สายลมหนาวจากทิศเหนือพัดโหมผ่านแนวป่าไผ่เบื้องหลัง "สำนักหั่วอวิ๋น" พาเอากลิ่นอายชื้นเย็นของฤดูปลายเหมันต์มาปะทะกาย เสียงเสียดสีของใบไผ่ราวกับบทเพลงคร่ำครวญจากอดีต เสียงนั้นเบาและแผ่ว ทว่าแฝงไว้ด้วยความเงียบงันที่เจือไปด้วยความโหยหาเหมือนเสียงสะอื้นของผู้ที่ถูกลืมเลือน แสงอาทิตย์อ่อนแรงของยามบ่ายส่องทะลุหมอกจางๆ ลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไผ่บางเบา ทอดเงายาวลงบนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง ทุกย่างก้าวในบริเวณนี้ดูเหมือนจะจมอยู่ในความทรงจำเก่าแก่ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงลมหายใจแห่งความโดดเดี่ยวที่อบอวลรอบตัว
กลางบรรยากาศอันสงบนิ่งนั้น เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบงัน “หลินเฉิน” เด็กหนุ่มในวัยสิบหกปี รูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำแดดดวงตาสีดำหม่นหมองเต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้าและอดทน เสื้อผ้าที่สวมอยู่เป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายหยาบขาดวิ่น เสริมด้วยเศษผ้าปะติดปะต่อกันอย่างลวกๆ กลิ่นฝุ่นและคราบเหงื่อสะสมอยู่ตามลำคอและแขนเสื้อ เขายืนหันหลังให้แนวป่า ก้มมองพื้นดินเบื้องหน้า หากใครมองเขาเพียงผิวเผิน อาจเห็นเป็นแค่บ่าวรับใช้ต่ำต้อยในสำนักหั่วอวิ๋น
ทว่า...ไม่มีใครรู้ว่าในอกของเขานั้นกำลังคลุ้มคลั่งด้วยไฟแค้นที่มิอาจมอดดับ หลินเฉินเคยเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลหลิน หนึ่งในตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลินซาน ตระกูลที่โดดเด่นในสายโอสถและสมุนไพร และมีรากฐานอันมั่นคงสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เขาได้รับการฝึกฝนในศาสตร์ยุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนสามารถทะลวงถึงระดับ “หลอมกายาขั้นที่สาม” ได้เมื่ออายุเพียงสิบสี่ปี ซึ่งถือว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากในเมืองเล็กๆ แต่ความรุ่งเรืองในวันวานกลับแหลกสลายลงในชั่วคืนเดียว
ในคืนนั้น คืนที่ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุด ศัตรูจากเงามืดแห่งยุทธภพผู้ถูกลืมเลือนบุกโจมตีตระกูลหลินอย่างเงียบงัน เงียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีการเตือนภัย ไม่มีแม้แต่เสียงดาบปะทะดาบ ทุกสิ่งจบลงในความเงียบเย็นชืด ผู้คนล้มตายราวใบไม้ร่วง เลือดแดงสดเจิ่งนองพื้นดินที่เคยอบอุ่นด้วยเสียงหัวเราะของครอบครัว
หลินเฉินรอดชีวิตมาได้…เพราะทางลับที่พ่อและแม่ได้สร้างขึ้นตั้งแต่เขายังเล็ก เส้นทางนั้นทอดยาวผ่านห้องเก็บยาใต้ดิน สู่ป่าหลังจวน เส้นทางซึ่งพวกเขาเคยพูดกับเขาว่า “ไว้ใช้ในวันที่มังกรตกสวรรค์” แม้ในยามนั้นเขายังไม่เข้าใจความหมาย ทว่าคืนนั้น พ่อของเขาเพียงกระซิบบอกว่า “วิ่งไป…แล้วอย่าหันกลับมา” นั่นเป็นคำสุดท้าย... หลินเฉินวิ่ง...ทั้งน้ำตา ทั้งเสียงหัวใจที่แทบแหลกสลาย
ความอบอุ่นทั้งหมดในชีวิตเขาสิ้นไปในยามค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์นั้น หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็พลิกผันกลายเป็นเพียงเด็กหนีตายคนหนึ่งในโลกที่เย็นชา ดินแดนที่ไม่มีที่ว่างให้คนอ่อนแอ ไม่มีผู้ใดยื่นมือช่วยเหลือ ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก มีเพียงความหิวโหยและเสียงท้องร้องยามค่ำคืน เขาร่อนเร่ผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า ทำงานแบกหาม รับจ้างตักน้ำ ล้างถังส้วม ขอเศษอาหารจากโรงเตี๊ยมริมถนน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขามาถึงที่นี่… สำนักหั่วอวิ๋น สำนักที่มีประวัติอันยาวนานซึ่งตั้งอยู่ริมผาหุบเขาเหยียนซาน เปี่ยมด้วยข่าวลือว่าซ่อนเร้นความลับโบราณไว้มากมาย สำนักที่เคยเกรียงไกรแต่กลับเงียบงันลงในรุ่นหลัง หลินเฉินไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนัก ไม่แม้แต่ศิษย์สายนอก เขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้ต่ำต้อยภายใต้ชายคาแห่งนี้ โดยอยู่ภายใต้คำสั่งของศิษย์สายนอกนามว่า “ฟู่เจ้อ” ชายหนุ่มผู้หยิ่งยโส ขี้ระแวง และชอบแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น “เจ้าบอกให้ข้าทำความสะอาด แต่ของพวกนี้มันเก่าจะกลายเป็นฟืนได้อยู่แล้ว...” เสียงของหลินเฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะเขาพยายามก้มตัวลากหีบเหล็กเก่าขึ้นจากกองขยะ ฟู่เจ้อสั่งให้เขาทำความสะอาดโรงเก็บของเก่าสถานที่ที่ถูกปล่อยร้างอยู่ด้านหลังสำนัก มีแต่ของชำรุด พัง ใช้การไม่ได้ ฝุ่นหนาและกลิ่นอับจนแทบหายใจไม่ออก
“อย่าบ่นทำหน้าที่ของเจ้าซะ!” ฟู่เจ้อเคยตวาดเช่นนี้ และหลินเฉินจำได้ดี แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ความอัปยศ และความ อยุติธรรม แต่หลินเฉินก็ก้มหน้าทำตามคำสั่ง เพราะรู้ดีว่าในโลกนี้ การอยู่รอดสำคัญกว่าศักดิ์ศรี โดยเฉพาะสำหรับผู้ไร้พลัง ไร้พวกพ้อง ไร้ที่ไปเช่นเขา เขาออกแรงลากหีบขึ้นจากกองขยะ ฝุ่นผงลอยขึ้นคลุ้งจนเขาต้องเบี่ยงหน้ากล้ามแขนที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจังสั่นระริก มือทั้งสองแดงก่ำจากแรงเสียดสี ใบหน้าซีดขาวเปื้อนเหงื่อ หีบโบราณบานพับสนิมขึ้นข้างหนึ่ง
พอเปิดออก นิ้วชี้ขวาของเขาก็ถูกขอบหีบบาด เลือดไหลหยดเป็นทาง ด้วยความประหลาดใจ เขาจึงไม่ได้เช็ดเลือดที่มือของเขา เขาพบว่า… ข้างในหีบมีขลุ่ยหยกเก่าชิ้นหนึ่ง ฝุ่นจับแน่นจนแทบมองไม่เห็นลวดลาย ทว่าเมื่อหลินเฉินยกมันขึ้นแผ่วเบา… เสียงแหลมยาวของลมกระทบช่องขลุ่ยก็แว่วขึ้น เลือดที่หยดตามง้ามนิ้วมือซึมเข้าไปยังด้ามขลุ่ย เสียงที่แปลกประหลาด ราวกับเสียงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตที่ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน
“แอ๊ะ...นี่มันของเล่น... หรือเครื่องดนตรีโบราณกันแน่ เขาพึมพำกับตนเอง ยื่นมือออกไปแตะลำขลุ่ยหยกนั้นอย่างลังเล ปลายนิ้วของเขาสัมผัสลงบนผิวหยกเย็นเฉียบ เสียงเล็ดลอดออกมาจากขลุ่ยหยก มีเพียงเสียงใบไม้แห้งปลิวไสวจากนอกหน้าต่าง เสียงฝุ่นที่ยังคงปลิววนอยู่ในอากาศ และเสียงหัวใจของหลินเฉินที่เต้นรัวราวกลองสงคราม เขามองขลุ่ยหยกในมือราวกับมันคือสัตว์อสูรร้ายแรงชนิดหนึ่ง
ทว่าก็ไม่อาจละสายตาไปได้ มันไม่ได้เพียงเปล่งเสียง หากแต่มีบางสิ่งที่แฝงอยู่ในเสียงนั้นราวกับความทรงจำที่ถูกบันทึกไว้ในเสี้ยวอากาศในอดีตกาล และเลือดของเขา… เหมือนเป็นกุญแจที่ไขเปิดประตูนั้น หลินเฉินกลืนน้ำลายฝืดๆ ในลำคอ มือที่ถือขลุ่ยหยกยังคงสั่นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามนับไม่ถ้วน หัวใจเขาเต็มไปด้วยความสับสนปะปนความหวัง
นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบสองปี ที่ชะตากรรมหันมามองเขาอีกครั้ง “ขลุ่ยอะไร… ทำไมมันถึง พูดได้?” เขาพึมพำอีกครั้งคราวนี้เบากว่าครั้งก่อนเหมือนเกรงว่าการออกเสียงจะปลุกบางสิ่งที่ไม่ควรตื่นขึ้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกขลุ่ยขึ้นช้าๆ แล้วแนบหูลงใกล้กับช่องลม ไม่มีเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีแม้แต่ไอพลังใดๆ ที่หลุดรอดออกมา… จนกระทั่ง “…เปลือก หลิงจือสามส่วน… เห็ดหิมะหยกหนึ่งส่วน…ผงหินเย็นหนึ่งหยิบมือ… ผสมน้ำลำธารจากยอดเขาหวังซาน ยามพระจันทร์เต็มดวง…” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม ราวกับคำร่ายที่บรรจุไว้ด้วยความรู้โบราณ
หลินเฉินขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้จักส่วนประกอบบางอย่างด้วยซ้ำ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับชัดเจนในหัวเขา เหมือนเสียงไม่ได้ผ่านหู ทว่าแทรกเข้ามาในใจโดยตรง “นี่… ไม่ใช่แค่ขลุ่ยธรรมดา” เขาเริ่มตระหนัก แล้วขณะนั้นเอง เสียงอีกเสียงหนึ่งก็แว่วมาในใจเขา ราวกระซิบของผู้เฒ่าจากห้วงอดีตกาล “เจ้าผู้ครอบครองสายเลือดหลินบรรพกาล…หากเจ้ายังไม่ตาย ศาสตร์โอสถจะไม่สูญสิ้น…”
หลินเฉินชะงักค้าง ใจสั่นไหวอย่างรุนแรงเสียงนั้นไม่ใช่เสียงจากขลุ่ย… มันเหมือนเสียงของ “ท่านปู่” ชายชราผู้ล่วงลับไปในคืนนรกแตกคืนนั้น เสียงที่เขาจำได้แม่นยำยิ่งกว่าชีวิตตนเอง น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงจากหางตากระทบผิวขลุ่ยอย่างแผ่วเบา หีบสนิม หีบฝุ่นข้างหลังเขาคือหลุมศพของอดีต ขลุ่ยหยกคือสายใยสุดท้ายที่เชื่อมเขากับสิ่งที่สูญหาย และเสียงเหล่านั้น คือคำสอน… หรือบางทีอาจเป็นโอกาสครั้งใหม่ แม้จะเป็นการหวนคำนึงของหลินเฉินที่ไม่เป็นความจริง แต่ความอัดอั้นภายในใจ ก็ทำให้เขาคิดได้ไปต่างๆ นาๆ และเขาก็กล่าวภายในใจว่า “ข้า… หลินเฉิน จะไม่ยอมถูกเหยียบย่ำอีกต่อไป…”
ดวงตาเขาหม่นหมองเริ่มเปล่งประกายเรืองรองเล็กน้อย ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนกลางพายุ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตจากเถ้าถ่านในอดีต เริ่มต้นก้าวแรก… สู่หนทางที่เต็มไปด้วยเลือด ทิพย์โอสถ และความลับที่โลกไม่รู้จัก