เปลวไฟแห่งการยอมรับ

แสงเช้าของวันที่ยี่สิบสาม เดือนแรกแห่งฤดูไม้ผลิ ทาบทอผืนปฐพีด้วยความอบอุ่นอันอ่อนโยน ลำแสงสีทองลอดผ่านยอดไม้สูงที่ผลิใบอ่อนเป็นประกายเขียวขจี ใบไม้สีเขียวอ่อนเหล่านั้นชูช่อไหวเอนตามแรงลมประหนึ่งกำลังเริงระบำต้อนรับการมาถึงของฤดูกาลใหม่ กลิ่นสดชื่นของหญ้าเปียกน้ำค้างปะปนกลิ่นดินหอมลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ สายน้ำจากลำธารเล็กๆ ที่ไหลเอื่อยทอดผ่านเชิงเขาหวังซานส่งเสียงกระซิบดุจบทเพลงของธรรมชาติ เสมือนกำลังบรรเลงบทโหมโรงแห่งการเริ่มต้นครั้งใหม่ของเหล่าผู้แสวงหาเส้นทางแห่งโอสถ

 บนเชิงเขานั้นเอง มีอาคารไม้เก่าแก่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางหมู่ไม้ และในลานกว้างเบื้องหน้า "วิหารโอสถศักดิ์สิทธิ์" เตาโอสถขนาดใหญ่ถูกตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบถึงสิบสองใบ ห้อมล้อมด้วยแผ่นศิลาเรียบและแท่นหินสำหรับวางสมุนไพรที่ผ่านการคัดเลือก บรรยากาศเคร่งขรึมแฝงด้วยกลิ่นธูปจางๆ ที่ลอยเอื่อยออกมาจากวิหารภายใน

ททรอบลานกว้างนั้นมีผู้คนรวมตัวกันหนาแน่นกว่าทุกวัน เหล่าผู้สมัครมากกว่าหกสิบถึงเจ็ดสิบชีวิตต่างสวมชุดเรียบร้อยตามแบบสำนักโอสถ บ้างในชุดแพรเนื้อดีสีอ่อน ตกแต่งลายกลีบดอกโอสถ บ้างในชุดคลุมยาวปักตราประจำตระกูลที่สะท้อนถึงเกียรติภูมิและฐานะอันสูงส่ง หลายคนเป็นบุตรหลานของตระกูลแพทย์โอสถชื่อดัง บ้างเป็นศิษย์จากสำนักย่อยที่เคยร่ำเรียนมาแล้วนับปี มีทั้งชายหญิง วัยรุ่นอายุสิบห้าจนถึงยี่สิบต้นๆ ต่างเดินตรวจสอบเครื่องไม้เครื่องมือด้วยความตื่นเต้น บ้างกระซิบสนทนากับสหายร่วมสำนัก บ้างยืนหลับตาตั้งจิตเพื่อข่มความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกภายใน

 ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง กลับมีร่างเงียบๆ ร่างหนึ่ง ยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่มุมสุดของลานสอบ เด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมดำยาวประบ่า มัดไว้ลวกๆ ด้วยเส้นผ้าเก่า ชุดที่เขาสวมไม่ใช่ผ้าแพรหรือผ้าปัก ไม่ได้มีลายสำนักหรือตราประจำตระกูลหรูหรา มีเพียงเสื้อผ้าฝ้ายหยาบสีหม่นที่ผ่านการซ่อมปะนับครั้งไม่ถ้วน ผิวพรรณคล้ำแดดจากการตรากตรำตรองมาในแดดฝน มือของเขาหยาบกร้านนิ้วมือแตกลายจากการฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ หากแต่แววตาของเขา... เงียบงัน ทว่าลึกล้ำ เขาไม่ได้จับกลุ่มพูดคุยกับใคร ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด ไม่มีแม้แต่ชื่อเสียงให้ใครจดจำ หากแต่ยืนอยู่เงียบ ๆ ราวกับต้นสนที่หยัดยืนท่ามกลางหิมะ ลมหายใจสม่ำเสมอ สายตาแน่วนิ่งจ้องมองเตาโอสถตรงกลางลานสอบอย่างไม่หวั่นไหว เด็กหนุ่มผู้นั้นชื่อว่า...หลินเฉิน

 หลินเฉินเสื้อผ้าที่เขาสวมยังคงเป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายสีหม่นที่ตัดเย็บด้วยมือ ปะปิดด้วยเศษผ้า ร่างกายมีรอยฟกช้ำจางๆ จากการฝึกฝนตลอดหลายเดือน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือผู้ที่สามารถปรุงยาเม็ดแรกสำเร็จด้วยตนเองอย่างลับๆ ไม่มีสำนัก ไม่มีครู ไม่มีแม้แต่เสียงพูดจากปากตน “เฮอะ เด็กบ่าวสำนักยังจะกล้าเข้าร่วมสอบกลับไปล้างห้องน้ำเถอะน่า!” ศิษย์หนุ่มในชุดสีแดงจากตระกูลเมิ่งเอ่ยเย้ย ดวงตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม “หรือว่ามาขอเศษสมุนไพรกลับไปต้มน้ำล้างเท้า” หญิงสาวอีกคนหัวเราะเยาะ พลางเบือนหน้าหนีราวกับกลัวจะติดกลิ่นสกปรกจากร่างของหลินเฉิน แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ตอบโต้อะไร เขาเพียงเงยหน้ามองเตาโอสถที่ตั้งอยู่กลางลาน ดวงตาดำขลับคู่นั้นเงียบสงบ... แต่แฝงแววแน่วแน่ไม่อาจสั่นคลอน

 เสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง การสอบเริ่มต้น ชายชราในชุดนักปรุงยาสีขาวยืนอยู่เบื้องหน้า เตาโอสถทั้งหมดล้อมเป็นวงกลมรอบตัวเขา เสียงของเขาดังชัดเจนด้วยพลังลมปราณ “ผู้เข้าสอบทุกคน จงแสดงความเข้าใจในสมุนไพรขั้นพื้นฐาน ปรุงโอสถบำรุงโลหิตให้สำเร็จภายในหนึ่งชั่วยาม หากหม้อยาระเบิด ตัดสิทธิ์ หากโอสถไม่บริสุทธิ์ตามเกณฑ์ ตัดสิทธิ์ หากไม่เข้าใจสมดุลธาตุ ตัดสิทธิ์!” เสียงฮือฮาดังขึ้นเล็กน้อย หลายคนเริ่มลนลาน หยิบสมุนไพรขึ้นมาสับ บด แยก ใส่ลงหม้อยาอย่างเร่งรีบ ลานสอบพลันกลายเป็นสนามรบแห่งกลิ่นโอสถ ควันไฟ และเสียงฟู่ฟ่าของไอความร้อน

 หลินเฉินค่อยๆ ก้าวไปยังหม้อของตนอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้เข้าสอบรอบข้าง ร่างผอมบางของเขาดูไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ตระกูลใหญ่ที่แต่งกายสะอาดสะอ้านและประดับตราสัญลักษณ์วิชายุทธ์โอสถอย่างภาคภูมิ เขามิได้แสดงความลังเลหรือร้อนรนใดๆ ขณะวางมือลงบนขอบหม้อยาทรงกลม ดวงตานิ่งสงบมองลงไปยังเปลวไฟเบื้องล่างราวกับกำลังเฝ้าดูสรรพสิ่งเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

 ในจักรวาลที่ไม่มีใครรับรู้ มือเรียวยาวของเขาแม้จะหยาบกระด้างจากการฝึกฝนอย่างยากลำบาก แต่กลับมีสัมผัสที่แม่นยำยิ่งกว่าใคร เขาหยิบสมุนไพรขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใบม่านเมฆาสดเขียวมีกลิ่นเย็นอ่อนๆ ถูกวางไว้ก่อน ตามด้วยรากซานหลิงที่สีน้ำตาลทอง บิดงอเป็นเกลียวแปลกตา และสุดท้ายคือเปลือกหลิงจือที่ถูกฝานอย่างเรียบเนียน กลิ่นขมเฉพาะตัวของมันระเหยออกช้าๆ จนกลมกลืนกับอากาศที่แวดล้อมหม้อยา “รักษาอุณหภูมิ... ไม่เกินสามชั้นเปลว ห้ามให้ไฟเต้นพล่าน”

เสียงแผ่วเบาเหมือนลมหายใจของวิญญาณเก่าแก่ดังขึ้นในจิตของเขา มันคือเสียงจากขลุ่ยหยกที่เขาเก็บมา... เสียงที่ไม่เพียงให้คำแนะนำ หากแต่เปรียบเสมือนวิญญาณของครูบาอาจารย์ผู้มองเห็นการกระทำของเขาทุกขณะจิต หลินเฉินขยับปลายนิ้วเล็กน้อย เปลวไฟใต้หม้อพลันเปลี่ยนจากสีส้มเรืองเป็นสีน้ำเงินอ่อน กลายเป็นเปลวไฟสามชั้นที่มั่นคงราวกับวางด้วยมือทวยเทพ มันไม่เต้นพล่าน ไม่ลุกวาบ ไม่อ่อนแอ แต่แผ่ไอร้อนสม่ำเสมอราวกับหายใจของสิ่งมีชีวิต

 กลุ่มควันสีขาวจางๆ ลอยเอื่อยขึ้นจากปากหม้อ ไม่ดำคล้ำหรือกระจายเกินควบคุม หากแต่มีกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรผสมผสานกันอย่างกลมกล่อม ลอยผ่านไปกลางอากาศโดยไม่มีใครสังเกต แต่ในใจของหลินเฉิน เขารู้ดี นี่คือสัญญาณที่ถูกต้อง เสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้เข้าสอบรอบข้างยังคงแว่วมาบ้างเป็นระยะ บ้างเยาะเย้ย บ้างสบประมาท แต่หลินเฉินไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เขายังคงก้มหน้าลง ใบหน้าเรียบเฉยแต่เปี่ยมด้วยสมาธิ ทั้งสองมือเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง ไม่เร็ว ไม่ช้า ราวกับทุกกิริยาได้รับการชั่งน้ำหนักจากประสบการณ์ล้ำลึกกว่าผู้ใดเคยคาดคิด

 แม้ร่างกายจะเมื่อยล้าจากการยืนอยู่เนิ่นนาน แม้ความร้อนจากเปลวไฟจะแผดเผาให้เหงื่อไหลซึมจากขมับ หยดแล้วหยดเล่า และแม้จะไม่มีใครเอ่ยคำชมใดๆ เขาก็ยังไม่หยุด เพราะในใจของเขา มีเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ เปลวไฟนั้นไม่ใช่เพียงไฟใต้หม้อยา หากเป็นเปลวไฟในดวงจิต เปลวไฟของความอุตสาหะ เปลวไฟแห่งศักดิ์ศรีของผู้ไร้เสียง ไร้พรรคพวก ไร้ภูมิหลังที่ผู้คนยอมรับ เวลาผ่านไป... เงาของแสงแดดเคลื่อนจากด้านบนลงสู่ขอบผา

 เสียงฆ้องครั้งที่สองดังขึ้นห่างออกไป เป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาผ่านไปเกือบครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ผู้เข้าสอบหลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บ้างเผลอใส่วัตถุดิบผิดลำดับ บ้างลนลานจนเปลวไฟพลุ่งพล่าน หม้อยาหลายใบเริ่มมีควันดำคลุ้ง บางใบเริ่มมีเสียงเดือดลั่นคล้ายจะระเบิด หญิงสาวบางคนแทบกรีดร้องออกมาเมื่อหม้อของตนเองแตกร้าวตรงขอบอย่างน่าเศร้า แต่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น...มีเพียงหม้อใบหนึ่งเงียบเปลวไฟใบหนึ่งสงบ และเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ไม่สนสายตาใดทั้งสิ้น หลินเฉินยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดั่งเสาหินท่ามกลางสายลม แม้จะไม่มีใครสังเกตเขา แต่เขากำลังปรุงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าสมุนไพรในหม้อ เขากำลังหล่อหลอมเส้นทางของตนเอง

 หม้อหลอมโอสถหลายใบเริ่มมีรอยแตกร้าว บางใบระเบิดเปรี้ยง ส่งกลิ่นไหม้ฉุนลามไปทั่วลาน หลายคนหน้าซีด บางคนร้องไห้ บ้างก็ก่นด่าตนเองอย่างขาดสติ ในบรรยากาศอันวุ่นวาย... กลับมีเพียงหม้อยาของหลินเฉิน ที่ค่อยๆ ปล่อยไอไสวบาง ละเอียดเหมือนม่านหมอกในฤดูหนาว และแล้ว เสียง ติ๋ง ก็แว่วขึ้น เม็ดยาสีแดงจางลอยขึ้นจากผิวน้ำ กลิ้งลงกลางฝ่ามือของหลินเฉินอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของมันทำให้ผู้ตรวจสอบที่เดินผ่านมา ต้องชะงัก ชายชราในชุดขาวรีบเดินเข้ามา มองเม็ดยาในมือหลินเฉิน ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

 โอสถบำรุงโลหิต โอสถระดับสอง บริสุทธิ์เจ็ดส่วน... ไม่พบร่องรอยสิ่งปนเปื้อน ไฟควบคุมดีเยี่ยม พลังโอสถสม่ำเสมอ... เด็กคนนี้... ปรุงได้จริงหรือ?” ผู้ตรวจสอบอีกคนกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เขาไม่ใช่ศิษย์จากสำนักใด ไม่มีครู ไม่มีภูมิหลัง...” เสียงจากชายชราดังชัดเจนกลางลานสอบ “ผู้สอบผ่านเข้าเป็นศิษย์สายนอกวิหารโอสถศักดิ์สิทธิ์ หลินเฉิน” ทั่วทั้งลานตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงซุบซิบดังขึ้นทันที “เป็นไปไม่ได้...!” “เด็กบ่าวคนนั้นน่ะหรือ?!” หลินเฉินก้มศีรษะรับคำประกาศเงียบๆ ดวงตาของเขายังแน่วนิ่งดั่งภูผา ขณะเดียวกัน... ภายในใจของเขากลับร้อนระอุยิ่งกว่าเปลวไฟในหม้อยา “ก้าวแรก... ข้าทำได้แล้ว” ข้ามีตัวตนในสำนักหั่วอวิ๋นแล้ว