ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้าน
ทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!
ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"
ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่เต้าหู้เป็นชิ้นบางนับร้อย
เนื้อหนังของพยัคฆ์หางแมงป่องถูกผ่าออกโดยไร้ซึ่งความต้านทาน เศษชิ้นเนื้อแตกกระจายเป็นเสี่ยง ก่อนที่แสงสีแดงจะส่องสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง แล้วระเบิดทำลายซากทุกส่วนจนแหลกละเอียด โลหิตพุ่งกระจาย สาดไปทั่วอากาศและพื้นดินอันร้อนระอุ
กระบวนท่าอันน่าตื่นตะลึงนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น!
ซ่งเหยียนเฟยมองไปยังพื้นดินที่เปื้อนเลือดของพยัคฆ์หางแมงป่องตัวนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาปล่อยคำสบถออกมา "แค่สิ่งมีชีวิตระดับมดปลวกขั้นกำเนิดกาย ยังกล้ามาโจมตีข้าได้เช่นไร?"
เสียงคำพูดนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจและความเหยียดหยาม เขารู้สึกคับข้องใจที่แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าก็ยังกล้าท้าทายเขา ราวกับความเย่อหยิ่งของมันทำให้เขารำคาญจนไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
หลังจากที่ปล่อยคำสบถออกมา ซ่งเหยียนเฟยยังคงยืนมองซากของพยัคฆ์หางแมงป่องในท่ามกลางเลือดที่กระจายไปทั่วพื้นดิน ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด บางสิ่งบางอย่างในใจเขาเริ่มบีบคั้นให้ต้องหาคำตอบ
'หรือว่า...ความวุ่นวายที่เจ้าหนูนี้ก่อขึ้น จะเป็นต้นเหตุให้พยัคฆ์หางแมงป่องเริ่มปรากฏตัว?' เขาหันไปมองหนุ่มน้อยที่นอนสลบอยู่ข้างกาย ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
'พาเจ้าหนูนี่ออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า เเม้พยัคฆ์หางแมงป่องจะเป็นเพียงมดปลวกในสายตาข้า แต่ข้าก็ยังต้องปกป้องเจ้าหนูนี่อยู่ดี ดั่งคำที่ว่า แม้นฝูงมดจะตัวเล็ก แต่หากรวมกันเป็นล้าน ก็สามารถกัดกินเสือได้"
เขาคิดได้ดังนั้น จึงยื่นมือขวาออกไปพร้อมกับปลดปล่อยพลังจากภายในร่าง สะท้านผ่านอากาศไปพยุงร่างของหนุ่มน้อยให้ลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพุ่งออกไปยังทางเข้าถ้ำด้วยความรวดเร็ว ดั่งเสือที่แล่นผ่านป่า ก่อนที่ฝูงพยัคฆ์หางแมงป่องจะออกมา
...ในถ้ำลึก ภายในที่ที่อากาศร้อนระอุราวกับเปลวไฟลุกท่วมไม่หยุด บรรยากาศน่าหวาดกลัวรอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นคละคลุ้งของลาวาเดือดที่กำลังร้อนแรงและไอระเหยที่ขึ้นมาจากบ่อน้ำสีแดงฉาน ไม่เพียงแค่ความร้อนเท่านั้นที่ทำให้สถานที่แห่งนี้น่าเกรงขาม แต่ยังมีพืชพันธุ์แปลกประหลาดนานาชนิดที่เติบโตอยู่ในที่แห่งนี้ สร้างความรู้สึกที่ดึงดูดสายตาของผู้ที่ไม่ระวังให้เข้ามายืนที่นี่ด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ไกลจากบ่อน้ำที่เดือดมีบัลลังก์หินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บัลลังก์นี้ถูกแกะสลักอย่างประณีต ลักษณะของมันมีความสูงสง่าและเย็นชา เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มีรูปร่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นเยียบและน่าเกรงขามเหมือนกัน
บนบัลลังก์หินนั้นเอง มีพยัคฆ์หางแมงป่องตัวใหญ่โตตัวหนึ่งนอนทอดกายอยู่ พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่ไม่เพียงแต่มีรูปร่างน่าหวาดกลัว แต่ยังมีพลังลึกลับที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สายตาของมันดุจเหมือนกับการจับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งที่ขัดขวาง
ในที่แห่งนี้ ราวกับมีมนต์สะกดที่ดึงดูดผู้คนเข้ามา แต่ก็ขับไล่ด้วยความอันตรายของโลกที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ทันใดนั้น พยัคฆ์หางแมงป่องตัวใหญ่พลันสะดุดตาและจ้องมองออกไปยังบางสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน ราวกับมีใครมาทำร้ายบุตรของมันจนมันโกรธจนแทบจะบ้าคลั่ง ใบหน้ามันบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธจนเกือบจะเป็นรูปปั้นของความโหดเหี้ยม เสียงคำรามที่ดังออกมาจากมัน เสียงนั้นไม่ใช่แค่เสียงคำรามธรรมดา แต่เป็นคลื่นเสียงอันรุนแรงที่สามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ห้องโถงที่กว้างขวางนี้ถึงกับสั่นคลอน ราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวจะพังทลายลงในไม่ช้า
เสียงคำรามของมันดังกึกก้องไปทั่วทั้งถ้ำ บริวารอสูรที่หมอบอยู่ใต้บัลลังก์หินต่างกลัวจนตัวสั่น พวกมันไม่มีใครกล้าที่จะยกสายตาขึ้นมองไปยังบัลลังก์หินอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ความหวาดกลัวลึกลงในจิตใจพวกมันราวกับว่าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นมีอำนาจที่เกินกว่าที่พวกมันจะทนทานได้
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนล้วนอยู่ในสภาพที่พร้อมจะถูกกลืนกินไปภายใต้การควบคุมของอสูรยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเหมือนจะควบคุมทุกสิ่งภายในถ้ำที่ร้อนระอุแห่งนี้
---------------------------------------------------------------------
...ขณะยามพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ สายลมเย็นพัดพาดผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ร่มเงาของป่าลึกค่อยๆ เข้าปกคลุม เหมือนกับเวลาที่เคลื่อนคล้อยเข้าสู่ความมืดค่ำ ฝูงนกบางตัวยังส่งเสียงเรียกหาคู่รัก ก่อนที่พวกมันจะหวนกลับรัง เสียงแมลงและสัตว์ต่างๆ ในป่าก็ค่อยๆ ดังขึ้นมาให้ได้ยินชัดเจน นานไปข้างกายเด็กหนุ่ม เสียงน้ำตกที่ไหลรินจากข้างล่างคล้ายดังขึ้นในหูเขา
ทันใดนั้น เปลือกตาของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ กระตุก ขยับจนเปิดออกด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อเขาตื่นจากภวังค์ ภาพที่เห็นในยามนี้ทำให้เขาตกใจจนต้องรีบกระโดดลุกขึ้นนั่ง ลมหายใจถี่ขึ้นเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเขามีชีวิตอยู่ แต่เมื่อมองไปรอบกาย ก็พบว่าโลกทั้งใบเปลี่ยนไป ความมืดเริ่มปกคลุมทุกสิ่ง ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ความสงบที่ห่อหุ้มไว้เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
เขาหันมองไปทางขวามือ เห็นป่าลึกเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลากหลายพันธุ์ที่ดูคุ้นตา ส่วนน้ำตกที่อยู่ตรงหน้า ก็ยังคงเดิมเหมือนในความทรงจำ แต่ไม่ใช่แค่เพียงน้ำตกเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย... มันคือภาพแห่งการพบเจอกับพี่น้องสาวงามที่พึ่งจะผ่านพ้นไปไม่นาน
เด็กหนุ่มหลับตาลง ทบทวนความทรงจำในยามนั้น เขานึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้ ช่วงเวลาที่เขาล้มฟุบสลบในถ้ำอันร้อนระอุของพยัคฆ์หางแมงป่อง ก่อนจะลืมตาขึ้นและพบว่าตนเองกลับมาอยู่ที่นี่ ในที่แห่งนี้ เด็กหนุ่มยังคงครุ่นคิดในใจ ไม่เข้าใจว่าตนเองมาอยู่ ณ ที่นี้ได้อย่างไร และผู้ใดกันเล่าที่เป็นผู้พามา
แต่ก่อนที่ความคิดของเขากำลังจะล่องลอยไปไกล จู่ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเบื้องหน้าดุจดั่งวิญญาณที่มิอาจจับต้องได้
"เฮ้อ เจ้าหนู หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นคืนแล้วรึ?" บุรุษร่างน้อยเบื้องหน้าถามด้วยน้ำเสียงแฝงความขบขัน
"ที่แท้...เป็นเจ้านั้นเอง" เด็กหนุ่มกล่าวออกมา ดุจดังจิ๊กซอว์ที่หายไปถูกนำกลับมาเติมเต็มในหัวใจ คำถามที่ค้างคาใจพลันกระจ่างชัด ความสับสนมลายหายไป กลับกลายเป็นความเข้าใจ
"ขอบคุณเจ้า" เด็กหนุ่มกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ
"เจ้าพูดจาอันใดกัน? เมื่อเจ้าฟื้นแล้ว ก็รีบกลับกันเถิด ข้าหิวจนท้องร้องแล้ว" บุรุษร่างน้อยกล่าวพลางทำสีหน้าหิวโหย ราวกับต้องการอาหารทันที
เด็กหนุ่มพลันเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อทอดสายตาไปยังสภาพของบุรุษร่างน้อยเบื้องหน้า เเละเอ่ยขึ้นว่า "ตกลง งั้นเรากลับบ้านกันเถิด" พร้อมกับเริ่มขยับกายเพื่อจะลุกขึ้นยืน และเมื่อเขาลุกขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่อ่อนแอที่คิดกลับหายไปสิ้น เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ยามก่อนสลบร่างกายของเขาอ่อนแอจนแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ บาดแผลทั่วกายแหลกเละ แต่ตอนนี้กลับไร้ร่องรอยของบาดแผล ร่างกายฟื้นฟูจนหายเป็นปกติ และยังแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าก่อน พลังกำลังเต็มเปี่ยมในตัวเขา ดุจพลังใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เมื่อครุ่นคิดได้ดังนี้ เขาจึงหันไปมองบุรุษร่างน้อยเบื้องหน้า อ้าปากจะถาม แต่คำพูดของบุรุษนั้นกลับขัดจังหวะเสียก่อน
"เจ้าอย่าพร่ำถามเลย ข้าใช้สรรพคุณของต้นกระบองเพชรลิ้นงูรักษาเจ้า มันมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ในเมื่อข้ารับปากว่าจะดูแลเจ้าแล้ว ก็ย่อมต้องดูแลจนถึงที่สุด ไปกันเถิด" บุรุษร่างเล็กเอ่ยออกมาเสียงเรียบๆ พร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ประสงค์ให้มีคำถามใดๆ เกิดขึ้นอีก
อวี้เหวินเห็นดังนั้น จึงมิเอื้อนเอ่ยวาจาอันใดอีก เพียงแค่ทอดสายตาและแสดงสีหน้าที่สื่อถึงความขอบคุณแทนคำกล่าว ราวกับให้อารมณ์เป็นตัวแทนวาจา
เมื่ออวี้เหวินปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย จึงเก็บข้าวของและออกเดินทางกลับบ้านพร้อมกับซ่งเหยียนเฟยทันที เขาหยิบตะเกียงจากกระเป๋าแล้วจุดไฟให้มันลุกโชน เนื่องจากในยามนี้รอบข้างเริ่มมืดสนิท ทำให้เขาจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าไปพร้อมกับตะเกียงในมือ
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้าน แสงสว่างเริ่มส่องประกายขึ้น คืนนี้หมู่บ้านที่เคยเงียบเหงากลับเต็มไปด้วยผู้คน แสงสีอันหลากหลายจากตะเกียงและโคมไฟทำให้บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก ร้านค้าทั้งสองข้างทางคับคั่งไปด้วยสินค้าจากขบวนของตระกูลหวังที่เข้ามาสู่หมู่บ้านในวันนี้ เสียงพ่อค้าแม่ขายคอยโฆษณาสรรพคุณสินค้าของตนอย่างครึกโครม จนสร้างความคึกคักและเสียงร่ำลือไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนจับจ้องด้วยความสนใจ
.."ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติ! หายากนักที่จะพบกับ ยาแก้บาดแผลชนิดนี้ ที่ทุกการผ่าตัดยากๆ ก็ สามารถใช้ได้! ไม่เพียงแค่บาดแผลภายนอก แต่มันยังสามารถรักษาบาดแผลภายในได้ ด้วย! ท่านผู้ใดที่ได้รับบาดเจ็บหรือเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ขอย้ำ! ยานี้จะ ช่วยให้ท่านฟื้นฟูจากความอ่อนแอภายในเวลา เพียงคืนเดียว! อย่าพลาดโอกาสทองนี้!"..
.."ท่านผู้มีเกียรติ! เสื้อผ้าของเราผลิตจากผ้า ไหมชั้นเยี่ยมที่ผ่านการทอด้วยมือจากช่าง ฝีมือดี! ท่านใดที่ต้องการเสื้อผ้าที่ทั้งหรูหรา และแข็งแรง ท่านมาถูกที่แล้ว! ไม่เพียงแค่ ความสวยงาม แต่ยังทนทานต่อการต่อสู้หนักๆ แถมยังมีการเสริมพลังจากสัญลักษณ์ที่จอมยุทธขั้นก่อกำเนิดทอไว้ในเนื้อผ้าจะช่วยปกป้องท่านจากอันตรายต่างๆ!"..
.."มาถึงร้านของข้าแล้วหรือ? ข้าไม่ขายเพียง แค่ของทั่วไป แต่เป็นของที่สามารถช่วยให้ท่านก้าวสู่ความเป็นจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่! ข้าเสนอของวิเศษที่เสริมพลังฝีมือ ทั้งกระบี่ วิญญาณที่สร้างจากโลหะดึกดำบรรพ์, โล่ปฐพีที่สามารถช่วยป้องกันการโจมตีจากภายนอก, และยาหลอมพลังที่สามารถฟื้นฟูพลังภายในได้ในทันที! ท่านใดที่ต้องการพลังพิเศษในการต่อสู้, มาที่ร้านของข้าเถิด ข้าพร้อมที่จะเสนอสิ่งที่ท่านไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน!"..
.."ลิ้มรสความอร่อยไม่เหมือนใคร! ข้าวหน้าเนื้อรส เด็ด ที่ปรุงจากสูตรลับของตระกูลข้า! พิเศษ! พวกเรายังมีน้ำซุปที่ใช้สมุนไพรจากภูเขาเหิงจิ้น ซดแล้วร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมือนเพิ่งได้รับการฟื้นฟูจากผู้เชี่ยวชาญ! ท่านใดที่เหนื่อยจากการเดินทาง มาเติมพลังที่ ร้านข้าเถิด ข้ารับรองว่าไม่ผิดหวัง!"..
อวี้เหวินสาวเท้าผ่านเหล่าร้านรวงน้อยใหญ่ เสียงร้องเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าดังก้องทั่วถนนหนทาง คล้ายเสียงธาราไหลผ่านโสตประสาท พลันทำให้เขาหวนระลึกถึงบุรุษผู้หนึ่งที่ได้พบพานก่อนออกเดินทางจากหมู่บ้านในยามอรุณ ชายผู้นั้นมีนามว่าหวังหลิน เป็นพ่อค้าที่รับซื้อสมุนไพรล้ำค่าและชิ้นส่วนอสูรอันหายาก
เมื่อคิดได้ดังนี้ อวี้เหวินเหลือบมองยังกระเป๋าหนังวัวสีน้ำตาลที่แนบอยู่ข้างกาย ภายในบรรจุแก่นพลังของอสรพิษหางแมงป่องอันล้ำค่า สายตาฉายแววครุ่นคิด
“มิรู้ว่าสิ่งนี้จะแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้เท่าใด… ร้านของเขาคงยังมิได้ปิดเป็นแน่”
อวี้เหวินพึมพำพลางตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง ก้าวเท้าไปยังร้านค้าของหวังหลินโดยพลัน
เมื่ออวี้เหวินย่างเท้าถึงหน้าร้านของหวังหลิน พลันสายตาสอดส่องไปยังเบื้องหน้า พบว่าร้านค้าแห่งนี้ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟส่องสว่าง รัศมีสีอำพันทอดเงาพาดผ่านทิวไม้และถนนหนทาง ยามรัตติกาลชวนให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสงบเงียบ
ภายในร้านนั้นจัดวางพืชสมุนไพร ของหายาก และชิ้นส่วนอสูรนานาชนิดไว้อย่างเป็นระเบียบ แบ่งแยกตามหมวดหมู่ ชวนให้ผู้มาเยือนเลือกหาได้โดยง่าย
ทันใดนั้น บุรุษผู้หนึ่งก็ก้าวออกจากร้าน ใบหน้าฉายรอยยิ้มบาง ดวงตาฉายแววคุ้นเคย
"โอ้ น้องชาย! เจ้ากลับมาแล้วรึ? มีสิ่งใดนำมานำเสนอแก่ข้าหรือไม่?"
เขากล่าวพลางยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์เชื้อเชิญ สีหน้าผ่อนคลาย แฝงแววสนใจในสิ่งที่อวี้เหวินนำมาโดยมิอาจปิดบัง
เมื่อชายผู้นั้นเชื้อเชิญ อวี้เหวินจึงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ในขณะที่เจ้าของร้านนั่งลงตรงกันข้ามอย่างเป็นระเบียบ บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบ มีเพียงแสงโคมไฟไหวระริกส่องประกายอบอุ่น
เขายกกาน้ำชาขึ้นมา บรรจงรินชาอันหอมกรุ่นในถ้วยแล้วส่งให้แก่อวี้เหวิน พร้อมทั้งรินถ้วยชาให้ตนเองด้วย ก่อนจะตั้งใจยกถ้วยขึ้นดื่มช้า ๆ เพื่อนำเสนอความจริงใจอย่างไม่ปิดบัง อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังถ้วยชาในมือ แล้วจึงยกถ้วยขึ้นดื่มตาม ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความนึกคิด
อวี้เหวินมิกล่าววาจาอันใด เพียงแต่หยิบกระเป๋าหนังวัวสีน้ำตาลขึ้นมา ก่อนจะเปิดออก เผยให้เห็นลูกแก้วสีแดงสดใส เปล่งประกายคล้ายเปลวเพลิงลุกไหวอยู่ภายใน จำนวนหลายสิบเม็ด
ชายตรงหน้าพลันเบิกตากว้าง ดวงตาฉายประกายวูบไหว สายตาสำรวจสิ่งของเบื้องหน้าอย่างละเอียด ลึกลงไปในใจเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
'เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางวรยุทธแท้ ๆ… กลับสามารถล่าของเช่นนี้มาได้ด้วยตนเอง ช่างมิใช่บุคคลธรรมดาจริง ๆ!'
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"แก่นพลังของอสรพิษหางแมงป่อง… น้องชาย เจ้าคิดจะขายทั้งหมดนี้เลยหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ข้ายินดีให้ราคาสูงเป็นพิเศษ!"
สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังแก่นพลังเหล่านั้น ความสนใจฉายชัดโดยมิอาจปกปิด
อวี้เหวินเห็นท่าทางของชายตรงหน้าที่แสดงความต้องการอย่างชัดเจน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ของสิ่งนี้มีค่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?"
ชายตรงหน้าเพียงเผยรอยยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"น้องชาย ของสิ่งนี้แม้ว่าการล่ามันจะมิใช่เรื่องยากเย็นนัก ทว่ากลับหาได้ยากยิ่ง เพราะอสรพิษหางแมงป่องนั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนระอุถึงขีดสุด ผู้ฝึกยุทธธรรมดาอาจทนอยู่ได้ไม่เกินสามลมหายใจ ในแคว้นตงชิงแห่งนี้ มีเพียงเขตแดนตะวันตกเท่านั้นที่มีพื้นที่ลักษณะเช่นนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าภูเขาลูกนี้จะมีดินแดนเช่นนั้นซ่อนเร้นอยู่"
ชายหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเอื้อนเอ่ยต่อไป
"ยิ่งไปกว่านั้น แก่นพลังของอสรพิษหางแมงป่องเหมาะยิ่งนักสำหรับการกลั่นโอสถและสร้างอาวุธที่เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนพลังวรยุทธและพลังทำลายของผู้ที่ฝึกปรือวิชาธาตุไฟให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น อีกทั้งยังเสริมสร้างความทนทานต่อความร้อนให้กับผู้ครอบครองได้อีกด้วย"
เมื่อกล่าวจบ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางยิ้มมุมปาก ก่อนกล่าวข้อเสนอ
"ราคาปกติของแก่นพลังหนึ่งเม็ดอยู่ที่หนึ่งเหรียญเงิน ทว่ากับเจ้า ข้ายินดีให้ราคาสองเหรียญเงินต่อเม็ด… เจ้าว่าอย่างไร?"
ชายตรงหน้าจ้องมองอวี้เหวินด้วยแววตาเจือความสนใจ รอคอยคำตอบจากเขา
อวี้เหวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาครุ่นคิดพลางเหลือบมองแก่นพลังสีแดงสดในมือ แววตาสะท้อนความลังเลอยู่ชั่วขณะ
ชั่วขณะนั้นเอง ขณะที่อวี้เหวินกำลังจะตอบรับ ข้อเสนอของหวังหลิน เสียงหนึ่งพลันดังก้อง ขึ้นในจิตใจของเขา
"เจ้าหนู... สิ่งนี้มีมูลค่ามากกว่าที่เจ้าคิด" อวี้เหวินพลันชะงักไปชั่วครู่ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง "แก่นพลังเหล่านี้ มิใช่ของธรรมดา... มิใช่เพียงอสรพิษหางแมงป่องทั่วไป ทว่าคือเผ่าพันธุ์กลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่อันร้อนแรงที่สุด เท่านั้น"
อวี้เหวินนิ่งงัน แววตาครุ่นคิด
"สองเหรียญเงินต่อเม็ด... นับว่าเป็นราคาที่ไม่น้อย" เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับชายตรงหน้า "แต่พี่หวัง ข้าเชื่อว่าแก่นพลังนี้คงมีค่ามากกว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นแน่ ใช่หรือไม่?"
หวังหลินหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายศีรษะ
"น้องชาย ช่างมีสายตาเฉียบคมนัก" เขาหยิบแก่นพลังขึ้นมาพิจารณาภายใต้แสงโคมไฟ แววตาครุ่นคิดก่อนกล่าวต่อ "หากเป็นแก่นพลังทั่วไป ราคานี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว แต่ของเจ้ามีประกายเพลิงภายในเด่นชัดถึงเพียงนี้ สมควรเป็นของที่เกิดจากอสูรที่ทรงพลังไม่น้อย"
อวี้เหวินได้ฟังดังนั้น แววตาพลันฉายแววคาดเดาไม่ผิด
"เช่นนั้น ข้าเชื่อว่าราคาของมันควรสูงกว่านี้อีกหน่อย"
หวังหลินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเผยรอยยิ้มบาง
"น้องชาย เจ้าช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ เช่นนั้นข้าจะเสนอให้สามเหรียญเงินต่อเม็ดเป็นอย่างไร? แลกเปลี่ยนด้วยมิตรภาพที่ดีระหว่างเรา"
อวี้เหวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "สามเหรียญเงินก็นับว่าสมเหตุสมผล...ข้าตกลง"
หวังหลินเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น พลางหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะนับเหรียญเงินออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงกระทบกันของเหรียญดังเป็นจังหวะภายใต้ความเงียบชั่วขณะ
"นี่คือเงินของเจ้า นับดูให้แน่ใจ" เขากล่าวพลางเลื่อนถุงเงินไปตรงหน้าอวี้เหวิน
อวี้เหวินรับถุงเงินมา เปิดดูเพียงแวบเดียวก่อนพยักหน้า "ข้าขอบคุณพี่หวังที่ให้ราคายุติธรรม หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสแลกเปลี่ยนกันอีก"
หวังหลินหัวเราะเบา ๆ "แน่นอน หากเจ้ามีของดีมาอีก อย่าลืมมาหาข้า"
อวี้เหวินเก็บถุงเงินเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้าย วางมันลงเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
"เช่นนั้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน พี่หวัง" เขาประสานมือคารวะ
หวังหลินพยักหน้า ยิ้มบาง ๆ "เดินทางปลอดภัย น้องชาย"
อวี้เหวินพยักหน้ารับ ก่อนหันหลังเดินออกจากร้านค้าเเห่งนี้ แสงโคมไฟริมถนนทอดเงาของเขายาวเหยียดไปบนพื้นหิน เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะบนทางเดินที่แออัด ไปด้วยผู้คนหลากหลายร่างกาย ต่างเดินไปใน เส้นทางแห่งชีวิตท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน
เขตเมืองนอกเขตค้าขายยามราตรีเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลง กลางคืนร้องระงม อวี้เหวินเดินผ่านตรอกแคบ และสะพานเล็กอย่างคุ้นชิน สายตากวาดมอง รอบตัวโดยไม่ลดความระมัดระวังแม้แต่น้อย
เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน เขาผลักประตูเปิด เข้าไปอย่างแผ่วเบา ภายในบ้านมีเพียงแสง ตะเกียงสลัว ๆ กับความเงียบสงบ
"ท่านพ่อคงหลับไปแล้ว..." เขาพึมพำกับตัวเอง
อวี้เหวินปิดประตูตามหลัง ก่อนเดินตรงไปยัง ห้องของตน วางถุงเงินลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
"อีกค่ำคืนที่ผ่านพ้นไป…" เขาพึมพำกับตัวเอง สายตามองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี พลางครุ่นคิดถึงวันข้างหน้าที่อาจเต็มไปด้วยโอกาสและอันตรายเช่นเดียวกัน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าในขณะนี้ เขาได้สร้างความแค้นอันยิ่งใหญ่ให้กับสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนยากจะหวนกลับ..