แสงจันทร์สาดส่องผ่านม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาเมฆคราม ดวงแก้วนั่งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ปล่อยให้สายลมเย็นกระทบแก้ม ความเงียบสงบนี้…หลอกลวงยิ่งนัก
เว่ยหลงเดินมาหยุดข้าง ๆ
"เจ้าดูเหนื่อย" เขาเอ่ยเสียงต่ำ
ดวงแก้วพยักหน้าเบา ๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
"เจ้าฝันอีกหรือ?"
"ไม่ใช่ฝัน...มันคือเสียงกระซิบ" นางตอบเบา ๆ
"ตั้งแต่เราทำลายศิลาเงาชิ้นที่สอง ข้าเริ่มได้ยินเสียงหนึ่ง มันไม่ใช่ของเงา...แต่เป็นของใครบางคนที่ถูกผนึกไว้ในนั้น"
เว่ยหลงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า "เขาพูดว่าอะไร?"
ดวงแก้วหลุบตาต่ำ เสียงของนางราวสายลมแผ่ว
"เขารู้จักชื่อข้า...และรู้ความลับที่แม้แต่ข้าเองก็ลืมไปแล้ว"
---
คืนต่อมา ทัพของพวกเขาเคลื่อนย้ายออกจากภูเขามุ่งสู่เมืองร้างชื่อ “เซียนซาน”
เมืองนี้ถูกบันทึกว่าเคยเป็นที่ตั้งของ “สำนักแสงจันทร์เร้น” — สำนักของเหล่าผู้พิทักษ์พลังผนึกในยุคโบราณ
แต่เมื่อไปถึง พวกเขาพบเพียงเมืองเงียบงัน ไร้ผู้คน และอากาศหนาวเย็นราวปลายฤดูหนาวทั้งที่ยังเป็นฤดูร้อน
หลิงซินยืนนิ่งกลางถนนหลัก นัยน์ตาหรี่ลง
“ข้าสัมผัสได้…ศิลาเงาชิ้นที่สามอยู่ที่นี่ ใต้พื้นเมืองนี้เอง”
---
ขณะสำรวจภายในหอสมุดโบราณกลางเมือง
ดวงแก้วพบตำราขาด ๆ เล่มหนึ่ง เขียนด้วยอักษรสยามโบราณที่ไม่มีผู้ใดอ่านออก
แต่นางกลับเข้าใจมันได้ชัดเจน
> “หากเจ้าถือแสงจันทร์อยู่ในใจ จงอย่าหวั่นเงามืด
เพราะบางครั้ง…มันไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นตัวเราอีกด้านหนึ่ง”
นางวางตำราลง และหันไปพูดกับเว่ยหลง
“ศิลาเงาชิ้นที่สาม จะไม่แตกด้วยพลัง
มันจะยอมสลาย…ต่อเมื่อเรา ‘ยอมรับ’ ความกลัวที่อยู่ลึกที่สุดของตน”
---
ณ ใต้หอสมุดที่ทรุดโทรม
พวกเขาค้นพบห้องผนึกเก่าแก่ที่ประตูเปิดออกด้วยเลือดของ "ผู้ถือแสง" เท่านั้น
ดวงแก้วจึงใช้มีดบาดนิ้ว แตะโลหะประตู บานประตูจึงแง้มช้า ๆ เสียงลั่นดังก้อง
ในห้องนั้น พวกเขาเห็นศิลาเงาชิ้นที่สาม
แต่คราวนี้ ไม่มีอักขระ ไม่มีพลังไหลวน…มีเพียงเงาตนหนึ่งยืนเงียบอยู่
"เจ้า...คือข้า" ดวงแก้วเอ่ยขึ้นก่อนใคร
เงาตัวนั้นพยักหน้า "ใช่ และข้ารู้ว่าก่อนจะมาเป็นดวงแก้วแห่งสยาม…เจ้าเคยเป็นอะไรมาก่อน"
เว่ยหลงมองดวงแก้วด้วยความสงสัย
แต่เงาเอ่ยต่อ
"เจ้า…เคยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของสำนักแสงจันทร์เร้นนี้
เจ้าถูกส่งไปยังสยามพร้อมผนึกความจำ
เพื่อหลบภัยจากเงาแท้ที่กำลังตื่นขึ้น"
ดวงแก้วหลับตา — ภาพความทรงจำแล่นย้อนกลับมา
ภาพของนางในชุดสีขาวจันทรา ฝึกเพลงผนึกใต้แสงเดือน
เสียงของอาจารย์ผู้ล่วงลับที่กล่าวว่า
> “เจ้าคือลูกจันทรา…และหากเงากลับมา เจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัดได้”
---
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้ม
ดวงแก้วก้าวไปหาเงาของตนเอง ก่อนกล่าว
"ข้ายอมรับเจ้า…เพราะเจ้าเป็นข้า และข้าไม่อาจเป็นแสงได้…หากไร้เงา"
ศิลาเงาชิ้นที่สามเปล่งแสงจาง ๆ
และแตกเป็นผงสีเงินจาง…ปล่อยเสียงกระซิบสุดท้ายดังขึ้น
> “อีกสี่ชิ้น…สี่เงาสุดท้าย
เมื่อมันรวมกัน ความมืดจะสมบูรณ์ หรือ…ถูกกลืนด้วยแสง”
---
เมื่อทั้งหมดกลับขึ้นมายังผิวน้ำ
เว่ยหลงเดินเคียงข้างนางอย่างเงียบงัน
"เจ้ารู้ใช่ไหม…ว่าการเดินทางครั้งนี้กำลังนำเจ้ากลับไปยังจุดเริ่มต้น"
ดวงแก้วตอบเสียงเบา
"ข้ารู้…และข้าพร้อมจะจบมัน ไม่ใช่เพื่อผนึกเงาอีกครั้ง
แต่เพื่อทำให้แสงและเงา…อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่มีการสังเวย"