ลมเหนือจาดดินแดนไกล

เสียงระฆังวัดดังสะท้อนกังวานทั่วลานหิน ลมหอบกลิ่นธูปจาง ๆ เคล้าเสียงเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ทาบทอแสงทองแห่งอรุณแรกผ่านหลังคากระเบื้องเครือเถาในวัดหลวงใจกลางกรุงศรีอยุธยา

ใต้ชายคาศาลาหลวง หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งสงบสง่างามอยู่หน้าพระพุทธรูปศิลาทองคำ นางสวมผ้าไหมไทยสีอ่อนลายละเอียด ผ้าซิ่นทอด้วยดิ้นทองวาบวับยามต้องแสง เส้นผมดำสนิทถักเป็นเปียมวยต่ำประดับด้วยดอกปีบขาว

“ขอให้การเดินทางครั้งนี้ เป็นไปอย่างราบรื่น และขอให้ข้าทำหน้าที่แทนแผ่นดินได้อย่างสมเกียรติ…” นางพึมพำเบา ๆ ขณะพนมมือแนบหน้าผาก ใบหน้าเปื้อนรอยสงบแต่ดวงตากลับซ่อนบางสิ่งไว้

นางคือ ดวงแก้ว ธิดาของ “หลวงพิทักษ์ไชยบดี” ขุนนางใหญ่ผู้ดูแลการค้าระหว่างสยามและบูรพาทิศ แต่แท้จริงแล้ว นางมิได้เป็นเพียงธิดาธรรมดา หากแต่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์พระมหากษัตริย์ ให้เป็น “ราชทูตลับ” เดินทางไปยังราชสำนักถังแห่งแผ่นดินจีน

ในยามที่ความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินใหญ่กับแดนใต้ต้องการเสริมสร้างอย่างรอบคอบ ทางราชสำนักจึงเลือกผู้แทนที่ไม่ใช่ชาย… แต่เป็นหญิงผู้มีปัญญาเฉียบแหลม รู้ภาษาและจารีตจีนอย่างถ่องแท้

ในความอ่อนหวานของดวงแก้ว แท้จริงแฝงไว้ด้วยความเงียบลึกล้ำและความลับดำมืดบางอย่างที่แม้แต่บิดามารดาก็มิอาจเอ่ยถึงได้

“ลูกพ่อ… เมื่อเจ้าไปถึงเมืองถัง จงอย่าลืมสิ่งที่พ่อเคยบอก”

เสียงของหลวงพิทักษ์เอ่ยเคร่งขรึม ดวงตาของผู้เป็นบิดามีทั้งความห่วงใยและภาคภูมิใจ ขณะประคองมือนางแนบมือของตน

“อย่าทำเกินหน้าผู้ใด… แต่อย่าถ่อมตนจนถูกมองข้าม”

“อย่าเผยไพ่ในมือ… จนกว่าจะถึงเวลา”

ดวงแก้วพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ… ข้าจะไม่ทำให้แผ่นดินสยามต้องมัวหมอง”

แม่ของนาง ซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างหลัง เอื้อมมือโอบไหล่ลูกสาวแผ่วเบา ใบหน้าที่ยิ้มงามอย่างสตรีชาววังกลับมีแวววิตกซ่อนอยู่ลึก ๆ

“จงใช้พรที่เจ้ามี… อย่างมีสติ”

แม่นางหมายถึงสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ ดวงแก้วเกิดในคืนจันทร์แดงตามคำบอกเล่าของพราหมณ์เฒ่าในราชสำนัก และมีดวงจิตพิเศษที่แม้แต่ผู้นำจิตวิญญาณแห่งวัดหลวงยังนิ่งเงียบเมื่อพบเจอ

ลูกแก้วจันทราที่ห้อยคอเธอนั้นไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ หากแต่เป็นสิ่งที่ส่งผ่านจากมารดา สืบทอดจากบรรพชนที่มีสายเลือดผู้พิทักษ์ “ขอบแดนแห่งมิติ”

---

สองวันให้หลัง เรือสำเภาหลวงตั้งลำเหนือสายน้ำเจ้าพระยา ธงราชวงศ์โบกสะบัดรับลมแรง ผู้คนมากมายมายืนส่ง ณ ท่าเจ้าสัว

ดวงแก้วยืนนิ่ง มองข้ามแผ่นน้ำออกไป ใบหน้าไร้ความหวั่นไหวในยามจากลา สายตาของนางทอดไปยังทิศเหนือ—ที่ซึ่งดินแดนลึกลับรอคอย

เรือเคลื่อนตัวช้า ๆ เสียงระฆังจากวัดไกลลับหลัง ทิ้งเพียงเสียงสายลมและเกลียวคลื่น ดวงแก้วหลับตาแนบมือกับลูกแก้วที่ห้อยคอ สัมผัสพลังที่สั่นสะเทือนเล็กน้อยจากบางสิ่ง…ที่กำลังเคลื่อนไหวในแดนไกล

---

หลายสัปดาห์ต่อมา เรือสำเภาหลวงก็เทียบท่าที่เมืองฉางอัน เมืองหลวงแห่งราชวงศ์ถัง

ท้องถนนเต็มไปด้วยขบวนรถม้า พ่อค้า แม่ค้า และเสียงอึงอลของผู้คนจากหลายเชื้อชาติ ดวงแก้วในชุดผ้าไหมไทยสีเงินงาช้าง เดินลงจากเรือด้วยท่วงท่าราบเรียบ นิ่งงามสะกดสายตาผู้คน

เสียงกระซิบดังจากฝั่งขุนนางที่มารอรับ

“ราชทูตผู้นี้หรือ…เป็นหญิง?”

“งามนัก… แต่นัยน์ตานางล้ำลึกเกินหญิงทั่วไป”

ภายในฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาดำสนิทคมเฉียบราวเหยี่ยว เห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

เขาคือ “เว่ยหลง” บุตรชายของแม่ทัพเว่ย ซือหมิง

เขามองหญิงสาวจากแดนใต้ด้วยสายตาลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใด

“ดวงแก้ว…” เขาพึมพำชื่อที่ได้ยินจากราชเลขา

“หญิงผู้นี้…มีบางสิ่งที่ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”