ยามราตรีปกคลุมทั่วหุบเขาหวังซาน เงาไม้ทอดยาวลงบนผืนดินเยียบเย็น ดอกหญ้าปลิวไสวตามแรงลมอ่อน แสงจันทร์สีเงินสาดลอดผ่านม่านเมฆเบาบางราวม่านหมอก เผยประกายขาวนวลที่เคลือบบนกิ่งสน หลังคาเรือนเก่า และทุ่งโล่งกลางหุบเขา ทั่วทั้งพื้นที่สงบนิ่งดุจโลกทั้งใบหลับใหลอยู่ภายใต้มนตร์แห่งรัตติกาล
ในเรือนไม้เล็กแคบหลังหนึ่งอันเงียบงันที่ชายขอบสำนักหั่วอวิ๋น มีเพียงเปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันดวงเล็กที่ส่องแสงไหวอยู่ริมหน้าต่าง แสงนั้นไม่สว่างนัก หากแต่พอจะขับไล่ความมืดรอบตัวให้อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย กลางห้องมีร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม้ ใบหน้าเงียบสงบเหมือนสายน้ำใต้ผิวนิ่ง เสื้อผ้าธรรมดาสีหม่นนั้นมีรอยปะซ่อมตรงไหล่ซ้าย แขนเสื้อขวาขาดเป็นริ้วจากคราบเขม่าของเปลวไฟเก่าที่ติดอยู่มาหลายวัน หากแต่ท่วงท่าของเขากลับมั่นคงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป
เขาคือ หลินเฉิน เด็กหนุ่มผู้ไร้พลังเสียง แต่มีจิตใจที่ไม่อาจปิดกั้น เขานั่งอยู่ข้างขลุ่ยหยกโบราณที่วางอยู่บนผ้าขาวสะอาด ราวกับสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ที่แม้จะไม่มีเสียงจากโลหะหรือพลังปราณก็ยังเปล่งอำนาจที่มิอาจมองข้าม เขาหลับตาลง ลมหายใจเข้าออกช้าและสม่ำเสมอ ทุกจังหวะคล้ายสอดคล้องกับจังหวะของโลกภายนอก ใจของเขาล่องลอยราวกับลมหายใจของป่าเขา... และในห้วงสำนึกนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบที่ลึกเสียยิ่งกว่าเสียงใด เสียงหนึ่งพลันก้องขึ้นอย่างแผ่วเบา “เจ้าทำได้ดี... ถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าควรรู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเสียงนี้” เสียงนั้นไม่ใช่เพียงกระซิบในหู แต่ดังกังวานในจิต ลึกและก้องดุจระฆังจากหุบเหวสะท้อนกลับพันพันครั้งจนลมหายใจสะดุด
หลินเฉินเบิกตาขึ้นช้าๆ สายตาแน่วแน่ราวคมกระบี่ แต่แฝงความสั่นไหวด้วยแรงปะทะที่ไม่มีรูปร่าง ภายในใจของเขา... ภาพหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้น ท่ามกลางม่านหมอกสีเงินที่ลอยฟุ้งในท้องฟ้าเวิ้งว้าง ร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่เหนือยอดผาสูง กายสูงสง่าผิวขาวซีดราวหิมะ ชุดคลุมยาวสีขาวปักลายเมฆดำและต้นหลิวไหว สยายพลิ้วตามแรงลม เส้นผมยาวสลวยสีเงินถูกรัดไว้หลวมๆ ด้วยด้ายสีแดงเพลิง เส้นเดียวกับสายรัดขลุ่ยหยก
ดวงตาของชายผู้นั้น... ลึกและแน่นิ่งรามหาสมุทรยามฤดูหนาว สีเทาเข้มสะท้อนแสงจันทร์อย่างเยือกเย็น และแฝงไป ด้วยสติปัญญาอันเกินหยั่งถึง ข้า... เคยมีนามว่า ไป๋เหิงเทียน เสียงของเขาเรียบลึก สงบเสงี่ยมแต่ทรงอำนาจ ทุ้มต่ำราวกับคำพูดของผืนฟ้าต่อแผ่นดิน เสียงที่เคยเขย่าขวัญผู้ปกครองทวีปยุทธภพเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้คนในอดีต เรียกข้าว่า ‘เทพโอสถสะท้านหล้า’ หรือในหมู่นักยุทธ์... ‘เงาแห่งดินฟ้าผู้ไร้พ่าย’
เมื่อคำเหล่านั้นถูกเอ่ยขึ้น ท้องฟ้าในห้วงสำนึกของหลินเฉินพลันแปรเปลี่ยน เกิดภาพซ้อนของสนามรบโบราณซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีเงาร่างเดียวดายยืนเด่นเหนือกองศพนับพัน เปลวไฟยังลุกโชน ท่ามกลางสายลมที่หอบกลิ่นเลือด กับชายผู้เดียวที่ยืนนิ่งกลางพายุ นิ่งจนแม้เทพสวรรค์ยังต้องถอย ภาพเหล่านั้นไม่ใช่เพียงตำนานที่เลือนรางในหน้าตำรา หากแต่คือเศษเสี้ยวความทรงจำของ
“เขา” ไป๋เหิงเทียน เศษวิญญาณที่หลอมรวมอยู่ในขลุ่ยหยกอันเงียบงัน และบัดนี้... กำลังเผยภาพอดีตกาลให้หลินเฉินได้ประจักษ์ด้วยใจ “ในช่วงชีวิตของข้า ข้าได้ฝึกฝนศาสตร์โอสถจนทะลวงสู่จุดสูงสุด… แต่โอสถมิใช่สิ่งเดียวที่ข้าใช้สร้างชื่อ” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นแต่แฝงด้วยความสงบนิ่ง ราวกับผ่านการเดินทางอันยาวไกลเกินจะนับปีเดือน
“ในช่วงขาขึ้นของข้า ข้าเคยถือคบเพลิงบรรพกาล หลอมศาสตราจากเปลวเพลิงสีฟ้าที่ปะทุจากแก่นดินใต้หุบเขาเทียนกู่ เหล็กที่หลอมไม่ได้มาจากโลหะทั่วไป หากแต่เป็นเศษศิลาอุกกาบาตที่ตกจากฟากฟ้า เมื่อถูกหลอมด้วยเพลิงแห่งเจตจำนง มันจะแปรสภาพ กลายเป็นโลหะมีชีวิต... ศาสตราที่ฟังคำสั่งจากใจเจ้าของได้โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวมือ”
ภาพเบื้องหน้าของหลินเฉินเริ่มเปลี่ยนไป เขาเห็นหุบเขากว้างใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าพวยพุ่งจากแอ่งลาวา และในท่ามกลางความร้อนระอุนั้น ร่างของไป๋เหิงเทียนยืนนิ่ง สองมือเปลือยเปล่าขยับเหนือแท่นหลอมขนาดใหญ่ที่ลอยกลางอากาศ เศษโลหะสีดำที่ดูดกลืนแสงสว่างถูกบีบอัดด้วยแรงจิต วิญญาณแห่งเปลวเพลิงสวรรค์สอดแทรกเข้าไปทุกอณู จนเกิดเป็นกระบี่สีเงินสลับดำที่ไม่มีใครลืมได้ “หลิงซวี่”
กระบี่อันเลื่องชื่อที่กล่าวกันว่าฟาดฟันแม้กระแสเวลาให้ชะงักได้ชั่วขณะ “ข้าไม่ได้หยุดเพียงแค่การหลอมอาวุธ… แต่ข้ายังได้สร้างค่ายกล ที่แม้แต่วิญญาณเทพก็ยังถูกกักขัง” เสียงของไป๋เหิงเทียนนำพาภาพแห่งหุบผาอีกแห่งปรากฏต่อหน้า มันคือผานิลกาฬกลางห้วงเมฆา ค่ายกลเรืองแสง นับพันเส้นล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งมีเพียงเสาศิลาปักไว้ห้าทิศ เส้นลายบางๆ นั้นเรืองแสงด้วยพลังปราณของดวงวิญญาณระดับสูงที่ถูกตรึงไว้ เสียงกรีดร้องที่ไม่มีถ้อยคำ ดังก้องออกมาเป็นคลื่นสะเทือนฟ้า
“ข้าใช้พลังจิต กำหนดทิศ พยากรณ์ลม ดึงพลังแห่งดวงดาวมาเชื่อมเส้นพลัง ค่ายกลที่กักขังได้แม้แต่เทพ ไม่ได้สร้างด้วยพลังดิบ หากแต่ใช้ความเข้าใจใน ‘ธรรมะของฟ้า’ เป็นหัวใจ” จากนั้นเบื้องหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง... ปรากฏภาพของแผ่นหินโบราณขนาดมหึมา ผืนดินอันแห้งผากและแตกร้าว ไป๋เหิงเทียนนั่งอยู่บนศิลาก้อนหนึ่ง มือข้างหนึ่งจับพู่กันสีแดงซึ่งหัวแปรงทำจากขนของสัตว์อสูรห้าธาตุ อีกมือหนึ่งกดกระดาษยันต์ที่ขึงไว้กับหิน
ขณะวาดเส้นยันต์ที่ซับซ้อนเป็นพันเส้น แสงสว่างจากพู่กันแผ่ออกตามรอยหมึกทีละจังหวะ ดวงยันต์ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปสัตว์โบราณครึ่งมังกรครึ่งนกฟีนิกซ์ กลืนพลังของฟ้าและดินเข้าไว้ในเส้นสายเดียว "ยันต์นั้นไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ แต่คือกุญแจที่เปิดปิด ‘พลังธรรมชาติ’ ที่ไร้รูปร่าง ผู้ที่เข้าใจยันต์ ย่อมควบคุมแรงแห่งโลกลับได้ราวกับเล่นหมากล้อมกับสวรรค์"
ภาพสุดท้ายปรากฏในสายตาของหลินเฉิน เป็นร่างของสัตว์อสูรยักษ์ นัยน์ตาสีแดงฉาน ขนสีม่วงเข้มแผ่ไอพิษ ความสูงเทียมภูเขา มันคำรามกึกก้องสะท้านฟ้า แต่กลับย่อตัวลงต่อชายชราในชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า “สัตว์อสูรนั้นมีจิตเป็นของตนเอง ข้าไม่ฝึกมันด้วยกรงหรือโซ่ หากแต่ด้วย ‘คำสัตย์’ ที่จารจากใจข้า เมื่อจิตของคนแน่วแน่เหนือกว่าสัตว์อสูร มันจะยอมรับ...และจะเป็นดั่งเงาในเงา คำรามเพื่อเรา และหยุดเพราะเราปรารถนา”
และแล้ว... ภาพทั้งมวลพลันดับสิ้น เหลือเพียงเสียงของไป๋เหิงเทียนที่ชะงักลงครู่หนึ่ง คล้ายจิตวิญญาณของเขาได้ย้อนกลับไปสัมผัสบาดแผลที่ไร้ร่องรอย “แต่ในวาระสุดท้าย... ข้าตระหนักว่า ไม่มีพลังใดอยู่ชั่วนิรันดร์” “แม้กระบี่จะคมกล้า… ยันต์จะเรืองแสง… ค่ายกลจะกักเทพ…หรืออสูรจะหมอบราบ… สุดท้าย ลมหายใจของมนุษย์ก็ยังสิ้นลงในคืนหนึ่งที่ไร้ผู้จดจำ” เงียบ...น้ำเสียงนั้นสะท้อนดังก้องในห้วงจิตของหลินเฉิน คล้ายระฆังจากวัดเก่าที่กังวานไกลข้ามขุนเขา “ดังนั้น… ข้าจึงทิ้งเสี้ยววิญญาณไว้ในขลุ่ยหยกนี้ รอคอยผู้ที่มีใจมั่นคงเหนือพลังยุทธ์ รอผู้ที่แม้ไร้เสียง…แต่ใจกลับเปล่งถ้อยคำแห่งศรัทธาดังยิ่งกว่าฟ้าร้อง”
“และวันนี้... เจ้าคือผู้ที่ข้าเลือก” หลินเฉินนิ่งไปเนิ่นนาน สายลมภายนอกพัดผ่านช่องไม้ เสียงแผ่นใบเสียดสีกันเบาๆ ดังคล้ายเสียงปรบมือจากฟ้าเบื้องสูงที่รับรู้การตื่นขึ้นของตำนานที่ถูกลืม ดวงตาของหลินเฉินมีประกายลึกขึ้นเพียงเล็กน้อย เขายกมือวางบนขลุ่ยอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเปล่งถ้อยคำ... แต่หัวใจของเขากลับก้องกังวานยิ่งกว่าคำใด "ท่านอาจารย์ไป๋... โปรดชี้ทาง"
หลินเฉินนิ่งอยู่เนิ่นนาน ลมหายใจเขาตื้นเล็กน้อย แต่สายตากลับสงบ มือค่อยๆ วางลงเหนือขลุ่ยหยกเบื้องหน้า และแนบหน้าผากลงบนมันอย่างเงียบงันราวกับทำความเคารพต่อดวงวิญญาณของฟ้าดิน ไป๋เหิงเทียน...นามนั้น แม้จะล่วงผ่านจากโลกนี้ไปกว่าศตวรรษ แต่ยังเปล่งประกายอยู่ในเงาของยุทธภพ แม้จะไม่มีศิษย์ ไม่มีสำนัก ไม่มีผู้สืบทอดตรง แต่เพียงชื่อของเขาก็ทำให้มหาสำนักทั้งใต้หล้าเคยต้องยอมก้มหน้าในอดีต
และบัดนี้ เสี้ยววิญญาณของเขา ได้ตื่นขึ้นอีกครั้งในมือของเด็กหนุ่มผู้ไร้เสียง แต่มีไฟแห่งปณิธานที่ดังกว่าคำพูดใด “ข้าจะสอนเจ้า ไม่ใช่เพียงตำราปรุงยา แต่ทุกศาสตร์ที่ข้าก้าวผ่าน และถ้าเจ้ากล้าพอ... เราจะเขียนตำนานบทใหม่ด้วยกัน” หลินเฉินยิ้มมุมปากเบาๆ แววตาแน่นิ่ง ใจของเขาไม่ได้สั่นเพราะความกลัว แต่เพราะคำว่า “ศรัทธา” ที่เริ่มเบ่งบานเป็นประกายภายใน ค่ำคืนนี้ ดาวบนฟ้าไม่เปล่งแสงเพียงดวงเดียว เพราะภายในเรือนเล็กอันเงียบสงัดแห่งนั้น มีดาวอีกดวงที่เพิ่งถือกำเนิด