ตอนที่ 54 : ผู้นำตระกูลชั่วคราว

ฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนอ้าปากค้าง ทั้งสองชายตามองไป๋เฉินและเห็นว่าไป๋เฉินก็มึนงงไม่แพ้กัน

ไป๋เฉินไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะบานปลายได้ถึงเพียงนี้ แต่อย่างน้อยก็เป็นผลดีในการดำเนินแผนการ

'อะไรจะพอเหมาะพอเจาะถึงเพียงนี้ ราวกับว่าฉินเหยียนกำลังรีบเร่งแผนการแทนข้าในการเปิดโปงฉินฟงอย่างไรอย่างนั้น' 

"เป็นไปไม่ได้!" ฉินฟงยืนขึ้นอย่างกะทันหันพลันตะคอกอย่างเดือดดาล "ท่านผู้นำ! ไป๋เฉินเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์ ซ้ำแล้วมันมิได้มาจากสายเลือดของตระกูลฉิน แม้นมันจะเป็นเพียงรักษาการผู้นำแต่มันไม่มีคุณสมบัติ!"

ผู้อาวุโสอีกหลายคนต่างก็ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย แม้นฉินเหยียนต้องการจะออกจากตำแหน่งเพื่อรักษาตัว แต่อย่างน้อยบุคคลที่จะต้องเข้ามาแทนที่ควรจะเป็นแซ่ฉินมิใช่หรือ? การจะกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการทำให้ตระกูลอื่นภายในเมืองเทียนหยุนหัวเราะเยาะเย้ยเสียเปล่าๆ

จะเป็นอย่างไรหากขยะที่ไร้การฝึกฝนต้องรับตำแหน่งผู้นำที่ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความน่าเกรงขาม

แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งหลายคงไม่มีวันทำตามคำสั่งเป็นแน่!

ฉินเหยียนมิได้เอ่ยตอบแม้นหลายคนจะกำลังรอคำตอบ หากแต่ชำเลืองมองไป๋เฉิน และไป๋เฉินสามารถมองเห็นอารมณ์ในแววตาได้อย่างเด่นชัด

มันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด ความอึดอัดและการขอโทษแอบแฝงอยู่ ไป๋เฉินเพียงสังเกตอารมณ์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อตระหนักได้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

การที่ฉินเหยียนทำเช่นนี้จะเป็นการยกระดับและตำแหน่งของไป๋เฉินขึ้นมาวางไว้เหนือเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมด แน่นอนว่าข้อครหานั้นย่อมมีทุกหนแห่ง แต่อย่างน้อยฉินเหยียนเพียงแค่ต้องการให้ไป๋เฉินไม่ดูตกต่ำในสายตาของผู้อื่นเท่านั้น ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่กระตุ้นทำให้ฉินเหยียนตัดสินใจเช่นนั้น

ฉินเหยียนกล่าวอธิบายโดยไม่สนใจฉินฟง "แม้นว่าเขามิใช่สายเลือดตระกูลฉิน แต่เขาเป็นเขยของข้าและข้าก็ติดหนี้บุญคุณตระกูลไป๋ไว้มากมาย หากมิได้ตระกูลไป๋คอยประคับประคอง ตระกูลฉินจะไม่มีวันได้รุ่งโรจน์และมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้... และอีกอย่างพวกเจ้าทั้งหลายไม่เคยรับรู้ว่าการบริหารทรัพยากรของตระกูลไป๋ในอดีตนั้นมีไป๋เฉินอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด หากจะกล่าวว่าไป๋หนานเทียนมิอาจเทียบชั้นกับไป๋เฉินได้ในการวางแผนและจัดแจงรายละเอียดยิบย่อยไม่ว่าจะเป็นกองกำลังหรือยุทธวิธี ซึ่งคุณสมบัตินี้นับว่าเป็นคุณสมบัติที่พึงจะมีในผู้นำตระกูล"

ผู้อาวุโสทั้งเก้ามองหน้ากันอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าไป๋เฉินจะมีความสามารถสูงลิ่วถึงเพียงนี้

ในอดีตไป๋เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์หมายเลขหนึ่งของเมืองเทียนหยุน ไม่ว่าจะด้านการวางแผนและการเงิน แน่นอนว่าก่อนไป๋หนานเทียนตายไป ไป๋เฉินก็ได้วางแผนสำรองไว้มากมายเพื่อให้ตระกูลไป๋หลีกหนีจากหายนะ แต่ไป๋หนานเทียนกลับไม่เห็นด้วยเพราะอาจจะสูญเสียกองกำลังของพันธมิตรอย่างตระกูลฉินไปด้วย

ไป๋เฉินสามารถเข้าสู่การบำเพ็ญปราณสวรรค์ได้ในอายุ 14 ปี ที่ซึ่งแม้แต่ไป๋หนานเทียนก็ไม่มีคุณสมบัติหากจะเทียบเคียงในช่วงอายุที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่ผิดหากจะกล่าวว่าไป๋เฉินคืออัจฉริยะที่แท้จริง

"ไป๋เฉิน เจ้าจะยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินเป็นการชั่วคราวหรือไม่?" ฉินเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

เหล่าผู้อาวุโสมองหน้าไป๋เฉินอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศภายในห้องโถงแลดูอึดอัดและเงียบสงัดดุจป่าช้าร้าง แม้กระทั่งยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน

หลายๆคนคาดเดาไปในทางเดียวกันว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ไป๋เฉินจะตบปากรับคำ

เผือกร้อนเช่นนี้ไป๋เฉินคงจะไม่รับตำแหน่งไว้เพื่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อตนอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสคาดเดาถูกพลิกกลับอย่างคาดไม่ถึง เพราะไป๋เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแจ่มใส "ตกลง ข้าจะเข้ารับตำแหน่งรักษาการผู้นำตระกูลไว้จนกว่าท่านจะรักษาอาการบาดเจ็บ"

'นี่เป็นการเร่งแผนการณ์ที่ดีที่สุดที่พระเจ้าประทานมา ข้าไป๋เฉินจะไม่รับพรจากสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร?'

"อะไร!?" 

ฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนตกตะลึงรวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดต่างอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อ

แต่ปฏิกิริยาของฉินฟงกลับเลือดขึ้นหน้าราวกับภูเขาไฟกำลังปะทุ พร้อมชี้หน้าไป๋เฉินอย่างเกรี้ยวกราด "ท่านผู้นำ ท่านสมองกลับไปแล้วหรือไร!? ท่านต้องการให้ขยะไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้รับอำนาจสูงสุดที่จะตระกูลฉินพึงจะมีงั้นหรือ? จะเป็นอย่างไรหากตระกูลฉินต้องตกต่ำหากท่านมอบตำแหน่งนี้ให้มัน"

ฉินเหยียนเอ่ยในลักษณะแววตาสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว "ไป๋เฉินยังมิได้ทำหน้าที่แม้แต่น้อย เหตุใดเจ้าจึงคิดเป็นตุเป็นตะถึงเพียงนั้น? อย่างน้อยก็ควรให้เขาได้แสดงความสามารถหน่อยไม่ดีงั้นหรือ?"

จู่ๆเขาก็หันไปหาเหล่าผู้อาวุโสพลางกล่าวแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม "มีใครต้องการสนับสนุนให้ไป๋เฉินเป็นรักษาการผู้นำตระกูลบ้างหรือไม่?"

แน่นอนว่าคำตอบคือไม่! ไม่มีผู้อาวุโสท่านใดเห็นด้วยแม้แต่น้อย!

"ข้าเห็นด้วย" แต่ฉินเยว่ฉานไม่ลังเลเลยที่จะกล่าวขึ้นเป็นบุุคคลแรก

หากไป๋เฉินได้แสดงความสามารถในการควบคุมตระกูลฉินคงไม่มีผู้ใดกล้าจะปรามาส เพราะเขาได้ถืออำนาจสูงสุดและดาบอาญาสิทธิ์ไว้ เมื่อนั้นจะไม่มีผู้ใดรังแกเขาได้อีกต่อไป

"ข้าเองก็เห็นด้วย" ฉินเหวินเทียนกล่าวเสริมหลังจากฉินเยว่ฉาน

แน่นอนว่าไม่มีผู้ให้ความสำคัญกับคำกล่าวของทั้งสอง

แต่จู่ๆชายชราฉินเฉิงที่นั่งจิบชาใกล้ชิดกับไป๋เฉินก็พูดขึ้นเลื่อนลอย "ข้าพร้อมจะสนับสนุนไป๋เฉินในฐานะรักษาการผู้นำตระกูลชั่วคราว"

"ห๊ะ!?" ผู้อาวุโสทุกคนอุทานอย่างตกตะลึง 

'ผู้อาวุโสสูงสุดสมองกลับเฉกเช่นเดียวกันกับท่านผู้นำหรืออย่างไร?' 

หมู่มวลผู้อาวุโสต่างก็นึกคิดไปในเส้นทางเดียวกัน

ชายชราฉินเฉิงวางถ้วยชาปราดมองเหล่าผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้มมุมปาก "พวกเจ้าเล่า คิดเห็นอย่างไร?"

ภายในตระกูลฉินมิใช่ฉินเหยียนที่มีอำนาจสูงสุด หากแต่เป็นชายชราฉินเฉิงผู้นี้ที่มีวาจาอาญาสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้าจะไม่เห็นด้วย ผู้อาวุโสต่างตัวสั่นสะท้านเมื่อมองเห็นแววตาขู่เข็ญนั้น

"ข้าฉินถิงพร้อมจะสนับสนุนไป๋เฉินเต็มที่!" ฉินถิงไม่ลังเลเลยที่จะแสดงความคิดเห็นหลังจากได้รับฟังคำกล่าวของฉินเหยียน

"ข้าก็ด้วย"

"ข้าเองก็เช่นกัน"

"พวกเราควรให้โอกาสไป๋เฉินในการพิสูจน์ความสามารถ ข้าเองก็เห็นด้วย"

"แม้นไป๋เฉินจะมิอาจฝึกฝนได้ แต่ข้าเชื่อว่าความสามารถแขนงอื่นจะมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับตระกูลฉิน ข้าเห็นด้วย"

"ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรเขาเป็นเพียงรักษาการชั่วคราว คงไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่มากนัก"

คำตอบเหล่านี้ของผู้อาวุโสบ่งชี้ว่าตำแหน่งและวาจาของฉินเฉิงนั้นมิอาจมองข้าม

แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็เห็นดีเห็นงาม แล้วพวกเขาจะต่อต้านได้อย่างไร?

แต่มีเพียงฉินฟงและผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดฉินซื่อเท่านั้นที่มิได้กล่าวสิ่งใด หากแต่จ้องมองไปยังไป๋เฉินด้วยสายตาเย็นชา

ฉินฟงที่ทนไม่ไหวกลับยืนขึ้นอย่างเร็วรี่ก่อนที่คำรามอย่างไม่เห็นด้วย "ผู้อาวุโสท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? หากท่านให้ไป๋เฉินรับตำแหน่งผู้นำไม่ว่าจะชั่วคราวหรือเพียงแค่วันเดียว พวกเราจะถูกหัวเราะเยาะจากผู้คนมากมายเป็นแน่ และเมื่อนั้นชื่อเสียงของตระกูลฉินจะกลายเป็นเรื่องตลกที่สุดภายในเมืองเทียนหยุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! ท่านผู้อาวุโสได้โปรดคิดทบทวนอีกครั้ง"

แต่ชายชราฉินเฉิงทำราวกับหูทวนลมในขณะสายตาจดจ้องอยู่กับถ้วยชาที่เขย่าไปมา "ข้าให้โอกาสเจ้าพูดใหม่อีกครั้ง..."

"วู้ม!"

รังสีครอบงำของฉินเฉิงปะทุอย่างรุนแรงกดดันให้บรรยากาศภายในห้องโถงกลับกลายเป็นหนักอึ้งและหายใจไม่ทั่วท้อง 

เป้าหมายของแรงกดดันมีเพียงแค่ฉินฟงผู้เดียวที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวจนแทบจะเป็นสีเขียว เมื่อมันมิอาจทนรับแรงกดดันได้ ผลสุดท้ายมันต้องจำใจกัดฟันกล่าว "ข้าเห็นด้วย..."

ฉินซื่อผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดตัวสั่นงันงกเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาดุดันของฉินเฉิงจนเขาต้องรีบกล่าวอย่างประจบประแจง "ข้าเห็นด้วย ข้าเห็นด้วย"

ฉินเหยียนเปล่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจราวกับยกภูเขาออกจากอก "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนเห็นด้วย เช่นนั้นข้าขอประกาศตรงนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไป๋เฉินจะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลชั่วคราวแทนที่ข้าฉินเหยียน!"

แม้นเหล่าผู้อาวุโสไม่อยากจะทำตาม แต่สุดท้ายฉินเฉิงก็เป็นผู้นำยืนขึ้นประสานมือไปยังไป๋เฉินด้วยรอยยิ้มอบอุ่น "ฉินเฉิงคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินถิงคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินจางลู่คารวะท่านผู้นำ"

"ฉินหงคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินซื่อคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินเซินถูคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินกงซุนคารวะท่านผู้นำ"

"ฉินลี่คารวะท่านผู้นำ"

"ฉินฟง...คารวะท่านผู้นำ"

พวกเขารู้สึกอับอายและกระดากปากยิ่งนักที่ผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์กลับต้องมาคารวะแก้คนพิการไร้ประโยชน์ไม่มีการบำเพ็ญปราณอย่างไป๋เฉิน

มีเพียงฉินฟงที่แทบจะอาเจียนเป็นเลือด

"พวกท่านสุภาพเกินไป ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แม้นว่าข้าจะมีตำแหน่งสูงกว่าพวกท่านก็ตามที" ไป๋เฉินประสานมือกลับในลักษณะนอบน้อมแต่คำกล่าวของเขากลับไปในทิศทางตรงกันข้าม

ไร้ยางอาย!

น่ารังเกียจ!

เด็กเหลือผู้นี้ได้ทีขี่แพะไล่จริงๆ!

ผู้อาวุโสแต่คนละต่างก็ลมออกหูอย่างเกรี้ยวกราด

มุมปากของฉินเหยียนและฉินเฉิงกระตุกอย่างหนักราวกับเป็นสันนิบาต ทั้งสองมองหน้ากันและเห็นอาการทำอะไรไม่ถูกของกันและกัน