เสียงของอัสนี ฟ้าฟาดกลางจิตวิญญาณ

 เสียงฟ้าร้องในห้วงฝันมิใช่เพียงเสียงกัมปนาทแห่งธรรมชาติ หากแต่เป็นเสียงแห่งชะตาฟ้าลิขิตที่กู่ร้องเรียกผู้หนึ่งให้ตื่นขึ้นจากความเงียบงันของความเป็นและความตาย เสียงนั้นดังก้องสะท้อนอยู่ในก้นบึ้งของสติราวกับจะปลุกเร้าหัวใจให้ลุกเป็นเปลวเพลิงอีกครั้ง ร่างของหลินเฉินนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนฟูกหยาบภายในห้องพำนักเล็กๆ ของ สำนักหั่วอวิ๋น แสงตะวันยามเช้าสาดลอดบานหน้าต่างไม้มาแตะปลายเท้าเขาอย่างแผ่วเบา กระนั้นใบหน้าเขากลับซีดเซียวปราศจากสีเลือด ดวงตาปิดแน่น เส้นเลือดรอบขมับเต้นอ่อนราวจะดับลงในทุกห้วงลมหายใจ แม้ลมหายใจยังไม่ขาด แต่กลับแผ่วเบาเสียจนแทบไม่รู้ว่าชีวิตยังอยู่หรือจากไปแล้ว

 ชีพจรของเขาเต้นช้าและบางเฉียบดั่งใบไม้แห้งที่ถูกลมหนาวพัดปลิวไหว อ่อนแอจนเกือบจะขาดสูญในทุกวินาที กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปริแตกราวเส้นใยที่ถูกฉีกขาดจากภายใน เส้นลมปราณถูกยืดและกระแทกจากพลังอัสนีที่ไหลย้อนอย่างไม่เป็นระเบียบ ความร้อนจากปราณสายฟ้ายังหลงเหลืออยู่ทุกอณู ราวกับเถาวัลย์ดิบที่พันแน่นและดิ้นพล่านอยู่ภายใต้ผิวหนังของเขา เสี้ยววินาทีใดที่ควบคุมพลาด พลังนั้นอาจกัดกินตนเองจนสูญสิ้นทั้งร่างและจิต แต่ในห้วงลึกสุดของจิตใจ ในที่ซึ่งแม้แสงสว่างยังไม่อาจส่องถึง พายุสายฟ้ากำลังบังเกิด รอคอยเวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อจะโหมกระหน่ำออกมา และแล้ว ท่ามกลางความ มืดมิดแห่งจิตสำนึก ท่ามกลางห้วงเวลาที่สิ่งใดๆ ล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หยาดแสงบางเบาดุจหยดน้ำบนใบไม้ยามรุ่งสางพลันปรากฏขึ้นกลางเวิ้งนภา มันคือสายฟ้า หยาดสายฟ้านั้นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ราวกับสวรรค์กำลังหายใจเข้าช้าๆ เพื่อรอปลดปล่อยแรงแห่งเต๋า 

 เปรี้ยง!!” แสงฟ้าผ่าฟาดลงอย่างฉับพลัน แหวกผ่านม่านมืดในห้วงจิตของหลินเฉินอย่างไร้ความปรานี แรงฟาดนั้นมิได้เกิดจากเบื้องบน หากแต่เป็นฟ้าที่ฟาดตนเองจากภายใน โลกในห้วงจิตของเขาสั่นสะเทือนคล้ายภูผาพังทลาย เปลวอัสนีแล่นกระแทกกลางจิตดั่งฆ้องสวรรค์ที่ถูกตีอย่างรุนแรง ในขณะนั้นเอง ทุกอย่างรอบตัวเขาก็หยุดนิ่ง แสงสว่างนั้นได้เริ่มต้นบางสิ่ง… และไม่มีทางถอยกลับได้อีกต่อไป

 ห้วงจิตของหลินเฉินถูกฉีกเปิดออกฉับพลัน ดั่งม่านบางแห่งความจริงที่ถูกกระชากจนขาดสะบั้น ภาพเบื้องหน้าพลิกเปลี่ยนจากความว่างเปล่าไปเป็นภูมิทัศน์อันประหลาด ที่ซึ่งเวลาไม่อาจไหลเวียน และกฎของสวรรค์มิอาจสัมผัสถึง มันคือแดนไร้กาลท้องฟ้าเบื้องบนดำสนิทคล้ายหมึกเข้มที่ไร้ดาว แม้ไม่มีแสงอาทิตย์

แต่ทั่วทั้งฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเส้นสายของฟ้าผ่าที่แล่นวูบวาบไม่หยุดยั้ง แต่ละสายสาดฟาดลงมาจากขอบฟ้าเสมือนเทพอัสนีกำลังโบยบิน แยกพสุธาออกเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน พื้นดินเบื้องล่างแตกระแหง ราวกับครั้งหนึ่งเคยเป็นผืนโลกที่สวรรค์ลงโทษ และบัดนี้ก็ถูกพิพากษาอีกครั้ง ด้วยแรงของฟ้าฟาดไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางความพินาศนั้น มีเพียงหนึ่งจุด ที่แสงเรืองรองไม่ถูกทำลาย แท่นหินโบราณสีเทาเก่าแก่ ยืนตระหง่านท่ามกลางลมอัสนี และเหนือแท่นหินนั้น ขลุ่ยหยกสีขาวลอยนิ่ง

แม้ลำแสงสายฟ้าจะล้อมรอบ แต่มันกลับเปล่งแสงจางๆ อย่างสงบ เป็นแสงที่ไม่เรืองรองด้วยอำนาจ หากเรืองรองด้วยความทรงจำ เสียงหนึ่งแว่วขึ้นจากทุกทิศ เหมือนสวรรค์เองเป็นผู้กล่าว แฝงไว้ด้วยพลังแห่งเมตตาและเด็ดขาดในคราเดียวกัน “เจ้ายังอ่อนแอเกินไป..” “แต่ใจเจ้า..ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา” มันคือเสียงของไป๋เหิงเทียน อาจารย์ผู้ล่วงลับที่ยังผูกวิญญาณกับขลุ่ยหยก คำพูดของเขาไม่ใช่คำเตือน หากเป็นคำทดสอบ เป็นคำปลุกเร้าที่ดังก้องในใจของหลินเฉิน ราวกับคำพิพากษาที่ไม่อาจหลีกหนี “ถ้าเจ้ากล้าจะข้ามขอบเขตของมนุษย์” “จงยอมให้สายฟ้าทำลายเจ้าก่อน!” และในวินาทีนั้น ฟากฟ้าที่มืดมนก็สว่างวาบขึ้นฉับพลัน ลำแสงฟ้าผ่าสีเงินเจิดจ้า เส้นหนึ่งแล่นผ่านม่านฟ้าอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่ฟ้าผ่าธรรมดา... หากคือสายอัสนีแห่งการทดสอบ คือคมดาบแห่งเต๋าที่พร้อมฟาดฟันวิญญาณทุกดวงที่อ่อนแอ มันพุ่งตรงลงมายังหัวใจของหลินเฉินด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้ง ไม่มีเวลาให้ตั้งรับ ไม่มีแม้โอกาสให้เขาหลบหนี ไม่มีค่ายกล ไม่มียันต์ ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ เขาต้องยอมรับมันโดยไม่หลีกหนีแม้ก้าวเดียว

 เขา…ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าดุจห้วงสูญนิรันดร์ มือทั้งสองข้างยกขึ้นประสานกันแนบชิดกลางอก ดวงตาหลับพริ้ม เปลือกตานั้นสะท้อนความสงบนิ่งเฉกเช่นสายน้ำที่ไร้คลื่น กระแสลมหายใจที่เคยพลุ่งพล่านกลับกลายเป็นเบาบางจนน่ากลัว ในขณะที่สายฟ้าเส้นยักษ์ค่อยๆ ก่อตัวเหนือศีรษะ ราวกับอัสนีแห่งสวรรค์กำลังตัดสินชะตา เปรี้ยง!! เสียงฟาดของสายฟ้าดังลั่นสะเทือนเลื่อนลั่นสู่ทุกอณูของจิตวิญญาณ คล้ายฟาดฟันไม่เพียงกาย แต่ยังทะลวงลึกเข้าไปถึงห้วงจิต เสียงนั้นไม่ใช่แค่ได้ยินจากหู แต่มันดังก้องอยู่ในหัวใจ ดังก้องในสติรับรู้ของเขา ภาพของ “ตัวเขา” ปรากฏซ้อนขึ้นท่ามกลางสายฟ้า ก่อนที่จะแตกสลายลงเป็นเสี่ยงแสงนับพันราวเศษกระจกวิญญาณที่ลอยกระจายไปทั่ว

 ปราณในร่างเริ่มแปรเปลี่ยน มันมิได้เพียงปั่นป่วน หากแต่ไหลย้อนกลับอย่างรุนแรงปานกระแสน้ำเชี่ยวที่ย้อนขึ้นสู่ยอดเขา ทุกจุดชีพจรในร่าง จากจุดเล็กจุดน้อยที่ไม่เคยรับรู้ถึง ถูกกระแทกเปิดขึ้นทีละจุด ทีละวง แต่ละชั้นประหนึ่งประตูมรรคาที่ปิดตายมายาวนานถูกเปิดอ้าออกอย่างไร้ความปรานี จากเก้า → สามสิบหก แปดสิบเอ็ด จุดชีพจรระเบิดเปิดดั่งคลื่นพลังที่ถาโถมเข้าสู่กายเนื้อ เส้นปราณแตกแขนง ลึกลงไปสู่กระดูก... แล้วกระจายต่อไปยังโลหิตที่ไหลเวียนทั่วร่าง เลือดทุกหยดสั่นสะเทือนด้วยพลังอันลี้ลับ กระทั่งซึมซาบเข้าสู่จิต แล้วจิตของเขาก็แตกร้าว... มันแตกราวกับกระจกบางใสที่ถูกจี้ด้วยปลายเข็ม ก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่กลับไม่สลายหายไป

 ทว่าแสงแห่งจิตกลับค่อยๆ หลอมรวมอีกครั้ง เสี่ยงที่แตกหลอมรวมกันเป็นผลึก... ผลึกแห่งจิตสำนึกซึ่งบริสุทธิ์จนขาวราวฟ้าโปร่งในฤดูหนาว บริสุทธิ์จนดูราวไม่มีที่สิ้นสุด ในห้วงแห่งการตื่นรู้ ร่างของหลินเฉินค่อยๆ จางหายไปจากความเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพียงสายฟ้าสว่างวาบ บริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ และทรงพลัง ขลุ่ยหยกที่เคยเงียบงันลอยละล่องเข้ามาแนบอกของเขาอย่างช้าๆ ราวกับได้รับสัญญาณแห่งการตื่นบรรลุ เสียงใดๆ หายไปหมด เหลือเพียงความเงียบที่หนักแน่น ความเงียบของการเริ่มต้นใหม่

 ทันใดนั้น สายฟ้าฟาดอีกสายหนึ่งพุ่งจากท้องฟ้า ร่างของเขาหายไป… พร้อมเสียงคำรามของสวรรค์ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งในโลกจริง ร่างกายของเขาแผ่รังสีสายฟ้าจางๆ ลมหายใจหนักแน่นกว่าครั้งใด เส้นผมพลิ้วไหวตามแรงของพลังปราณที่แผ่จากจุดตันเถียน จิตของเขาเงียบสงบ และแน่วแน่ หลินเฉิน ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขต “หลอมกายาขั้นที่ 7” แล้ว ข้ามขั้นไป 4 ขั้น ของระดับพลังยุทธ์หลอมกายาที่เคยฝึกฝน แม้ยังอ่อนแรงจากบาดแผลภายนอกแต่ภายในกลับเข้มแข็งราวผนึกอัสนี

 เสียงของไป๋เหิงเทียนแว่วอีกครั้งในจิต “เจ้าข้ามขอบเขตแล้ว… ถึงเวลาเริ่มต้นขั้นที่สองของ ‘อัสนีสวรรค์’” เขานั่งลงอีกครั้ง ลมหายใจเข้าสู่ภาวะนิ่งลึก เปลวสายฟ้าเริ่มโคจรในเส้นลมปราณระดับลึก เส้นชีพจร 36 จุดเริ่มตื่นขึ้นพร้อมกัน ผิวหนังเริ่มเหนียวแน่น กล้ามเนื้อกระชับดั่งเส้นเหล็กที่พันด้วยเปลวเพลิง และทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว… จะมีประกายสายฟ้าแวบออกตามรอยฝ่ามือ เท้า และจุดชีพจรหลัก เคล็ดวิชาอัสนีสวรรค์ ขั้นที่สอง: “ร่างแห่งเปลวอัสนี”... เริ่มแล้ว เขายืนขึ้น ลองเคลื่อนไหวเบาๆ ในลานว่าง เสียง “เปรี๊ยะ” เล็กๆ ดังทุกครั้งที่เขาออกหมัดหรือย่ำเท้า เสื้อผ้าบางส่วนไหม้จากพลังสายฟ้าที่แทรกออก แต่เขาไม่ใส่ใจ ดวงตายังคงจ้องตรงไปข้างหน้า “ยังมีอีกห้าขั้นที่ข้าต้องฝ่าฟัน…”“...และข้าจะไม่หยุดจนกว่าเสียงของข้า... จะสั่นสะเทือนสวรรค์”

 เสียงลมหายใจของหลินเฉินแผ่วบางลงทุกขณะ แม้ดวงตาจะเปิดอยู่ แต่สติกลับเหมือนล่องลอยอยู่ในพายุฝันที่ไม่มีจุดสิ้นสุด สายฟ้ายังไหลวนในร่าง... มิใช่เพียงพลัง หากเป็นดั่งงูอัสนีที่ไร้กรอบ ไร้ขอบเขต ทุกก้าวของการฝึก “ร่างแห่งเปลวอัสนี” คือการเผาผลาญตนเอง สามวันหลังข้ามขั้น เขาแยกตัวอยู่ลำพังในถ้ำเก่าเหนือหน้าผา ถ้ำนี้มีเพียงก้อนหิน หยดน้ำผนัง และกลิ่นไอของความตายจากสัตว์ที่เคยมาสิ้นลม หลินเฉินปิดปากถ้ำด้วยหินหนักเพื่อมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวน เพราะหากผิดพลาด... เขาอาจระเบิดร่างตนเองตายได้ทันที

 เขานั่งขัดสมาธิ ลมหายใจยาวแต่ร้อนดั่งเปลวเพลิง มือทั้งสองวางบนเข่า แผ่พลังเข้าไปที่จุดชีพจรทั้ง 36 จุด แต่อะไรบางอย่างผิดพลาด... พลังสายฟ้าไม่ยอมเชื่อฟัง มันวิ่งวกวนคล้ายอสรพิษบ้าคลั่ง แทรกผ่านกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอย่างไร้ทิศ “อ๊าาา!!” เสียงกรีดร้องในใจดังกึกก้อง ร่างกายบิดเกร็งทุกสัดส่วน กล้ามเนื้อแตกระเบิดเป็นริ้ว ไอโลหิตซึมผ่านรูขุมขน ลำแขนของเขาไหม้เกรียมตั้งแต่ข้อศอกถึงนิ้ว แต่หลินเฉินไม่หยุด เขาเคยผ่านความตาย... และเขาเลือกจะไม่หนีอีก “ต้องรวมสายฟ้า... กับลมหายใจ…” เขากัดฟันแน่นจนฟันแทบแตก เสียงของไป๋เหิงเทียนแว่วมาในจิตอีกครั้ง “สายฟ้าคือเจตจำนงจากฟ้า… เจ้าไม่สามารถบังคับมันได้ ต้องให้มันยอมรับเจ้า!”

 ทันใดนั้น เขาหยุดบังคับปราณ แล้ว... “เปิดใจ” สายฟ้าพุ่งเข้าสู่จิตโดยตรง! ภาพในจิตของเขากลายเป็นเวิ้งโล่งเวิ้งว่าง มีสายฟ้านับร้อยฟาดใส่เขาพร้อมกันแต่เขาไม่หลบ ไม่ต้าน... เขา “ยอมรับ” เสียงกรีดร้องที่ไร้เสียงดังขึ้นในห้วงจิต ร่างกายของเขาลุกไหม้ในเปลวสายฟ้า เลือดระเหยเป็นไอ กระดูกแตกร้าว ลมหายใจหยุดไปราวครึ่งชั่วยาม แต่แล้ว…ท่ามกลางไฟอัสนี “ครืน...” จุด ชีพจรที่ 36 ถูกเปิดพร้อมกัน เสียงดังกึกก้องในกายคล้ายฟ้าร้อง! กล้ามเนื้อของเขาเริ่มแข็งดั่งแร่ ผิวเริ่มมีลวดลายสายฟ้าจางๆ ซึมออก แสงสีฟ้าซ่านจากผิวหนัง แทรกผ่านกล้ามเนื้อทุกส่วน เปลวอัสนีปะทุขึ้นรอบตัว ไม่ใช่เพลิงธรรมดา หากเป็นเพลิงสายฟ้าที่ไม่อาจมองตรงได้!

 วันนั้น สายฟ้าภายนอกผ่าฟ้าเจ็ดครั้งติดต่อกันสำนักหั่วอวิ๋นเรียกมันว่า “ฟ้าประทานนิมิต” แต่ไม่มีใครรู้ว่า ภายในถ้ำแคบๆ เหนือหน้าผา มีชายหนุ่มร่างไหม้เกรียมนั่งนิ่งท่ามกลางไฟสายฟ้า เขาไม่ร้อง ไม่หลบ ไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เขาได้กลายเป็น “ร่างแห่งเปลวอัสนี” อย่างสมบูรณ์ รุ่งสางวันที่เจ็ด เงาร่างหนึ่งเดินออกจากถ้ำ ร่างนั้นผ่ายผอม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่แววตาเปล่งรัศมีอัสนี ดวงจิตนิ่งสงบเหนือคนธรรมดา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า… มือขวายกขึ้นช้าๆ “เปรี้ยง!” สายฟ้าสายหนึ่งแล่นจากปลายนิ้วสู่ก้อนหินเบื้องหน้า หินระเบิดทันที! หลินเฉินยืนนิ่ง… เหงื่อไหลเป็นสาย โลหิตซึมจากปลายนิ้ว แต่ริมฝีปากเขาแม้ไร้เสียง ก็เหมือนจะกล่าวคำหนึ่งในใจ “ข้า...ยังไม่ถึงขีดสุด”