียงคนเดียวงั้นหรือ?"
จากข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถหาข้อสรุปได้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลหยางได้ตกจากอันดับสองเกือบจะไปสู่อันดับที่หกเสียแล้วหากจะนับรวมกองกำลังที่เหลืออยู่ ทุกสิ่งอย่างล้วนมาจากบุรุษผู้เดียว
ฉินเหยียนพยักหน้าเบาๆ "ถูกต้อง ข้ายังคงเป็นกังวลว่าหากมีผู้ใดทำให้บุคคลนั้นไม่พอใจ ตระกูลฉินของพวกเราก็มีโอกาสที่จะประสบพบเจอกับหายนะนั้นเช่นกัน หากคนผู้นั้นสามารถวางแผนทำลายล้างสองกองกำลังหลักได้ภายในชั่วข้ามคืน ข้าเชื่อว่าตระกูลฉินคงเป็นเพียงเค้กชิ้นๆเล็กที่ไม่ต่างกัน"
"ข้าสันนิษฐานว่าชายคนนั้นที่แขวนคอประจานผู้อาวุโสทั้งสามรวมถึงภรรยาของหยางลั่ว อาจจะเป็นบุคคลเดียวกันกับคนที่สังหารฉินหมิงหยวนก็เป็นได้"
ฉินฟงและคนอื่นๆแสดงสีหน้ามืดมนฉับพลัน
ฉินเหยียนเพียงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด "ต่อจากนี้ระวังพฤติกรรมของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้ดี อย่าให้ข้าได้ยินว่ามีผู้ใดใช้อำนาจของตระกูลฉินในทางที่ไม่ถูกไม่ควร มิเช่นนั้นชะตากรรมของพวกเราคงจะไม่แตกต่างจากตระกูลหยางเป็นแน่"
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำ "ไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลอันตรายเช่นนี้ซ่อนเร้นอยู่ภายในเมืองเทียนหยุนของพวกเรา"
ในขณะเดียวกันฉินเหยียนกลับลอบมองไปยังไป๋เฉินราวกับว่ากำลังสังเกตบางสิ่ง
แต่ปฏิกิริยาของไป๋เฉินกลับไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตและตั้งใจฟังอย่างสงบเสงี่ยมในขณะจิบชาด้วยท่วงท่าเรียบร้อย
ฉินเหยียนหันกลับมาก่อนจะกล่าวคิ้วที่ย่นลง "และอีกเรื่องที่ข้าต้องการหารือ คือเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของข้า"
เหล่าผู้อาวุโสตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ฉินเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "เมื่อเช้าข้ามีอาการผิดปกติ หลังจากแพทย์ได้มาตรวจสอบร่างกายของข้าก็กลับพบว่าข้ามีอาการแปลกประหลาด การไหลเวียนโลหิตช้าลง ระดับบำเพ็ญปราณลดลงอย่างรวดเร็ว และข้ามีลางสังหรณ์ว่าข้าอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน..."
การแสดงออกทางสีหน้าทุกคนกลายเป็นหนักอึ้ง มีเพียงฉินฟงเท่านั้นที่มีแววตาเป็นประกายจากภายใน
ข่าวที่สองเป็นข่าวร้ายที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่การก่อตั้งตระกูลฉิน!
หากเมืองเทียนหยุนต้องสูญเสียฉินเหยียนไป ตระกูลฉินอาจจะตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที และหลังจากนั้นอาจจะเกิดความขัดแย้งภายในครั้งใหญ่ในการไต่เต้าเพื่อที่จะรับตำแหน่งเจ้าเมืองคนต่อไป
และเมื่อนั้นจะไม่มีที่ว่างให้แก่ตระกูลฉินภายในเมืองเทียนหยุนอีกต่อไป
ผู้อาวุโสลำดับที่สามและสี่มองหน้ากันอย่างลังเลใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามอีกครา "ท่านผู้นำ เป็นไปได้ไหมว่าท่านถูกวางยาพิษ?"
แต่ฉินเหยียนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าสงสัยเช่นกัน "มีโอกาสที่ข้าจะถูกวางยา แต่ทว่าแม้แต่แพทย์พิษที่มาตรวจสอบก็ไม่พบเจอสิ่งที่ผิดปกติ เขาวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงของอาการบาดเจ็บของข้าในอดีตที่สั่งสมมาแต่เพิ่งจะออกอาการในเร็วๆนี้"
"ท่านพ่อ ไม่มีวิธีรักษาจริงๆงั้นหรือ?" น้ำในตาของฉินเยว่ฉานเริ่มขัง นางจับมือฉินเหยียนไว้แน่นอย่างไม่เต็มใจ
ฉินเหยียนถอนหายใจยาวเหยียด "ข้าได้ลองมาหลายวิธีแล้วแต่ยังไม่พบวิธีรักษา ทว่าอย่างน้อยข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ได้สักสองสัปดาห์โดยการใช้ปราณระงับอาการไว้"
ผู้อาวุโสหลายคนได้ไถ่ถามอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใย มีเพียงแต่ฉินฟงเท่านั้นที่แสร้งแสดงสีหน้ากังวลได้ดีที่สุดจนไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งและมอบรางวัลออสการ์ให้แก่เขา
หลังจากนั้นไม่นานฉินเหยียนปราดตามองไปรอบๆห้องโถง "เอาล่ะ ฟังทางนี้ ข้าขอประกาศ ณ บัดนี้ว่าข้าต้องการลาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินเพื่อรักษาตัว และข้าต้องการส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลรักษาการชั่วคราวให้แก่ใครบางคนในห้องนี้"
"อะไร!?"
ทุกผู้คนอุทานเสียงดังสนั่นอย่างมึนงง
"ท่านผู้นำ..." ผู้อาวุโสลำดับที่สามลังเลที่จะกล่าว
การส่งมอบตำแหน่งเป็นการยืนยันในอีกทิศทางหนึ่งว่าโอกาสรอดชีวิตของฉินเหยียยนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่ตัดสินใจเช่นนี้
แต่ฉินเหยียนโบกมือเบาๆก่อนเขาหันไปหาชายชราข้างกายถัดจากไป๋เฉินที่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ก่อนแล้ว "พี่ใหญ่ ท่านสนใจจะเป็นผู้นำตระกูลฉินให้ข้าได้หรือไม่?"
แต่ฉินเฉิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล "ข้าไม่สนใจ"
เมื่อได้ยินการปฏิเสธอย่างกะทันหัน ฉินฟงที่นั่งนิ่งงันมาเนิ่นนานกลับแสดงสีหน้าตั้งตารอออกนอกหน้าอย่างเด่นชัด แววตาของมันเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยากจะพรรณา
ฉินเหยียนถอนหายใจราวกับว่ารู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นสายตาของเขาค่อยๆขยับไปยังทิศทางของฉินฟงที่แสดงอาการออกนอกหน้า แต่ทว่าเขาหันเอียงมายังไป๋เฉินและกล่าวรอยยิ้ม "ไป๋เฉิน ตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า"
"เอ๊ะ!?" เสียงอุทานกว่าสิบเสียงผสานกันอย่างตกตะลึง แม้แต่ไป๋เฉินเองก็มิใช่ข้อยกเว้น