เส้นทางของผู้หลอมโอสถ

 แสงอรุณยามเช้าทอประกายอ่อนผ่านกลุ่มหมอกจางเหนือทิวเขาเบื้องไกล ก่อนจะค่อยๆ สาดส่องลอดผ่านรอยร้าวของหน้าต่างไม้เก่าที่บิดเบี้ยวตามกาลเวลา แสงนั้นอาบไล้ไปทั่วห้องเล็กซอมซ่อเผยให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ เศษใยแมงมุมเกาะตามมุมเพดานสั่นไหวเบาๆ ตามแรงลมจากภายนอก กลิ่นควันบางเบาที่อบอวลอยู่ในห้องมืดจางลงช้าๆ แต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของการปรุงโอสถที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อค่ำคืนก่อน หลินเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง

 ท่ามกลางแสงแดดที่เพิ่งเริ่มส่องลงกระทบใบหน้าอ่อนวัยของเขา เปลือกตาปิดสนิท สีหน้าสงบนิ่งดั่งสายน้ำในบึงลึก มีเพียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอและแผ่วเบาที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ กลิ่นโอสถที่ยังไม่จางหายไปช่วยปลุกประสาทสัมผัสของเขาให้ตื่นรับกับรุ่งอรุณที่แผ่วเบา แต่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการเริ่มต้น เสียงนกร้องจากต้นสนด้านนอกหน้าต่างแว่วมาเป็นจังหวะ คล้ายบทเพลงธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดบรรเลง ทว่าแฝงด้วยจังหวะเรียบง่ายและบริสุทธิ์

 หลินเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาที่เคยแฝงความเหนื่อยล้าในคืนก่อน บัดนี้กลับเปล่งประกายจางๆ แฝงด้วยแววแห่งความหวังและความมุ่งมั่นลึกซึ้ง สายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่หม้อยาใบเล็กตรงหน้า หม้อดินทรงกลมสีหม่นที่ด้านข้างมีรอยแตกร้าวบางๆ จากการใช้งานซ้ำซ้อน ทว่าภายในกลับยังหลงเหลือหยดโอสถสีเขียวหม่นที่กำลังเย็นตัวลงอย่างช้าๆ กลิ่นสมุนไพรหลากชนิดผสานกันอย่างกลมกล่อม ทั้งขม ทั้งหอม ทั้งคาว ทั้งสดใหม่อัดแน่นอยู่ในอากาศรอบตัว

 สีหน้าของหลินเฉินเคร่งขรึม ดวงตาของเขาเปล่งประกาย จดจ่อดั่งถูกตรึงไว้ด้วยสิ่งล้ำค่า สองมือที่ยังมีร่องรอยของเขม่าควันจากเปลวไฟเมื่อค่ำคืนกระชับเข้าหากันแน่น เขาเฝ้ามองหม้อยาใบนั้นราวกับมันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันแตะต้องได้ง่ายๆ ‘ข้าทำได้แม้ไม่สมบูรณ์ แต่ข้าทำได้แล้วจริงๆ’ เสียงกระซิบในใจดังขึ้นเบาๆ ราวกับเป็นเสียงจากส่วนลึกของจิตวิญญาณคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มแต่เปี่ยมด้วยความถ่อมตน

 ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามเช้า เสียงขลุ่ยหยก โบราณซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของหลินเฉินแว่วมาอย่างลึกลับ เสียงนั้นไม่ดังมากนัก ทว่าชัดเจนดุจสายลมกระซิบเหนือยอดเขา "เจ้ากำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้หลอมโอสถ แม้เพิ่งเริ่มต้น แต่อารมณ์ของเจ้าสงบนิ่งยิ่งกว่าคนฝึกมาเป็นปี" ถ้อยคำนั้นไม่เพียงเป็นคำชม หากแต่เป็นการยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงในตน ความมานะอดทนและสมาธิที่เขาหล่อหลอมตลอดระยะเวลาหลายเดือน บัดนี้เริ่มออกดอกผล ไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จเล็กๆ แต่คือก้าวแรกที่มั่นคงในหนทางแห่งเต๋า

 ลมหายใจของหลินเฉินค่อยๆ ผ่อนออก เขายืดตัวขึ้นช้าๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ ทั้งห้องที่เคยเงียบงันเริ่มอบอุ่นขึ้น คล้ายมีพลังชีวิต ไหลเวียนอยู่ทุกอณูของอากาศ ณ วินาทีนั้นเอง ไม่มีเสียงใด ไม่มีคำใด ไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องเก่าโทรมแห่งนี้ มีเพียงเขา หม้อยาใบเล็ก และหัวใจที่กำลังเต้นแรงด้วยความภาคภูมิอันเงียบงัน

 หลินเฉินประนมหัตถ์คำนับอย่างเงียบงันในใจ ท่ามกลางแสงเช้าอ่อนๆ ที่สาดผ่านม่านเมฆบางบนฟากฟ้า เขายืนนิ่งอยู่กลางห้องไม้เก่าคร่ำคร่า ความเงียบสงัดรอบตัวเสมือนเป็นคำตอบรับต่อคำคำนับนั้น จากนั้นเขาจึงค่อยๆ เคลื่อนกาย ลุกขึ้นอย่างสำรวม ทุกการเคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ก้าวเท้าของเขานำพาร่างซูบผอมไปสู่ประตูไม้ที่ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดเบาๆ

เมื่อเปิดออก เบื้องหน้าคือเนินเขาที่ทอดยาวลงไปสู่เชิงเขาเบื้องล่าง ลำธารสายหนึ่งไหลรินอย่างเงียบงัน สะท้อนประกายแสงแดดระยิบระยับราวผืนแพรเงิน สายลมเช้าแผ่วพัดใบสนให้ลู่ไหว

ก่อเกิดเสียงซู่ซ่าดังคล้ายบทเพลงกล่อมใจ

 ชายหนุ่มเดินลงเนินอย่างระมัดระวัง แสงแดดอุ่นเริ่มไล่หมอกบางที่ปกคลุมพื้นดิน ทุกรอยเท้าของเขาย่ำลงบนดินชื้นเย็นและเปียกอยู่เล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และที่เชิงเขานั้นเองคือสถานที่ที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกบริเวณที่เขาค้นพบพุ่มไม้เล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อคืนก่อน ที่นั่นขึ้นปกคลุมอยู่ริมลำธาร สภาพแวดล้อมชื้นและอากาศบริสุทธิ์ทำให้สมุนไพร หลายชนิดเติบโตได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้ต้องเก็บให้มากกว่าวันก่อน เขานึกในใจ สายตากวาดมองไปยังผืนดินและพุ่มไม้สีเขียวที่อาบไล้ด้วยแสงเช้า เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงการเก็บสมุนไพร แต่เป็นการสั่งสมประสบการณ์ เพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้หลอมโอสถอย่างแท้จริง

 ระหว่างที่เขากำลังก้มสำรวจเถาไม้เล็กๆ ข้างทาง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในห้วงจิต ดั่งสายลมที่พัดผ่านหูอย่างนุ่มนวล ทว่าหนักแน่น "ยาที่ยังไม่สมบูรณ์เมื่อวาน หากเพิ่มรากหยกเขียวลงไปอีกสามส่วน และลดไฟช่วงกลางลงหนึ่งจังหวะ…ผลลัพธ์จะต่างกันอย่างฟ้ากับดิน" หลินเฉินชะงักเพียงครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ สีหน้าเคร่งขรึมในตอนแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางจาง ริมฝีปากที่ไม่สามารถเปล่งเสียงได้สั่นไหวเล็กน้อยด้วยความรู้สึกยินดี แม้เขาจะไร้เสียง แต่จิตใจของเขากลับเปล่งคำขอบคุณชัดเจนในความเงียบ

 เขาเริ่มคุ้นชินกับเสียงของวิญญาณในขลุ่ยหยกที่ปรากฏในใจของเขาโดยไม่รู้ที่มา ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่รู้ถึงแม้อดีตของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน มันมีความรู้ ความเข้าใจ และความเมตตาอย่างประหลาด และยิ่งกว่านั้น มันคือ "โอกาสเดียว" ของเขา ในโลกที่เขาไม่อาจใช้เสียงเรียกขอความช่วยเหลือจากผู้ใด ตลอดทั้งวันนั้น หลินเฉินใช้เวลาอยู่ในป่าด้านหลังหุบเขาอย่างมุ่งมั่น เขาเดินตามร่องน้ำ แทรกตัวผ่านพงหญ้า ช้อนตาดูแดดเพื่อจับเวลาและทิศทาง ขณะเดียวกัน เขาก็คอยสังเกตกลิ่น รส และสัมผัสของสมุนไพรที่เขาเก็บ บ้างกรอบร่วนบ้างเหนียวเหนอะ บ้างมีน้ำสีใสซึมออกมาทันทีที่บีบ

 เขานำใบไม้มาเคี้ยวเพื่อลิ้มรสความเผ็ดขมหยิบรากไม้ ขึ้นดมเพื่อจับกลิ่นฝาดเปรี้ยว แม้แต่เปลือกต้นไม้ที่ดูธรรมดาก็ไม่พ้นการตรวจสอบด้วยปลายนิ้วที่ผ่านการฝึกฝนมานาน ผลึกเล็กๆ บางชนิดต้องคัดด้วยความเร็วและความแม่นยำ เพราะบางครั้งกลิ่นที่ระเหยออกมาเพียงชั่ววูบก็บอกถึงพลังในตัวของมันได้ แสงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนจากเหนือศีรษะไปยังขอบฟ้า กลางวันผ่านไปช้าๆ แต่สำหรับหลินเฉินแล้ว มันรวดเร็วเกินกว่าจะนับ เขาดื่มน้ำจากลำธาร กินเนื้อแห้งที่ห่อไว้ในผ้าขาว แล้วออกเดินทางต่อทันที ไม่มีแม้แต่เวลาจะนั่งพักนานนัก เสียงจากขลุ่ยหยกมักจะอธิบายสรรพคุณของสมุนไพรที่เขาเดินผ่าน และแนะนำให้เก็บสมุนไพรบางชนิดกลับไปเพราะเขาไม่สามารถนำมันกลับมาได้ทั้งหมด

 เมื่อแสงสุดท้ายของวันลาลับ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มเรื่อ หลินเฉินก็ยังไม่หยุด จิตใจของเขายังคงแน่วแน่ เช่นเดียวกับเสียงของขลุ่ยหยกที่คอยชี้แนะเสมอ “การหลอมโอสถมิใช่เพียงการผสมวัตถุดิบ หากแต่คือการเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติแห่งไฟและลม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่สายตาของเขากลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเช้าเสียอีก ในใจของหลินเฉิน เส้นทางของผู้หลอมโอสถได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแท้จริง

 เมื่อพลบค่ำมาเยือน เขากลับมายังเรือนร้างอีกครั้ง พร้อมหม้อยาที่ถูกทำความสะอาด และเตาไฟที่เขาก่อขึ้นใหม่ด้วยมือเปล่า เปลวไฟสีนวลลุกโชนภายใต้หม้อยา ขณะที่เขาเริ่มลงมืออีกครั้ง ช้าๆ นิ่งๆ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนมีจังหวะ ทุกหยดของน้ำมันพืช ทุกเศษของสมุนไพร ถูกใส่ลงอย่างระมัดระวัง เหงื่อเริ่มผุดพรายบนหน้าผาก แต่ดวงตาของหลินเฉินยังแน่วแน่ จนกระทั่ง... ปัง!เสียงแตกเบาๆ ดังจากหม้อยา เศษกระเบื้องกระจายกระแทกพื้น ขณะที่กลิ่นไหม้บางเบาโชยออกมา เขานิ่งไปชั่วครู่ ความผิดหวังแล่นวูบ ในใจ "ใจเจ้าร้อนเกินไป เจ้ากังวลว่าต้องสำเร็จในครั้งเดียวแต่โอสถ คือศิลปะแห่งความสงบนิ่ง"

 หลินเฉินกำหมัดแน่น สูดลมหายใจลึก ดวงตาไร้แววสั่นไหวอีกครั้ง เขาค่อยๆ เก็บกวาดหม้อยาที่แตกแล้วจุดเตาใหม่ คืนนี้ เขาจะลองอีกครั้ง แม้เปลวไฟจะลุกโชน แม้ความผิดพลาดจะยัง

มาเยือน แต่ไฟในดวงตาของเขากลับไม่เคยดับลง เส้นทางของ ผู้หลอมโอสถ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแท้จริง