แสงจันทร์ยามค่ำคืนทอดผ่านม่านเมฆบางๆ คล้ายหลอมรวมผืนฟ้าให้กลายเป็นแผ่นผ้าสีเงินอ่อนส่องประกายบนพื้นดินเงียบสงบแห่งหุบเขาอันห่างไกลจากผู้คน เรือนไม้เก่าเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติยามราตรีดูคล้ายจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ กลมกลืนไปกับเงาไม้ เสียงสายลม และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากพรรณไม้ป่า ภายในเรือนนั้น
ความเงียบงันไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่า หากแต่แฝงไว้ด้วยสมาธิและจิตที่แน่วแน่ของผู้ฝึกปรือวิชา เสียงลมหายใจของหลินเฉินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แผ่วเบาราวกับลมหายใจของป่าเขา ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างแต่กลับสงบนิ่งไร้ความลังเล เหมือนผืนน้ำที่ไร้คลื่นเมื่อสายลมพัดผ่าน ความคิด ความรู้สึกและพลังภายในของเขากำลังรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งรอบตัว เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาไฟเล็กที่ทำขึ้นจากหิน แม้เปลวเพลิงจะลุกไหวเรืองรอง แต่บรรยากาศกลับไม่ร้อนหรือวุ่นวาย หากแฝงไว้ด้วยจังหวะของชีวิต เปลวไฟสว่างเรืองในหม้อยาใบเล็กที่วางอยู่กลางห้อง พลังวิญญาณจางๆ พลิ้วไหวไปตามควันร้อนที่ลอยออกจากปากหม้อ
คล้ายกำลังร่ายรำร่วมกับสายลมยามดึก พื้นไม้ที่เคยฝุ่นจับและเปื้อนรอยกาลเวลา บัดนี้ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย และเช็ดจนสะอาดสะอ้าน ราวกับเป็นห้องบูชายัญของผู้แสวงหาวิถีแห่งโอสถ ข้างกายของหลินเฉินมีผ้าผืนบางปูไว้บนผ้านั้นคือกองสมุนไพรหลากชนิดซึ่งเขาคัดเลือกมาด้วยความพิถีพิถันในช่วงกลางวัน ทุกชิ้นคือผลแห่งความพยายาม ความอดทน และการฝึกฝนไม่รู้จบ รากหยกเขียวซึ่งเก็บจากเชิงเขาตะวันออก ถูกหั่นอย่างประณีตจนชิ้นเท่าๆ กัน ใบม่านเมฆาจากยอดเนินที่ลมแรงแห้งกรอบแต่ยังคงกลิ่นหอมเฉพาะ เปลือกหญ้าสวรรค์ที่ฝาดขมแต่มีพลังเย็นแผ่ซ่าน และผงเกสรเงารัตติกาลที่ต้องบดด้วยความเร็วคงที่จนได้ความละเอียดเสมอกัน
ทั้งหมดนี้คือส่วนประกอบสำคัญที่กำลังจะรวมกันเป็น "โอสถรวบรวมลมปราณ" ตามที่เสียงแห่งขลุ่ยหยกอธิบายและเร่งเร้าให้เขารวบรวมสมุนไพรต่างๆ และอธิบายถึงขั้นตอนเบื้องต้นในการหลอมรวมโอสถ เขาไม่หยิบจับสิ่งใดด้วยความรีบร้อน ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความสำรวมและเคารพราวกับทำพิธีกรรมโบราณ ภายในจิตใจของหลินเฉิน เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นเบาๆ ดั่งกระซิบจากอดีตกาล เสียงนั้น… มาจากขลุ่ยหยกซึ่งวางอยู่ใกล้หน้าต่าง
ขลุ่ยนั้นคือสิ่งที่เขาเก็บได้ในคืนหนึ่งคืนนั้น และตั้งแต่นั้นมามันก็เปล่งเสียงในจิตของเขาเสมอเมื่อเขามีสมาธิแน่วแน่พอ “เตรียมจิตของเจ้าให้มั่นคง… ยามวางสมุนไพรชุดแรก ให้หายใจเข้าช้าๆ แล้วปล่อยออกยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้” หลินเฉินรับฟังอย่างเงียบงัน ไม่แม้แต่จะพยักหน้า แต่ความเข้าใจของเขาแผ่ซ่านออกมาจากความนิ่งเฉย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่ในแววตาสะท้อนแสงเปลวไฟนั้น มีทั้งศรัทธา ความมุ่งมั่น และความคาดหวังที่กำลังรวมตัวกลายเป็นประกายหนึ่งเดียว คืนนี้ เขาไม่ได้แค่ต้มหญ้าหรือเคี่ยวยา แต่กำลังเดินก้าวแรกบนเส้นทางแห่งผู้หลอมโอสถอย่างแท้จริง
จงเริ่มต้นด้วยใจนิ่งดังผิวน้ำ แล้วจงเชื่อในความรู้สึกของตนเอง เสียงของขลุ่ยหยกดังแว่วขึ้นอีกครั้งในห้วงจิตใจของหลินเฉิน คล้ายกระซิบจากอีกภพหนึ่ง ทว่าครั้งนี้หาได้ดุดันหรือเร่งร้อนดั่งเช่นก่อนหน้า หากแต่เปี่ยมล้นด้วยความสงบลึกล้ำ เป็นเสียงของผู้ชี้แนะที่มิได้อยู่เหนือ หากยืนเคียงข้าง ดุจเงาแห่งผู้รู้ซึ่งยอมรับในหนทางที่เขาเลือก ภายใต้แสงจันทร์อ่อนที่สาดส่องลอดผ่านรอยแตกของหลังคาไม้เก่า ภายในเรือนร้างกลับอบอวลด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ หลินเฉินค่อยๆ ประสานฝ่ามือ ประนมหัตถ์คำนับอย่างเงียบงันเบื้องหน้าหม้อยาใบเล็ก ไม่ใช่เพียงคำนับเครื่องมือ หากเป็นการแสดงความเคารพต่อสวรรค์ ต่อธรรมชาติและต่อวิถีแห่งโอสถอันลึกซึ้งที่เขากำลังจะก้าวเข้าสู่
เปลวไฟเริ่มค่อยๆ ลุกขึ้นจากถ่านดำที่ผ่านการอบอย่างประณีต มันมิได้ลุกโชนรุนแรงแต่กลับแผ่ไออุ่นอ่อนๆ ที่แฝงไว้ด้วยพลังรอคอยวันระเบิดออก มันคือเปลวไฟของผู้ฝึกหัด อ่อนโยนแต่มั่นคง ไร้ความลังเล แต่เปี่ยมด้วยความเคารพต่อทุกองค์ประกอบของวิชา หลินเฉินหยิบขวดน้ำแร่เล็กๆ ที่ต้มไว้ล่วงหน้าด้วยหินหยินหยางที่หาได้ยากยิ่ง ก่อนหยดน้ำใสสามหยดลงในหม้อยา หยดแล้วหยดเล่า ทุกหยดแทรกซึมลงไปอย่างสมดุลดุจพลังสองขั้วที่หลอมรวม เสียง “ซู่…” เบาๆ ดังขึ้นยามน้ำกระทบหม้อยา กลิ่นไอเย็นผสมร้อนกระจายตัวออก คล้ายม่านหมอกบางที่ปกคลุมรอบห้อง จากนั้น เขาหยิบซองเล็กๆ.ซึ่งภายในบรรจุผงเปลือกหญ้าสวรรค์บดละเอียด สีของมันออกน้ำตาลทองเปล่งแสงนวล
ทันทีที่หลินเฉินเทผงลงในหม้อ กลิ่นหอมแผ่วเบาก็ลอยฟุ้งขึ้นมาทันใด เป็นกลิ่นที่ยากจะอธิบาย คล้ายพฤกษาในหุบเขาที่ยังชุ่มด้วยหยาดน้ำค้างยามรุ่งอรุณ สดชื่นแต่ลึกล้ำ หวานแฝงขม ราวความหวังที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดของชะตากรรม มือของหลินเฉินไม่สั่นแม้แต่น้อย เขาเริ่มหยิบสมุนไพรตัวต่อไป ใบม่านเมฆา สีเขียวเข้ม ริมใบหยักเป็นระเบียบ เขาใช้เพียงสามใบ ไม่มาก ไม่น้อยแม้แต่นิด ความแม่นยำคือหัวใจของผู้หลอมโอสถ มือของเขาขยับลงหม้อพร้อมกับจังหวะลมหายใจที่ช้าและสม่ำเสมอ เขาไม่เพียงใส่ใบไม้ลงไป แต่กำลังสื่อสารกับมัน กำลังประสานจิตใจเข้ากับธรรมชาติผ่านพฤกษาแต่ละชิ้น บรรยากาศทั้งห้องคล้ายหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเปลวไฟ เสียงใจเต้นของหลินเฉิน และเสียงลมหายใจที่ประสานกับจังหวะการใส่โอสถ กลายเป็นบทสวดไร้ถ้อยคำที่ผู้มีใจเท่านั้นจึงจะได้ยิน
จากนั้น หลินเฉินค่อยๆ หยิบผงรากหยกเขียวที่บดจนละเอียดจนแทบไม่เหลือเศษแข็ง หยดเหงื่อเล็กๆ ผุดบนหน้าผากของเขาเมื่อเตรียมลงมือขั้นต่อไป ด้วยความระมัดระวัง เขาเอียงมือเทผงสมุนไพรลงไปในหม้อยาทีละน้อย ราวกับกลัวจะรบกวนจังหวะของหม้อโอสถที่กำลังเข้าสู่สมดุล เมื่อผงรากหยกเขียวสัมผัสกับน้ำโอสถภายใน กลิ่นเย็นเฉียบเฉกเช่นน้ำแข็งพันปีก็พลันแผ่ซ่านออกมา ราวกับพายุหิมะที่พัดโหมกลางเปลวเพลิง ภายในห้องแคบอับชื้นก็พลันเปลี่ยนไปกลิ่นเย็นชื้นปะทะกับไอร้อนของยาที่กำลังเดือดจนเกิดไอน้ำขุ่นขาวที่แผ่กระจายปกคลุมอยู่รอบตัวหม้อ
ไอน้ำเริ่มปุดๆ ดังขึ้นทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นเสียงเดือดดังกึกก้องราวกับหม้อกำลังโกรธเคือง หลินเฉินขมวดคิ้วแน่น แต่แววตายังสงบนิ่ง มือขวาเหยียดออกหน้าเตาอย่างมั่นคง ความลังเลไม่มีให้เห็นในดวงตาคู่นั้น เขาระลึกถึงคำแนะนำของเสียงขลุ่ยในจิตใจทันที จึงกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ควบคุมเปลวไฟให้ลดลงอย่างเฉียบพลัน เปลวเพลิงที่เคยพวยพุ่งลุกโชนพลันหดแคบ กลายเป็นเปลวไฟสีฟ้าบางเฉียบที่ลุกไหม้ต่อเนื่องอยู่ใต้หม้อยา
เพลิงสีน้ำเงินนั้นนิ่งดุจแสงดาวยามราตรีมั่นคงและสงบ ราวกับจะเผาผลาญโดยไม่ทำลาย ด้วยจังหวะที่พอเหมาะพอดี หลินเฉินหยิบขวดแก้วเล็กขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ด้านในคือหยดเกสรเงารัตติกาลที่เขาเก็บได้อย่างยากลำบาก สมุนไพรล้ำค่าที่หายากยิ่ง เขาหยดมันลงไปช้าๆ หนึ่งหยด... สองหยด... และในหยดสุดท้าย เมื่อเกสรแตะผิวน้ำโอสถ เสียง “ฟู่” ดังขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจน แทรกผ่านความเงียบภายในห้อง
กลิ่นหอมหวานที่แปลกประหลาดค่อยๆลอยฟุ้งขึ้นทีละน้อย มันไม่ใช่กลิ่นหอมธรรมดา หากแต่เป็นกลิ่นที่ลึกลับลุ่มลึกและเย้ายวนใจ ราวกับพลังบางสิ่งจากธรรมชาติผสานรวมกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว กลิ่นขมเผ็ดของสมุนไพรเดิมพลันถูกรังสีของกลิ่นใหม่นี้กลบกลืนลงอย่างสง่างาม ทว่ามิใช่การบดขยี้ แต่เป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยไร้การต่อต้าน หลินเฉินหลับตาลงช้าๆ ราวกับกำลังฟังเสียงธรรมชาติ มือทั้งสองเหยียดออกเหนือหม้อยา ฝ่ามือเบิกออกอย่างสงบนิ่ง ลมปราณภายในร่างเขาเริ่มไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง มันค่อยๆ ผุดออกมาจากจุดตันเถียนกลางกาย ลำเลียงตามเส้นลมปราณ แล้วไหลออกสู่ฝ่ามือเป็นเส้นบางเฉียบสีขาวจางคล้ายหมอก ลมปราณที่ถูกส่งออกไปผสานกับพลังของเปลวไฟ ทำให้อุณหภูมิของหม้อยาเสถียรยิ่งขึ้น
ความร้อนในหม้อไม่รุนแรงอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความร้อนลึกซึ้งที่ค่อยๆ กลั่นกรองสิ่งปะปนให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เขาเร่งควบแน่นพลังด้วยความตั้งใจมั่น และเมื่อเวลาล่วงผ่านไป ไอน้ำเหนือหม้อยาที่เคยฟุ้งกระจายก็เริ่มรวมตัวกันอย่างเชื่องช้า ลอยวนอยู่เหนือปากหม้อราวกับกลุ่มหมอกที่กำลังถักทอเป็นรูปทรงใหม่ หยดหมอกค่อยๆ ข้นขึ้น กลายเป็นกลุ่มกลมๆ ทีละน้อย สัญญาณของการกลั่นยาที่ประสบผลขั้นต้น เส้นทางของผู้หลอมโอสถที่เคยเลือนลาง ในยามนี้เริ่มมีรูปร่างขึ้นมาแล้ว
หม้อยาสั่นสะท้าน คลื่นพลังบางอย่างปะทะออกมาเป็นระลอก แสงสว่างบางเบาแทรกขึ้นมาจากขอบปากหม้อ ก่อนจะปรากฏสิ่งหนึ่งกลิ้งหล่นลงมาช้าๆ... เม็ดยาสีเขียวเข้มกลมเกลี้ยงแวววาว ราวหยกธรรมชาติที่ส่องประกายในยามค่ำคืน หลินเฉินเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัว… เขาทำได้! โอสถเม็ดแรกในชีวิตของเขา ปรากฏเบื้องหน้าในยามที่ดวงจันทร์เต็มดวงส่องฟ้าดั่งเป็นสักขีพยาน โอสถเม็ดแรกที่เขาปรุงได้เป็นยาระดับที่ 2 ขั้นสมบูรณ์ "โอสถหลิงฉวน" โอสถรวบรวมลมปราณสำหรับฝึกฝนขั้นพื้นฐาน
เขาคุกเข่าลงช้าๆ ประนมหัตถ์อีกครั้ง แต่คราวนี้มิใช่แค่เพื่อสวรรค์หรือเสียงในขลุ่ย แต่เพื่อตนเอง...เด็กหนุ่มผู้ไร้เสียง ผู้ไม่มีสำนัก ไม่มีผู้ฝึกสอน ไม่มีใครให้ความหวังใดๆ หากแต่สามารถปรุงยาเม็ดแรกได้ด้วยสองมือตน ในความเงียบสงัดของห้องไม้ เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “เจ้าทำได้... เจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงหลินเฉิน” ริมฝีปากของหลินเฉินเผยรอยยิ้ม
น้ำตาเม็ดใสเอ่อล้นที่หางตา แต่เขาไม่ปล่อยให้หยดนั้นตก เขากลั้นไว้ เพราะนี่เพียงแค่ก้าวแรกในเส้นทางอันยาวไกล เม็ดยาสีหยกในมือส่องแสงสลัว ท่ามกลางความมืดรอบด้าน ราวกับประกายแห่งความหวังของเขาเพิ่งถือกำเนิดขึ้น