เสียงลึกลับที่ดังก้องจากภายในขลุ่ยหยกสลักลายโบราณ ยังคงหลอกหลอนอยู่ในห้วงสติของหลินเฉิน ไม่ใช่แค่เสียงธรรมดาที่ผ่านเข้าหูและจางหายไป หากแต่มันดั่งสายธารแห่งพลังลี้ลับที่ไหลเวียนเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจเขา แม้เวลาจะผ่านไปเพียงชั่วครู่สั้น ๆ แต่ในความรู้สึกของหลินเฉิน มันกลับคล้ายกับช่วงเวลานั้นถูกยืดขยายให้ยาวนาน ราวกับเสียงนั้นหยั่งรากลงในจิตวิญญาณของเขาอย่างไม่มีวันถอนออก เสียงนั้น... เต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล มีทั้งความกล้าอันเร่าร้อนและความลึกลับที่หาคำอธิบายไม่ได้ เปรียบดั่งเสียงสะท้อนจากจิตของยอดยุทธ์ผู้ผ่านศึกสงครามมานับพัน
รอยแผลและหยาดเลือดยังฝังแน่นในความทรงจำของมัน เสียงของผู้ที่จ้องจะเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบด้วยเพลิงแค้นที่ไม่มีวันมอดดับ เปลวไฟนั้นสว่างไสวท่ามกลางความมืด ราวกับจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้เพื่อเปิดทางสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้คนธรรมดาจะเข้าใจ “เจ้าจะให้ข้าทำอะไร...?” หลินเฉินถามออกไปในที่สุด เสียงของเขาแหบพร่าราวคนหมดแรง หัวใจเต้นระรัวด้วยทั้งความตื่นเต้นและความหวาดหวั่นปะปนกัน รู้ดีว่าตนเองไม่ได้เผชิญกับสิ่งธรรมดา ไม่ใช่วัตถุธรรมดา และไม่ใช่โชคชะตาธรรมดา ดวงตาของเขาจับจ้องขลุ่ยหยกในมือแน่น มือที่สั่นเล็กน้อยด้วยแรงอารมณ์ ราวกับเกรงว่าหากเผลอกะพริบตาเพียงครั้งเดียว ขลุ่ยนี้อาจจะเลือนหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง เงียบ... วินาทีนั้นช่างยาวนานเกินทน ราวกับแม้แต่สายลมก็หยุดพัด โลกทั้งใบหยุดหมุน ท้องฟ้าหยุดหายใจ และแม้แต่เสียงชีพจรก็คล้ายจะหลบซ่อนอยู่ภายในความนิ่งสงัดนั้น
จากนั้นน้ำเสียงแปลกประหลาดจึงดังขึ้นอีกครั้ง มันไม่ใช่แค่คำพูด หากแต่เป็นพลังที่สะท้อนเข้าไปในจิตใจจนสะเทือนถึงแก่น “เรียนรู้... สืบทอดและก้าวข้ามขีดจำกัดของโอสถทุกชนิดในใต้หล้า” คำพูดนั้นกึกก้องกังวานออกมาจากขลุ่ย ราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ผู้ใด หากแต่เป็นถ้อยคำของวิญญาณโบราณที่ยิ่งใหญ่ เสียงนั้นแผ่คลื่นพลังบางอย่างออกมา ทำให้บรรยากาศรอบตัวหลินเฉินเปลี่ยนไปทันตา ไม่ว่าจะเป็นไอเย็นที่แผ่คลุม อากาศที่แน่นข้น หรือแม้แต่เงาในแววตาของเขาที่พลันส่องประกายบางอย่างราวกับได้มองเห็นเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดเคยเหยียบย่างมาก่อน
ขณะเดียวกัน เสียงของเปลวไฟในเตาหลอมเล็กๆ ที่อยู่ข้างเขาก็ดูเหมือนจะสั่นไหวไปตามคำพูดนั้น “เจ้า... คิดว่าข้าเป็นแค่ผู้ปรุงยาเพียงเท่านั้นใช่หรือไม่?” เสียงนั้นเพิ่มความลึกลับ หนักแน่น ดุจแผ่นดินสั่นไหว หลินเฉินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ขลุ่ยหยกอีกเล็กน้อย หัวใจเต้นถี่ ไม่ใช่ด้วยความกลัวเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยแรงปรารถนาที่เริ่มจะจุดติดภายใน
“ข้าเคยเป็นราชาแห่งผู้ปรุงยา ผู้ที่ไม่มีใครทัดทาน... วิทยายุทธของข้าไร้คู่ต่อสู้... แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด” น้ำเสียงที่เริ่มก้องกังวานแปรเปลี่ยนเป็นเงียบลึก เหมือนคลื่นลมในคืนพายุใหญ่ คล้ายกับอดีตของเจ้าของเสียงยังคงทิ้งร่องรอยเจ็บลึกไว้ในห้วงสำนึกนั้น “ข้าไม่เพียงเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถ... แต่ข้ายังเป็นผู้รู้ลึกรู้จริงในศาสตร์แห่งค่ายกล และการสร้างอาวุธ ผู้ที่สามารถสร้างอาวุธอันไร้เทียมทานจากเพียงวัสดุธรรมดา... ข้าเคยหลอมดาบที่สามารถตัดผ่านภูเขา และสร้างค่ายกลที่สามารถขังเทพสวรรค์ไว้ในโลกมนุษย์ นอกจากนี้ศาสตร์แห่งการเขียนยันต์ ฝึกสัตว์อสูร เมื่อยามเวลาข้าว่าง ข้าก็ศึกษามาจนช่ำชอง ถ้าจัดให้ข้าเป็นที่ 2 ก็ไม่มีใครกล้าเป็น ที่ 1 ...” คำพูดนั้นดังกระทบใจหลินเฉินเหมือนค้อนทุบเหล็ก
เขาไม่รู้ว่าคนในขลุ่ยหยกเป็นใครกันแน่ แต่จากเนื้อหาของคำพูด และแรงกดดันที่แผ่ออกมา เขารู้แน่ชัดว่า... คนผู้นี้คือยอดฝีมือที่แท้จริง เป็นตำนานที่โลกหลงลืม หลินเฉินทบทวนความคิด “พลังยุทธ์ ศาสตร์แห่งการปรุงโอสถ สร้างอาวุธ สร้างค่ายกล การฝึกสัตว์อสูร การเขียนยันต์ นั้น หาผู้ใดสามารถรอบรู้เก่งกาจได้ทุกด้านเช่นนี้ “และตำราของเขา... ไม่ใช่เพียงแค่ตำราปรุงยา หากแต่เป็น ‘ตำราลิขิตทะลายฟ้าทะลายดิน’ ที่ผสานทั้งศาสตร์ยุทธ์และโอสถและศาสตร์ทุกๆ ด้านเข้าด้วยกัน" ... เจ้าของเสียงย้ำดังๆ ว่า “หากเจ้าผ่านการทดสอบของข้าได้ ตำรานั้นจะตกเป็นของเจ้า” เจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการสร้างอาวุธที่ไม่มีใครสามารถต่อต้าน และค่ายกลที่จะปกป้องเจ้าจากศัตรูทุกชนิด...”
หลินเฉินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าซีดขาวเริ่มมีสีเลือดกลับคืนมาเล็กน้อย ใจของเขาเต้นแรงยิ่งกว่าที่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ดวงตาที่เคยหม่นหมองเหมือนผู้สิ้นหวัง บัดนี้เริ่มสว่างวาบขึ้นช้าๆ เหมือนแสงแรกของอรุณรุ่งที่สาดส่องลงมาบภูเขาน้ำแข็ง "นี่คือ... โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง..." เขากล่าวในใจ ขณะค่อยๆ ปิดฝากล่องเหล็กที่บรรจุขลุ่ยหยกโบราณลงอย่างระมัดระวัง ราวกับปิดฝาประตู ที่จะนำไปสู่โชคชะตาใหม่ที่เขายังมองไม่เห็นปลายทาง
คืนนั้น เขาลากหีบเหล็กกลับมายังห้องเก็บของร้างหลังสำนักหั่วอวิ๋น ซึ่งเป็นที่พำนักของบ่าวรับใช้ สถานที่เดียวที่ยังพอมีความเป็นส่วนตัวในชีวิตอันไร้ค่าเช่นเขา แม้ฝุ่นจะคลุ้ง กลิ่นอับของเชื้อราและความชื้นจะแทรกซึมทุกอณูของกำแพง แต่หลินเฉินกลับรู้สึกว่านี่คือปราสาทแห่งความหวัง เป็นสนามรบที่เขาจะฝึกฝนจิตใจและกายาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เช้าวันถัดมา แสงอาทิตย์สาดเข้าทางรอยแตกของกระเบื้องหลังคา เสียงนกกระจิบบนคาคบไม้คล้ายจะบรรเลงบทเพลงอันสอดคล้องกับโชคชะตาใหม่ที่เริ่มต้น หลินเฉินยืนอยู่หน้าเตาไฟซึ่งเขาใช้ก้อนหินและเหล็กเก่าตั้งขึ้นมาอย่างเรียบง่าย บนเตามีหม้อเล็กๆ ใบหนึ่ง และถุงผ้าบุบเบี้ยววางอยู่ข้างๆ ข้างในเต็มไปด้วยสมุนไพรซึ่งเขาแอบหยิบยืมจากห้องเก็บยาของสำนักเมื่อคืนอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่เขาจุดไฟ เสียงในขลุ่ยหยกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เสียงของผู้ชี้นำอย่างเมื่อคืน แต่เป็นเสียงของ “ครู” ผู้เคร่งครัดในการสั่งสอน “การทดลองสูตรโอสถเบื้องต้นยาแก้พิษทั่วไป... ใช้รากจื่อซาน ใบชิงเยวี่ย และเปลือกหลิงจือ…” หลินเฉินเริ่มลงมือ มือของเขาสั่นเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ เขาเคยเห็นอาจารย์ใหญ่ปรุงยา เคยอ่านหนังสือ... เคยจับสมุนไพรบางชนิดในตลาด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะปรุงโอสถด้วยมือตนเองและชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน "เสียงจากขลุ่ยหยกอธิบายอย่างช้าๆ ชัดเจน ราวกับตำราที่เปล่งออกมาเป็นคำพูด อุณหภูมิต้องคงที่ ไม่ให้เปลวไฟสั่น… มือต้องมั่นคง อย่าให้อารมณ์สั่นไหวปนเข้าไปในโอสถ…"
“ง่ายจะตายไป...” หลินเฉินคิดในใจ ใบหน้าผ่อนคลาย เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะโยนใบชิงเยวี่ยลงหม้ออย่างสบายๆ ปัง! เสียงระเบิดเล็กๆ ดังขึ้น เปลวไฟลุกวาบ เปลือกหลิงจือไหม้กลายเป็นเถ้าทันที ควันสีดำพุ่งสูงจนเขาแทบสำลัก “แค่กๆๆ!!” หลินเฉินกระโดดถอยหลัง สำลักควันพรืด ใบหน้าซีดเผือดราวกับถูกฟาดด้วยฝ่ามือ “เจ้า... ใจร้อนเกินไป” เสียงในขลุ่ยกลับดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีแววเย้ยหยันปนตำหนิชัดเจน “ศาสตร์แห่งโอสถคือศาสตร์แห่ง ‘ใจ’ มิใช่เพียงการผสมวัตถุ” “ก็ข้าทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างแล้วนี่!”
เขาตอบกลับด้วยความโมโห หัวใจยังเต้นแรงเพราะความล้มเหลวที่กะทันหัน “ไม่ใช่แค่ทำตาม... แต่เจ้าต้อง ‘เข้าใจ’ ทุกย่าง” ความเงียบแผ่ขยายออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เสียงจากขลุ่ยหยกจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงช้าลง หนักแน่นขึ้น “หากเจ้ายังอ่อนหัดเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตำราทะลายฟ้า…แม้แต่ยารักษาบาดแผลพื้นฐานเจ้าก็ปรุงไม่สำเร็จ” หลินเฉินยืนนิ่งอยู่นาน ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยถ้อยคำนั้น เหงื่อไหลซึมจากขมับ หัวใจเขายังเร่าร้อน เขานึกถึงบิดา... นึกถึงสายเลือดของพี่น้องที่ไม่มีแม้แต่โลงศพ... และนั่นยิ่งทำให้เขาอยาก “เก่งขึ้นโดยเร็วที่สุด”
แต่เสียงจากขลุ่ยกลับเตือน “ความเร่งรีบ... นำความตายมาสู่ผู้ปรุงโอสถนับไม่ถ้วน จงนิ่งเสียก่อน แล้วข้าจะเริ่มบทเรียนใหม่ให้เจ้าอีกครั้ง” หลินเฉินหลับตาลง ลมหายใจเริ่มนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนจากเปลวไฟหน้าเตา... และความร้อนในใจที่ค่อยๆ สงบลง มือของเขาค่อยๆ หยิบสมุนไพรชุดใหม่ขึ้นมาทีละชิ้น จัดวางอย่างเป็นระเบียบ “ข้าเข้าใจแล้ว...” เขาพูดเบาๆ “...สู้ใหม่อีกครั้งก็ได้” ครั้งนี้... เขาจะควบคุมเปลวไฟให้สงบ และควบคุมหัวใจตนเองให้มั่นคงไม่แพ้กัน