ราตรีค่อยๆ คลี่ม่านบางออกจากขอบฟ้า ม่านหมอกสีเทาจางราวสายแพรนุ่มลอยเคลื่อนผ่านปลายยอดไม้ เสียงนกป่าตัวแรกส่งเสียงร้องเบาๆ ทักทายแสงสีเงินแห่งรุ่งอรุณ ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นแนวเทือกเขาทางตะวันออก แต่ขอบฟ้าก็เริ่มเปล่งประกายเรืองรอง บอกสัญญาณแห่งวันใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ความมืด
ไอเย็นของเช้าตรู่ยังจับตัวแน่นบนยอดหญ้า ลานฝึกเล็กๆ เบื้องหลังเรือนไม้หลังเก่าของหลินเฉินเต็มไปด้วยความเงียบงัน ขณะที่สายหมอกยังไม่ทันจางลง ทุ่งหญ้าเปียกชื้นก็ส่งกลิ่นอ่อนของไอแร่จากผืนดินเบื้องล่าง พื้นหญ้ายามนี้ยังไม่มีแม้รอยเท้าของสัตว์หรือมนุษย์ มีเพียงเงาเงียบงันของใครคนหนึ่ง... ยืนสงบนิ่งอยู่กลางลาน
หลินเฉินยืดกายอย่างมั่นคง ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางสายหมอก เขากำขลุ่ยหยกแนบอกสองมือแน่น ดวงตาที่ทอดมองเบื้องหน้าเปี่ยมด้วยแววแน่วแน่ แม้ใบหน้านิ่งสงบ แต่ภายในกลับปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่เกินจะบรรยาย เขาไม่ใช่ผู้ที่หลงไหลในพลังเพื่อโอ่อ่า ไม่ได้ใฝ่หาความยิ่งใหญ่เพื่อชื่อเสียง หากแต่ในใจเขา ปรารถนาจะกลายเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนด้วยมือเปล่า
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากภายในจิต เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย... แฝงไว้ด้วยอำนาจอันสงบ เป็นเสียงของขุนเขา เสียงของเวลา เสียงของไป๋เหิงเทียน “หลินเฉิน” “เจ้าอาจมีพรสวรรค์ในการปรุงโอสถ มีจิตมั่นคงต่อวิชา มีสายตาแม่นยำในการแยกแยะคุณสมบัติสมุนไพร… แต่นั่นยังไม่พอ”
เสียงนั้นแผ่วแต่มั่นคง ราวกับสายลมที่พัดผ่านยอดไม้แล้วฝากข้อความไว้ในความว่างเปล่า “ในยุทธภพ ไม่มีศิลปะใดสามารถเติบโตได้โดยปราศจากรากฐานของพลังยุทธ์” “เจ้าจะสร้างยันต์ได้อย่างไร หากมือเจ้าสั่นเพราะพลังไม่พอ?” “เจ้าจะกางค่ายกลใดได้ทัน หากร่างกายของเจ้าล้าเพียงต้องวิ่งระยะร้อยก้าว?”
“เจ้าจะควบอสูรได้หรือ หากจิตของเจ้าหวั่นไหวเพียงแค่มันคำราม?” “เจ้าจะสร้างอาวุธได้หรือ หากพลังเจ้าไม่พอหลอมเปลวเพลิงแม้แต่กองเดียว?” “สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ความหมาย...หากร่างกายของเจ้าสะบักสะบอมเพียงเผชิญลมหนาวสามวัน”
คำเหล่านั้นไม่ใช่คำตำหนิ หากแต่เป็นดั่งระฆังเตือนใจ อ่อนโยนแต่แน่นหนา ชัดเจนดั่งเปลวเพลิงแรกที่จุดกลางห้วงคืนอันยาวนาน หลินเฉินก้มหน้าเล็กน้อย สองมือยังกำขลุ่ยไว้แนบอกเหมือนกำลังสาบานเงียบๆ กับใครสักคนในใจ แม้ไม่มีเสียงตอบ แต่แววตาเขา... กลับกล่าวทุกสิ่งแทนถ้อยคำไป๋เหิงเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา “เจ้าคือผู้สืบทอดศิลป์โบราณ ไม่ใช่เพียงโอสถ หากแต่รวมยันต์ ค่ายกล อาวุธ และอสูรในหนึ่งเดียว”
“หากเจ้าจะก้าวไปให้พ้นเงาของชะตา เจ้าต้องแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายใน” “วันนี้... ข้าจะเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาพลังยุทธ์ให้เจ้า” หมอกสีขาวรอบตัวพลันหมุนวน ภูมิทัศน์เริ่มแปรเปลี่ยน พื้นหญ้าหายไป กลายเป็นผืนดินว่างเปล่ากว้างไกลสุดสายตา แสงอาทิตย์จำแลงสาดผ่านม่านเมฆให้เห็นเส้นค่ายกลโบราณที่ฝังอยู่ใต้ดินเรืองขึ้นเป็นลายสลับซับซ้อน
ขณะที่กึ่งกลางลาน มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ ไป๋เหิงเทียนในรูปลักษณ์เงาวิญญาณ ยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อคลุมสีขาวปักเมฆดำปลิวสยายตามลม ดวงตาแน่นิ่งจ้องมองหลินเฉินราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปถึงชั้นวิญญาณ “จงตั้งจิตให้มั่น หลอมปราณแรกของเจ้าให้สมบูรณ์ เราจะเริ่มจากพื้นฐาน ก่อนจะพาเจ้า... ก้าวข้ามขอบเขตของมนุษย์”
เสียงของไป๋เหิงเทียนดังชัดในห้วงจิต ไม่ใช่ตำหนิ แต่คือคำสั่งที่เปี่ยมด้วยเมตตาของครูบาอาจารย์ผู้แท้ ทุกศาสตร์ของผู้ฝึก… ไม่ว่าจะโอสถ ค่ายกล อาวุธ ยันต์ หรือแม้แต่การฝึกสัตว์อสูร ล้วนต้องมี ‘รากฐาน’ จากพลังยุทธ์ เพราะพลังปราณคือ ดิน น้ำ ลม ไฟของการสรรค์สร้าง หากเจ้าจะเป็นศิษย์ของข้า... เจ้าต้องเริ่มจากจุดนี้ก่อน
หลินเฉินย่อตัวลง นั่งคุกเข่ากับพื้นโดยไม่ลังเล แม้ไม่สามารถพูดได้ แต่แววตาที่เงยขึ้น เต็มไปด้วยความตั้งใจที่มั่นคง “ดีมาก” สิ้นเสียงนั้น โลกทั้งใบพลันหมุนเปลี่ยน หลินเฉินรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ในห้วงมิติเร้นลับ พื้นที่ว่างเปล่าสีครามที่ล้อมรอบด้วยหมอกสีทอง ลมเย็นปะทะใบหน้า กลิ่นหอมของพลังวิญญาณบริสุทธิ์ซึมลึกเข้าโพรงจิต
ไป๋เหิงเทียนปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า แม้จะเป็นเพียงเงาแห่งวิญญาณ แต่เพียงยืนอยู่เฉยๆ พลังอำนาจที่แผ่ออกมาก็แน่นหนาราวกับภูผาโบราณที่ไม่เคยสั่นไหวตามกาลเวลา เสื้อคลุมยาวสีขาวปักลายคลื่นและอัสนีสวรรค์ของเขา แม้ไม่มีสายลมโบกพัด แต่กลับปลิวไหวด้วยแรงแห่งเจตจำนง บ่งบอกถึงระดับจิตที่มิใช่คนธรรมดาจะเอื้อมถึงได้ง่าย สายตาของเขาแน่วแน่ จับจ้องไปยังหลินเฉินผู้ซึ่งยืนเงียบอยู่ตรงหน้า ดวงตานั้นเปี่ยมด้วยการพินิจ ทั้งราวกับตรวจสอบ... ทั้งราวกับวางใจ
“ฟังให้ดี เคล็ดวิชานี้คือพื้นฐานพลังยุทธ์สาย ‘อัสนีสวรรค์’ เป็นเคล็ดลับที่ข้าดัดแปลงจากตำราสืบทอดลับของทั้งหกตระกูลใหญ่ในยุทธภพ ผสานหลักธรรมะและพลังฟ้าดิน รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวโดยไร้รูปแบบตายตัว” น้ำเสียงของไป๋เหิงเทียนหนักแน่นกังวาน ทว่าเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกราวกับกำลังกล่าวตำราจากสวรรค์ “เจ้าไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณระดับสูง ไม่ต้องเกิดในตระกูลใหญ่ ขอเพียงมีจิตที่ตั้งมั่น มีลมหายใจที่ควบคุมได้ ก็สามารถเปิดจุดชีพจรทั้งแปดสิบหนึ่งจุดภายในร่าง แปรพลังปราณแห่งฟ้าให้กลายเป็นของเจ้าได้”
หลินเฉินฟังทุกคำอย่างเงียบงัน แต่แววตาของเขากลับสว่างไสวราวดวงดาวยามค่ำคืนที่พึ่งได้รับแสงแรกจากจันทรา เขาพยักหน้าแน่น ราวกับพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งที่กำลังจะตามมาไป๋เหิงเทียนยกมือขึ้นเบื้องหน้า แสงปราณสีฟ้าเงินพุ่งขึ้นกลางอากาศ แปรสภาพเป็นอักขระฟ้าผ่าทอประกายสายฟ้าเป็นระลอก “ฟังไว้ให้ดี เคล็ดวิชา
‘อัสนีสวรรค์’ นั้นแบ่งออกเป็น เจ็ดขั้นใหญ่ แต่ละขั้นคือการเปิดประตูใหม่ของชีวิต เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดแผ่นดินทีละชั้น”
ขั้นที่หนึ่ง: ลมหายใจแห่งวรุณอัสนี ผู้ฝึกต้องผสานลมหายใจเข้ากับพลังแห่งฟ้า ฝึกควบคุมลมหายใจให้ยาว ช้า ลึก และหนักแน่นราวฟ้าคำรามในหุบเขา เมื่อสำเร็จจะสามารถเปิด “ชีพจรปราณสายฟ้า” ได้อย่างน้อย 9 จุดแรก และแปรพลังธรรมชาติให้ไหลเวียนภายในร่างได้ ประโยชน์: เพิ่มพลังฟื้นฟูภายในกาย ร่างกายเริ่มต้านพิษ ป้องกันลมปราณแปรปรวนจากโอสถผิดขนานได้
ขั้นที่สอง: ร่างแห่งเปลวอัสนี เมื่อชีพจรสายฟ้าเปิดครบ 36 จุด ร่างกายจะเริ่มกักเก็บพลังฟ้าผ่าในเส้นชีพจร กล้ามเนื้อและผิวหนังจะแข็งแกร่งราวแร่พิเศษ และสามารถปล่อยพลังสายฟ้าได้ในระยะสั้น ประโยชน์: ป้องกันอาวุธทั่วไปได้ พลังโจมตีฟาดออกคล้ายเสียงฟ้าร้อง เป็นรากฐานในการวาดยันต์ด้วยพลังปราณ
ขั้นที่สาม: จิตฟ้าฟาด จิตสำนึกของผู้ฝึกจะเชื่อมกับพลังแห่งสายฟ้าในชั้นฟ้า เมื่อใช้พลังจิตเคลื่อนปราณจะรุนแรงดั่งสายฟ้าที่พุ่งทะลวงภูผา สามารถสร้างอักขระฟ้าผ่า วาดยันต์ควบคุมพลังฟ้า-ดิน และตั้งแกนพลังค่ายกลฟ้าผ่าได้ ประโยชน์: เริ่มสร้างค่ายกลได้, เขียนยันต์ที่ควบคุมพลังจากธรรมชาติได้จริง, กำหนดเขตแดนรอบตัวให้ปลอดภัย
ขั้นที่สี่: กายอัสนีศิลา กายจะแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ มีพลังสายฟ้าแทรกอยู่ในไขกระดูกและโลหิต ผิวจะรับแรงกระแทกจากอาวุธวิญญาณได้โดยตรง และไม่สะทกสะท้านต่อเพลิงอัคคีหรือพิษบางระดับ ประโยชน์: หลอมอาวุธด้วยมือเปล่าได้ (ใช้ปราณฟ้าระเบิดแร่โลหะ), สามารถรับกระบี่วิญญาณโดยไม่ต้องมีเครื่องป้องกัน
ขั้นที่ห้า: เสียงสั่งอสูร เมื่อพลังฟ้าในร่างกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจิต วิญญาณของผู้ฝึกจะเปล่งคลื่นที่สัตว์อสูรรับรู้ได้ และยอมจำนนโดยสัญชาตญาณ ผู้ฝึกสามารถเข้าสู่จิตอสูร ปรับสมดุลพลัง ทำพันธสัญญากับอสูรได้โดยไม่ต้องต่อสู้ ประโยชน์: เริ่มฝึกควบคุมสัตว์อสูรได้ระดับกลาง สูง, อสูรยอมรับด้วยคลื่นวิญญาณ ไม่ต้องบังคับด้วยโซ่หรือพิธีกรรม
ขั้นที่หก: คำสั่งสวรรค์ พลังสายฟ้าในกายจะเชื่อมต่อกับกฎของฟ้า สามารถก่อค่ายกลขนาดใหญ่ครอบเขตหลายลี้ สร้างข่ายพลังที่ป้องกันหรือทำลายได้ในพริบตา วาดยันต์กลางอากาศได้โดยไม่ต้องใช้น้ำหมึก เพียงใช้พลังจิตเป็นพู่กัน ประโยชน์: วาดยันต์ได้กลางสนามรบ, ปักค่ายกลจากระยะไกล, ใช้สายฟ้าเป็นคำสั่งเหนือภูมิประเทศ
ขั้นที่เจ็ด: วิญญาณแห่งอัสนีสวรรค์ วิชาถึงขั้นนี้ ผู้ฝึกจะไม่มีข้อจำกัดของมนุษย์อีกต่อไป สายฟ้าในกายรวมเข้ากับ “จิตสำนึกแห่งเต๋า” สามารถเคลื่อนที่ข้ามภูเขาด้วยหนึ่งจิต คำพูดหนึ่งคำเป็นสายฟ้า หนึ่งก้าวสั่นสะเทือนภูผา วิญญาณฟ้าและปฐพีจะโคจรรอบตน ประโยชน์: สั่งสายฟ้าฟาดได้ตามเจตจำนง, ผสานตนเข้ากับธรรมชาติ, เดินข้ามเขตแดนของความเป็นคนธรรมดา
ไป๋เหิงเทียนยกมือข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ กดนิ้วกลางลงบนอกของหลินเฉิน ทันใดนั้น ภาพลวงของร่างกายมนุษย์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จุดสว่างยี่สิบเจ็ดจุดลอยขึ้นจากเส้นลมปราณกลางอก ท้อง แขน ขา ลำแสงบางสีฟ้าเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นเข้าด้วยกันเป็นวงล้อแห่งพลัง “ดูให้ดี นี่คือ ‘วงลมปราณวงแรก’ เส้นทางลมปราณของผู้เริ่มฝึกที่ต้องเปิดให้ได้ภายในหนึ่งเดือน”
เขากวาดมือเบาๆ อากาศเบื้องหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวน แสดงภาพวิธีหายใจ การเคลื่อนปราณอย่างช้า การกดจุดกลางฝ่ามือ และการรวมจิตไว้ที่จุดตันเถียน “พลังยุทธ์ไม่ใช่เรื่องของกล้ามเนื้อ หากแต่เป็นศิลปะของ ‘การสอดประสานจิต-ลมหายใจ-ลมปราณ’ เจ้าเพียงต้องฝึกสามสิ่งให้พร้อมกัน ใจมั่นคง ลมหายใจยาว ปราณไม่แตกกระจาย”
หลินเฉินหลับตาลงทันที เขานั่งลงในท่าขัดสมาธิกลางมิตินั้น สูดลมหายใจลึก เพียงชั่วลมหายใจแรก เขาก็รับรู้ได้ถึง ‘แรงสะท้อน’ ที่ผุดขึ้นจากภายในร่าง คล้ายมีพลังดิบซุกซ่อนอยู่ในโพรงจิตของตนมานาน เพียงรอใครบางคนเปิดประตูให้ “ดี... ดีมาก”
“ตอนนี้ฟังเคล็ดที่สอง เมื่อเจ้าก้าวถึงขั้นที่หนึ่ง ข้าจะเริ่มถ่ายทอดกระบวนท่าจริง และจากนั้น เจ้าจึงจะสามารถฝึก ‘ยันต์เคลื่อนพลัง’, ‘ค่ายกลควบอสูร’ และ ‘โอสถเสริมชีพจร’ ได้โดยไม่ทำลายร่างกายตนเอง” มิติในใจค่อยๆ จางหาย ร่างของหลินเฉินกลับมายังเรือนไม้เล็กเดิม ขลุ่ยหยกยังวางอยู่บนผ้าขาว ตะเกียงน้ำมันยังไหวๆ อยู่ข้างผนัง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ในกายของเขา ขณะนี้ เริ่มมี ‘กระแสพลัง’ จางๆ เคลื่อนไหวช้าๆ ราวธารน้ำแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ หลินเฉินยกมือขึ้นทาบอก ไม่ใช่เพื่อจับชีพจร...แต่เพื่อสัมผัสสิ่งใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิด การเดินทางในฐานะศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่เพิ่งเริ่มต้น