ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 214 ทะลวงระดับ (2)

หมอกสีดำเข้มค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างของจวินอู๋เสียและจางหายไปอย่างช้าๆ เมื่อหมอกสีดำจางหายไปแล้ว รัศมีสีแดงจางๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนร่างกายของจวินอู๋เสีย แสงนั้นที่ส่องประกายออกมาจากร่างของนางผ่านผิวกายที่ขาวผ่อง ทำให้สามารถมองเห็นเส้นเลือดแดงภายใต้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน

“พลังวิญญาณในร่างกายของเจ้าขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่การบ่มเพาะภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นต่างจากภูติวิญญาณประเภทอื่นๆ หากเจ้าต้องการทะลวงระดับ นอกเหนือจากพลังวิญญาณ ยังจำเป็นต้องใช้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่พลังวิญญาณเข้าช่วยด้วย” จวินอู๋เย่าหรี่ตาลง

"มันคือสิ่งใด" จวินอู๋เสียถามด้วยความสงสัย

“วงแหวนภูติวิญญาณ”

“...”

“พลังวิญญาณของภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นไม่มีขีดจำกัดในการเติบโต หรือก็คือมันเปรียบเสมือนพืชที่จะเติบโตไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่กลับขาดซึ่งแรงกดดันที่จะทำให้เจ้าฝ่าไปสู่ขั้นต่อไปได้ หากเจ้าต้องการเลื่อนระดับพลัง ก็มีแต่ต้องกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น และใช้พลังของวงแหวนภูติวิญญาณตนนั้นเพื่อช่วยให้เจ้าเลื่อนระดับพลังขึ้นไป” จวินอู๋เย่ากล่าว

จวินอู๋เสียผงะไปครู่หนึ่ง “ข้าน่ะหรือ…กลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น”

เรื่องแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่เคยมีภูติวิญญาณประเภทพฤกษาปรากฏตัวออกมาเลยแม้แต่ตนเดียว”

“เพราะเหตุใดกัน” จวินอู๋เสียสงสัยมาก นับตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางไม่เคยได้ยินเรื่องภูติวิญญาณประเภทพฤกษามาตนที่สองก่อนเลย

อย่างน้อยจากความทรงจำที่ผ่านมาของร่างนี้ โลกนี้มีภูติวิญญาณที่ผูกพันธสัญญาเพียงสองประเภทเท่านั้นนั่นคือภูติวิญญาณประเภทอาวุธกับภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้าย เจ้าดอกบัวขาวน้อยเป็นภูติวิญญาณประเภทพฤกษาเพียงตนเดียวที่นางรู้จัก

จวินอู๋เย่ายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ก่อนที่ภูติวิญญาณกับมนุษย์จะผูกพันธสัญญาเชื่อมต่อกันนั้น พวกมันจะเลือกคนที่มีจิตวิญญาณและร่างกายที่เหมาะสมก่อน ในโลกนี้มีคนที่สามารถดูดซับพลังของวงแหวนภูติวิญญาณได้ไม่มากนักหรอกนะ ดังนั้นภูติวิญญาณจำพวกพฤกษาจึงไม่เคยลงมาที่โลกเลย นานทีจะมีโผล่มาให้เห็นสักครั้ง แต่ก็เพราะมนุษย์ผู้ที่ผูกสัญญาด้วยบ่มเพาะไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นกลายเป็นภูติวิญญาณที่ไร้ประโยชน์ไป มีหลายคนไม่ตัวรู้ด้วยซ้ำว่าภูติวิญญาณของพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้ว หอบหิ้วเอาภูติวิญญาณประเภทพฤกษาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาไร้ค่าไปตลอดทั้งชีวิต”

มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด นั่นคือ…

คำว่า 'โลก' ที่เปล่งออกมาจากปากเขานั้น เป็นเพียงสามโลกชั้นล่างเล็กๆ ที่จวินอู๋เสียอาศัยอยู่ตอนนี้เท่านั้น หาใช่โลกที่แท้จริงไม่

“แต่เจ้านั้นแตกต่างออกไป เจ้ามีกายาทวิวิญญาณ ในเมื่อเจ้าแมวดำตัวน้อยของเจ้าสามารถกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่นได้ เจ้าเองก็สามารถทำมันได้เหมือนกัน” จวินอู๋เย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสีย เมื่อคำพูดสุดท้ายของเขาจบลง เขาก็งอนิ้วชี้เคาะไปที่หน้าผากของจวินอู๋เสียเบาๆ

“หากเจ้าอยากจะทะลวงระดับ เช่นนั้นก็จงกลืนกินภูติวิญญาณเสีย”

จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มงามล่มเมืองของจวินอู๋เย่า

เขารู้…ว่านางกับเจ้าแมวดำตัวน้อยใช้วิญญาณดวงเดียวกัน!

"ยิ่งเจ้ากลืนกินภูติวิญญาณที่มีจิตสำนึกแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งมีโอกาสทะลวงขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้มากเท่านั้น อย่าได้ละทิ้งโอกาสนี้ไป ข้ามั่นใจเลยว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงกับเจ้าได้อย่างแน่นอน” จวินอู๋เย่าก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือของเขาแตะไปที่หว่างคิ้วแล้วค่อยๆ ลูบไล้ไปตามสันจมูกลงมาถึงคางเรียวบางของเด็กสาว ก่อนจะเชยหน้านางขึ้น สบตากับนางแล้วพูดว่า “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ในฐานะพี่ชายของเจ้า ข้าจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้าเอง รวมไปถึงภูติวิญญาณตนแรกที่ใช้สำหรับทะลวงขั้นด้วย เจ้าแค่ดูดซับแล้วทำตามที่พี่ชายคนนี้บอกก็พอแล้ว”

กับมนุษย์ผู้ซึ่งทำพันธสัญญากับภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ภูติวิญญาณตนแรกที่ใช้ดูดซับเพื่อเลื่อนระดับพลังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งและจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้เป็นเจ้านายอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องเลือกเฟ้นอย่างพิถีพิถันสักหน่อย จวินอู๋เย่าไม่อยากให้นางกลืนกินภูติวิญญาณที่ไร้ค่า

เสี่ยวเสียเอ๋อร์ของเขาต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด!

“ข้าจะกลืนกินมันได้อย่างไร” จวินอู๋เสียไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ครั้งก่อนก็เป็นเจ้าแมวดำตัวน้อยที่เป็นฝ่ายกลืนกินราชสีห์ทองคำยักษ์นั้นลงไป ไม่ใช่นาง เกี่ยวกับเรื่องการกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น คนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนางที่ต้องมาลงมือทำด้วยตัวเอง

“ข้าจะสอนเจ้าเอง” จวินอู๋เย่ายกมุมปากขึ้นพร้อมกับพูดออกไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาเข้มขึ้นเมื่อมองเห็นการแสดงออกที่ยุ่งเหยิงบนใบหน้าของเด็กน้อยของเขา