การฝึกยุทธ์ที่แสนยากลำบากของหลินเฉิน

 ใต้ราตรีมืดมิด ผืนฟ้าปราศจากดวงดาว ถูกคลุมด้วยม่านเมฆหนาหนักที่บดบังแม้แสงจันทร์ให้เลือนราง เสียงสายลมโหยหวนพัดกระหน่ำดั่งเสียงขับขานของภูตพรายโบราณ สะท้อนก้องผ่านไผ่ที่โอนเอน ลู่ลมส่งเสียงครางราวเสียงวิญญาณร่ำไห้ในหุบเขาเร้นลับ

พลังแห่งฟ้าดินในยามค่ำคืนนี้ดูเหมือนกำลังไหลเวียนอย่างกระวนกระวาย บางสิ่งในความมืดดูคล้ายรอคอยจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงหลับใหลอันเนิ่นนาน ลมแรงกระแทกเรือนไม้เก่าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมขอบผา เสาไม้โยกเยกเอี้ยดอ้าด ฝาผนังบางส่วนแทบหลุดออกจากตะปูสนิม

 ภายในเรือนนั้นมีเพียงความเงียบงันลึกซึ้ง ราวกับโลกทั้งใบหยุดหายใจ หยุดเคลื่อนไหว ทุกอณูเต็มไปด้วยกลิ่นของควันไม้เก่า ผสมกลิ่นโลหิตอ่อนๆ ที่แฝงอยู่ในอากาศ กลางห้องที่ไร้เครื่องเรือนใดๆ มีเพียงผืนเสื่อปูบนพื้นไม้ ร่างของหลินเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในท่ามั่นคง ดวงตาหลับแน่น ลมหายใจช้าแต่หนักแน่น

เสื้อผ้าบนร่างชุ่มเหงื่อจนแนบลำตัว ผมยาวชื้นเหงื่อหล่นปรกใบหน้าซูบซีดที่เต็มไปด้วยรอยบาดเล็กๆ จากแรงลมปราณที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน เบื้องหน้าของเขา… คือ แผ่นยันต์สายฟ้าสลักด้วยโลหิตสดของตนเอง

 ลายอักขระโบราณบิดเบี้ยวราวจะดิ้นอยู่บนกระดาษ มันสั่นไหวเล็กน้อยในทุกครั้งที่พลังในตัวหลินเฉินแตะต้องเข้าใกล้ เสียงสายฟ้าแหลมบางแว่วเบาในหู ยามลมปราณในร่างเขากระทบถึงขอบเขตหนึ่ง ขอบเขตแห่งอันตราย พลังที่แล่นวนผ่านเส้นลมปราณคล้ายกับงูสายฟ้าหิวโหย มันเคลื่อนที่เร็วเกินควบคุม พริบตาเดียวกล้ามเนื้อทั่วร่างของหลินเฉินก็เกร็งแน่น ราวกับกระแสไฟฟ้ากำลังแผดเผาเส้นเลือดจากภายใน มือของเขากำหมัดแน่นจนข้อกระดูกขาวซีด

 เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดไหลซึม แผ่นยันต์สั่นแรงขึ้นทุกขณะ กลิ่นของอสนีบาตในอากาศยิ่งเข้มข้น ความร้อนที่แล่นผ่านจุดตันเถียนและกลางอกกำลังคุกคามหัวใจของเขา หากพลาดเพียงเสี้ยวเดียว พลังอัสนีอาจย้อนกลับมาทำลายลมหายใจของเขาให้หยุดลงตลอดกาล

หลินเฉินรู้ดี… ว่าครั้งนี้คือการพนันด้วยชีวิต “จงโคจรลมปราณจากจุดตันเถียนผ่านเส้นเยวี่ยอิน–ฝูไห่ แล้วชี้ตรงขึ้นสู่เส้นอิ๋งเซียงกลางอก! หากชักช้า พลังอัสนีจะสะสมจนระเบิด!” เสียงก้องของวิญญาณในขลุ่ยหยกดังกระชากจิตใจหลินเฉินจนเขาสะดุ้งสุดตัว

หยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดทั่วแผ่นหลัง มือของเขากำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือตนเอง เลือดซึมออกมาช้าๆ แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกเจ็บ ร่างกายของเขาสั่นระริกจากพลังที่กำลังไหลเวียนอย่างปั่นป่วนภายใน ลมปราณไม่ยอมผ่านจุดกลางอก หากแต่ย้อนกลับเข้าจุดตันเถียนจนเกิดความปวดร้าวราวมีหอกนับพันแทงสวนกลับเข้าในอวัยวะ

 “อั่ก !!” หลินเฉินกระอักเลือดคำใหญ่ โลหิตสีแดงเข้มพุ่งกระจายลงบนผืนพื้น ร่างของเขาทรุดฮวบลงทันที แต่แววตานั้นยังไม่ยอมพ่าย

"ข้า...ยังไม่พอ... ข้าจะฝึกให้ได้..." เขากัดฟันแน่น แม้เจ็บร้าวไปทั้งอก แม้ชีพจรจะเต้นผิดจังหวะ ทว่าในดวงใจกลับลุกโชนด้วยเปลวเพลิงที่ไม่อาจมอดดับ คืนแล้วคืนเล่า หลินเฉินฝึกฝนโดยไม่ยอมพัก ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แผ่นหลังตกระแหงจากพลังสายฟ้าที่ย้อนกลับทุกครั้งที่เขาควบคุมผิดพลาด เขาเคยช็อกคาที่ เคยสลบกลางค่ายกล เคยตื่นมาโดยพบว่าทั้งแขนขาชาไร้แรง แต่เขายังคงฝึก...

 “ความเจ็บปวดคือส่วนหนึ่งของพลัง ถ้าเจ้าทนไม่ได้ ก็อย่าแม้แต่จะคิดถือสายฟ้าไว้ในมือตน” เสียงจากขลุ่ยกดแน่นในใจ ในคืนหนึ่ง พายุฝนฟาดสายฟ้าลงยังยอดเขาไกลโพ้น หลินเฉินยืนเปลือยอกท่ามกลางลมแรง สายฟ้าที่แลบแปลบกลางฟ้าราวดาบฟ้าฟาดสะท้อนอยู่ในดวงตาเขา

“วันนี้... ข้าจะสำเร็จให้ได้!” เขานั่งกลางลานหิน โคจรลมปราณอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะฝืนบังคับ เขากลับ“รับ” พลังเข้าสู่ตน ร่างของเขาสั่นไหว แสงสายฟ้าแผ่ซ่านออกจากจุดกลางอก ก่อนที่ “เปรี้ยง!” เสียงดังสนั่นคล้ายฟ้าผ่าลงใจเขา ร่างของหลินเฉินสะดุ้งสุดแรง ก่อนจะนิ่งไป ร่างนั้นสิ้นสติ หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งลมหายใจ

แต่แล้วลมหายใจที่สองก็พลันพุ่งแรงขึ้น ดวงตาของหลินเฉินเบิกกว้าง รัศมีสีเงินสายฟ้าพลันแผ่กระจายออกจากผิวหนังทุกส่วน เขา... สำเร็จวิชาอัสนีสวรรค์ขั้นแรกแล้ว! แต่ร่างนั้นกลับฟุบลงทันที เลือดทะลักจากปาก เล็บนิ้วขาดหลุดจากการเกร็งกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ร่างกายบอบช้ำทุกส่วน กระดูกซี่โครงแตกร้าวหลายจุด แต่... ใจของเขายังแน่วแน่ “แม้ต้องแลกด้วยชีวิต... ข้าก็จะเดินบนเส้นทางนี้!”

 แสงอรุณแรกของวันเพิ่งพ้นขอบฟ้า แต่ร่างของหลินเฉินยังคงนอนนิ่งอยู่บนฟูกผ้าหยาบที่วางบนพื้นไม้ในเรือนเก่าหลังเดิม ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอแต่แผ่วเบา ใบหน้าไร้สีเลือด เปลือกตาบวมแดงบ่งบอกถึงคืนอันโหดร้ายที่เพิ่งผ่านพ้น ร่างกายที่ปกคลุมด้วยผ้าบางกลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ บาดแผล และกล้ามเนื้ออักเสบจากการฝึกวิชายุทธ์อย่างหักโหมเกินขีดจำกัดของมนุษย์

 แม้ภายนอกจะอ่อนแรงดุจผู้ป่วยใกล้สิ้นใจ แต่ภายในของเขากลับเปี่ยมด้วยพลังสายฟ้าที่ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาดุจสายลมแรกของพายุใหญ่ ลมปราณเคลื่อนไหลช้าๆ ราวกระแสน้ำใต้ดิน แต่มั่นคงและมีทิศทาง ความเงียบงันภายในเรือนนั้นไม่ได้น่าอึดอัดอีกต่อไป หากแต่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่ของชีวิต

หลินเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาที่เคยหม่นมัว บัดนี้เปล่งแสงวาบวับคล้ายอัสนีแลบในม่านเมฆ สายตาเขาแน่วแน่ หายใจเข้าและลุกขึ้นนั่ง แม้ทุกส่วนนั้นเจ็บระบมเหมือนร่างจะแตกสลาย เขาก็ไม่ส่งเสียงสักคำ “ข้าต้องรู้… ว่าวิชานี้ใช้ได้จริงหรือไม่” เขาไม่ได้พูดออกมา เพราะเขาไร้เสียง แต่คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในใจแรงกล้ายิ่งกว่าเสียงใดๆ ในนภา

เช้าวันนั้น เขาไม่บอกใคร ไม่ขออนุญาต ไม่แม้แต่เตรียมของใดๆ เขาเพียงเดินจากเรือนเก่าไปยังทางแคบที่ทอดยาวสู่ป่าอสูร ดินแดนต้องห้ามที่แม้แต่ศิษย์ระดับสูงยังต้องมีผู้ติดตาม หากจะก้าวเข้าสู่ด้านใน ทว่า...เขาไปเพียงลำพัง

 ป่าอสูรในช่วงฤดูไม้ผลิเต็มไปด้วยหมอกอ่อนที่คลี่คลุมพื้นดิน กลิ่นดินชื้น ผสานกลิ่นของเลือดสัตว์และเหงื่อของนักล่า มวลอากาศที่นี่ไม่เหมือนในเขตสำนัก หากหนักอึ้งและเต็มไปด้วยแรงกดดันทางพลังปราณอสูร หลินเฉินก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ กิ่งไม้บาดผิวหนังจนเลือดซิบ เท้าเปล่าก้าวย่ำดินที่เย็นชื้นจนข้อเท้าสั่นไหว

ร่างของเขายังไม่ฟื้นดี แต่จิตใจกลับเปล่งพลังเข้มแข็งเหนือกว่าที่เคยเป็นมา เสียงแตกดัง "กร๊อบ..." จากพุ่มไม้ข้างทาง หลินเฉินชะงัก สองตาเพ่งมองอย่างนิ่งเฉียบ แล้วสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดก็พุ่งทะยานออกมา “หมาป่าเขี้ยวดำ” ขนาดเท่าร่างคน วิ่งกดต่ำด้วยฝีเท้ารวดเร็ว ปากเต็มไปด้วยฟองคล้ายพิษ หลินเฉินไม่รอช้า ลมปราณสายฟ้าแล่นเข้าสู่ปลายแขนทันที

เสียง “เปรี๊ยะ!” ดังขึ้นในจังหวะที่หมัดเขาพุ่งออกไป กระแสสายฟ้าแปร่งแปร่งพุ่งตามกำปั้นไปกระแทกกลางขากรรไกรของหมาป่า ตัวมันกระเด็นไปกระแทกต้นไม้เสียงดังลั่น แต่ยังไม่ทันถอนหายใจ เสียงกรามขบฟัน และฝีเท้าหลายสิบคู่พุ่งเข้ามาจากรอบด้าน... “ฝูง...” สิบตัว? ไม่ สิบห้าตัว! หมาป่าเขี้ยวดำล้อมเขาไว้เป็นวงกลม ทุกตัวขู่คำราม พุ่งเข้าหาอย่างพร้อมเพรียง หลินเฉินสูดลมหายใจ เขาไม่มีโอสถ ไม่มีผู้ช่วย ไม่มีแม้แต่กระบี่ในมือ มีเพียงกำปั้น สองขา และพลังสายฟ้าที่ยังไม่มั่นคง เสียงคำรามดังสนั่น ฝูงหมาป่ารุมเข้ามา!

 เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น ฝูงหมาป่าเขี้ยวดำพุ่งเข้ามาพร้อมกันในจังหวะเดียว เงาของเขี้ยวเล็บซัดผ่านม่านหมอกราวฝนห่าใหญ่ หลินเฉินหมุนตัวหลบกรงเล็บตัวหนึ่ง ก่อนจะเตะสวนกลับไปเต็มแรงตรงซี่โครงอีกตัว เสียง “กระแทก!” ดังขึ้นพร้อมเสียงหอนเจ็บแสบ

ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ตัวถัดไปก็กระโจนใส่จากทางด้านหลัง เขาหมุนตัวฟาดศอกสวนกลับ กระแสพลังสายฟ้ากระตุกวูบตามเส้นแขน เปรี๊ยะ! ร่างหมาป่ากระตุกดิ้นล้มลงกับพื้นเป็นศพแรก ทว่าจำนวนยังมากกว่านั้นอีกมาก เขาถูกกัดเข้าที่แขนขวา เลือดไหลพุ่งในทันที

"อย่าหวั่น... จงควบคุมมัน!" เสียงจากขลุ่ยหยกดังกระตุกขึ้นในจิตของเขา หลินเฉินกัดฟัน ใช้แขนซ้ายฟาดเข้าใบหน้าหมาป่าที่เกาะแขนตนเองจนฟันหักหลุด มันทรุดลงไปคลาน เขาไม่รอให้มันตั้งตัวซ้ำ ใช้เท้าขวากระทืบเข้ากลางกะโหลก “ปัง!” เสียงแตกกระจายของกระดูกสะท้อนในหู เจ็บ…เหนื่อย…เลือดออก... แต่ยังไม่พอ! เขาเร่งหมุนลมปราณเข้าสู่จุดตันเถียน สายฟ้าแล่นเข้าสู่ฝ่ามือ เขากระแทกมันลงบนพื้นดิน “เปรี้ยง!” พลังระเบิดสายฟ้าแผ่เป็นวงคลื่น หมาป่าสองตัวถูกแรงกระแทกกระเด็นไถลไปไกล แต่แรงสะท้อนเองก็ทำให้เขาแทบทรุด ในใจเขายังแผดร้องคำเดียว “ข้าต้องรอด!”

 การต่อสู้ยืดเยื้อกว่าสิบห้านาที เขาล้มศัตรูลงทีละตัว ทุกครั้งที่เขาพลาด เขาจะถูกข่วน กัด หรือกระแทกจนร่างสะบักสะบอม ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยเล็บ เลือดซึมจากแผลนับไม่ถ้วน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ลมหายใจขาดช่วง จนในที่สุด บนพื้นดินมีเพียงเขา ยืนอยู่กลางวงศพของหมาป่ากว่า 10 ตัว แต่มิใช่ชัยชนะ หากคือ...การรอดชีวิต

หลินเฉินทรุดลงคุกเข่ากับพื้น มือท้าวดิน พ่นลมหายใจออกแรงอย่างสุดกำลัง แขนขาหมดเรี่ยวแรงจะยกขึ้นอีก “...เจ้ารอดมาได้ด้วยจิต ไม่ใช่แค่พลัง” เสียงจากขลุ่ยหยกยังดังอยู่ในใจ แต่ครั้งนี้… อ่อนโยนกว่าทุกครา

เขาฝืนยกตัวขึ้น ลากขากลับทางเดิม ฝ่าความมืดและสายลมยามเย็นโดยไร้ สติสัมปชัญญะ เหงื่อเย็นผสมเลือดไหลอาบสองแก้ม หนึ่งก้าว… สองก้าว… สายตาพร่ามัว ร่างโงนเงนใกล้ล้ม แต่ก่อนร่างจะทรุดลง แสงจากกระโจมไฟเล็กๆ ที่หน้าสำนักหั่วอวิ๋นก็ค่อยๆปรากฏอยู่ไกลลิบ เขารอดแล้ว หลินเฉินทรุดลงหน้าทางเข้าด้านข้างสำนักพอดิบพอดี ก่อนสติจะดับวูบลง ทิ้งไว้เพียงลมหายใจรวยริน และจิตใจที่ยังเปี่ยมด้วยเปลวไฟ