ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 159 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (1)

“คุกเข่าลง” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเจตนายิ้มเยาะของจวินอู๋เสียก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง

มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้นางกลับไปว่าอย่างไรดี

ไม่ต้องพูดถึงมั่วเซวี่ยนเฝ่ย แม้แต่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางก็ยังเบิกตากว้าง พูดไม่ออกกับคำสั่งที่ชวนให้ตกตะลึงนั้น

“เจ้า...” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนจวินอู๋เสียคร้านจะฟังคำเสวนาไร้สาระนี้จากปากเขาเต็มที เห็นเพียงปลายนิ้วของนางยกขึ้นชี้มาทางเขา และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ลำแสงสีแดงสองสายก็พุ่งตรงมาที่เข่าของเขาอย่างแรง

อ้ากกก!

และก่อนที่จะมีใครทันได้ตอบสนองอะไร โม่เซวี่ยนเฟยก็กรีดร้องเสียงดังลั่น ขาของเขาสั่นจนไม่อาจยืนได้อีกต่อไป จึงค่อยๆ ล้มลงมาคุกเข่าต่อหน้าจวินอู๋เสีย

ไป๋อวิ๋นเซียนที่อยู่ในอ้อมแขนของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ถูกลากให้ลงมาคุกเข่าด้วยเช่นกัน

จวินอู๋เสียยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่า มองลงไปที่ใบหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างเฉยชา

“มีอะไรจะพูด คุกเข่าก่อนแล้วค่อยพูด” จวินอู๋เสียพูดเสียงเย็น

ยิ่งรอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เสียขยายกว้างขึ้นและสว่างสดใสมากเท่าไร เลือดจากเข่าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย ก็ยิ่งทะลักไหลราวกับสายน้ำ พื้นหินอ่อนเรียบที่อยู่ใต้เข่าของเขา บัดนี้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นแอ่งโลหิตขนาดย่อมๆ แล้ว

เชื้อพระวงศ์อย่างเจ้าชอบแสดงอำนาจมากไม่ใช่เหรอ ชอบให้คนคุกเข่าเวลาพูดกับเจ้ามากไม่ใช่เหรอ เช่นนั้นก็จงคุกเข่าลง แล้วพูดกับข้าเหมือนกับที่เจ้าเคยทำกับผู้อื่น

ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ ภาพตรงหน้าทำเอาทุกคนตกตะลึงจนเกือบหยุดหายใจ

ทุกสายตามองไปที่จวินอู๋เสียเป็นทางเดียว ทั้งหวาดกลัวทั้งครั่นคร้ามต่อการกระทำอันแสนโหดร้ายเอาแต่ใจของเด็กสาว

ไป๋อวิ๋นเซียนลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความอับอาย สีหน้าของนางบิดเบี้ยว อาภรณ์สีขาวสะอาดบนร่างถูกโลหิตของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยย้อมจนเปรอะไปหมด ผมเผ้าของนางเองก็ยุ่งเหยิง แต่เมื่อนางมองลงไปที่เข่าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่มีเลือดไหลออกมาไม่ขาดสาย นางก็รีบยื่นมือออกไปพยายามประคองหวังจะช่วยให้เขาลุกขึ้นยืน แต่การกระทำของนางกลับเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างถึงที่สุด เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

“จวินอู๋เสีย เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” ไป๋อวิ๋นเซียนตะคอกใส่นางอย่างเดือดดาล นางเคยเห็นคนเย่อหยิ่งเอาแต่ใจมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครที่กล้าสั่งให้ผู้อื่นคุกเข่าต่อหน้าตัวเองอย่างนางมาก่อนเลย

จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยอมรับคำด่าของไป๋อวิ๋นเซียนว่าเป็นคำชมประเภทหนึ่ง

ไป๋อวิ๋นเซียนนั่งลง ตรวจชีพจรของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยทันทีด้วยความเป็นห่วง นางพบว่าเส้นเอ็นและเส้นเลือดของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยถูกบางสิ่งปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์ จึงทำให้เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่ขาแม้แต่น้อย

จวินอู๋เสียทำได้อย่างไรกัน

หรือว่าจะเป็นเพราะลำแสงสีแดงสองเส้นนั่น!

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวดของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย พระหฤทัยของฮ่องเต้ก็เจ็บร้าวไปหมด ทรงทอดพระเนตรไปที่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงอย่างขอความช่วยเหลือ แม้เขาจะนำกองกำลังทหารบุกเข้ามาในวัง แต่อย่างน้อยๆ การแสดงออกและคำพูดของเขาก็ไม่ได้คุกคาม ยังคงมีความเป็นผู้ใหญ่และคงไว้ซึ่งมารยาทที่สมควรแสดงออกอยู่บ้าง

ส่วนจวินอู๋เสีย ช่างเถอะ เขาไม่นับคนบ้าที่ลงมืออย่างไร้เหตุผลแบบนางว่าเป็นตัวตนที่จะสามารถพูดคุยกันได้อย่างมีเหตุผลอยู่แล้ว

องค์ชายรองผู้สง่างาม กลับต้องมาคุกเข่าต่อหน้านางจริงๆ!

ฮ่องเต้จับบัลลังก์ไว้แน่นด้วยโทสะ แต่เพื่อไม่ให้ความโกรธเกรี้ยวในพระหฤทัยของพระองค์ระเบิดออกมา จึงได้เพียงแต่กัดพระกรรนแน่น

“เซวี่ยนเฝ่ยก็เป็นเช่นนี้พูดจาไม่ค่อยเก่ง อู๋เสียอย่าได้ถือสาเขามากนักเลย” พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดกว่าจะคายประโยคนี้ออกมาปากของพระองค์ได้

อย่าถือสาคนบ้า!

อย่าได้ไปยั่วยุนางในตอนนี้!

รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เสียสว่างไสวมากขึ้นไปอีก

“ข้าปิดผนึกเส้นเลือดที่ขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แล้ว หากภายในหนึ่งชั่วยามยังไม่สามารถแก้ไขจุดที่ถูกเข็มฝังลงไปได้ เขาก็จะกลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์ และต้องนั่งอยู่บนรถเข็นไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา”

ท่านอาเล็กของนาง ต้องอดทนกับคำเย้ยถากถางมานานกว่าสิบปี ต้องสูญเสียอิสรภาพและโอกาส นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนรถเข็นให้ผู้อื่นหยิบยกเรื่องของตนไปพูดเล่น ราชวงศ์กลับทำได้ดี ทั้งที่การที่ท่านอาเล็กของนางต้องมีสภาพเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะเขาทำเพื่อรัฐชี เพื่อความจงรักภักดีนั่น ราชวงศ์ทำอะไร ส่งโสมและเห็ดหลินจือมาที่จวนไม่ขาดสาย แต่กลับไม่เคยออกหน้าปกป้องเกียรติยศของท่านอาเล็กของนางเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามกลับแอบกระจายข่าวเสียหาย ทำให้ผู้อื่นพากันชี้นิ้วด่าท่านอาเล็กของนางอย่างลับๆ

ในเมื่อราชวงศ์ไม่เห็นน้ำใจของจวนสกุลจวินของพวกนางอยู่ในสายตา ไม่เห็นค่าถึงความจงรักภักดีตลอดหลายสิบปีที่คนสกุลจวินมอบให้ เอาแต่เพิกเฉยทำเป็นหูทวนลมเมื่อสกุลจวินของพวกนางประสบกับวิกฤต

เช่นนั้นวันนี้นางก็จะทำแบบเดียวกันบ้าง ทำให้องค์ชายรองที่ฮ่องเต้ทรงรักและโปรดปรานมากที่สุด พระโอรสที่พระองค์ภาคภูมิใจมากที่สุดได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวดนั้นดูบ้าง

“อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ คงไม่คณามือศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอย่างคุณหนูไป๋กระมัง” จวินอู๋เสียมองไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนด้วยรอยยิ้ม

ยิ่งพวกเขาใส่ใจรักใคร่กันมากเท่าไหร่ ยามที่นางไร้กำลังจะช่วยเหลือและได้แต่มองดูคนรักกลายเป็นคนพิการ ก็จะยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาแหลกสลายมากขึ้นเท่านั้น!