ศึกใต้หล้าสะท้านสำนัก

 เสียงฆ้องดังกังวานสะท้อนไปทั่วบริเวณลานประลองของสำนักหั่วอวิ๋น ดังกึกก้องราวสายฟ้าที่ผ่ากลางเวหา เสียงกระเพื่อมของฆ้องสะท้อนก้องไปจนถึงยอดเขาหวังซานที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ราวกับเป็นสัญญาณปลุกปลั่นทั่วทั้งขุนเขาให้ตื่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน เปลวแดดยามสายที่อบอุ่นแต่ไม่อ่อนแรง สาดแสงส่องลงมาเป็นสายบนเวทีหินกลมขนาดใหญ่กลางลานประลอง เส้นแสงเหล่านั้นทอประกายบนพื้นเวทีราวกับแสงของดาบนับร้อยเล่มที่ขานรับศึกอันกำลังจะเริ่มขึ้น บริเวณโดยรอบลานประลองเต็มไปด้วยผู้คน เหล่าศิษย์จากทุกระดับขั้นต่างหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย บ้างยืนเบียดเสียดอยู่บนระเบียงเรือนสูงชั้นต่างๆ ของอาคาร โดยรอบ บ้างนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินขนาดใหญ่ที่จัดวางเป็นชั้นลดหลั่นลงมาเหมือนอัฒจันทร์ บ้างถึงกับปีนขึ้นไปยังต้นไม้สูงเพื่อหามุมมองที่ชัดเจนกว่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก คาดหวัง และแรงกดดันในเวลาเดียวกัน เสียงพูดคุยจอแจดังเป็นระลอก พร้อมเสียงลมหายใจที่เก็บกลั้นไม่ให้ดังเกินไป เพราะไม่มีใครอยากพลาดแม้แต่เสี้ยววินาทีของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 วันนี้คือวันสำคัญยิ่ง วันเริ่มต้นของ “ศึกประลองประจำปีแห่งสำนักหั่วอวิ๋น” การแข่งขันที่ไม่ได้เป็นเพียงเวทีสำหรับแสดงฝีมือเชิงยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีแห่งเกียรติยศ ที่จะตัดสินว่าใครคู่ควรแก่การได้รับการยอมรับจากสายตาของอาจารย์ใหญ่ ผู้เฒ่าอาวุโส และเหล่าผู้นำสายวิชาทั้งหลาย ทุกกระบวนท่า ทุกหยาดเหงื่อ ทุกจังหวะหายใจ ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถกำหนดชะตาของศิษย์แต่ละคนได้อย่างแท้จริง ผู้ใดสามารถฝ่าฟันและยืนหยัดไปถึงรอบสุดท้ายได้ จะได้รับไม่เพียงแค่คำยกย่อง แต่ยังได้รับโอกาสล้ำค่าที่อาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตไปตลอดกาล บางคนอาจได้เข้าสู่การฝึกฝนสายลับเฉพาะของอาจารย์ผู้เรืองวิชา บางคนอาจได้สิทธิ์เข้าไปในหอคัมภีร์ลับ หรือแม้กระทั่งได้รับของวิเศษที่ตกทอดจากสมัยโบราณ ท่ามกลางเหล่าผู้เข้าแข่งขันหลายสิบคนที่ยืนอยู่เรียงรายในชุดประลองสีเข้มสะท้อนแสงแดด บนเวทีนั้นมีหนึ่งร่างที่ดูแปลกแยกออกไป ร่างซูบผอมในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นซีดซึ่งแตกต่างจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมประลองอย่างเต็มยศ เขายืนอยู่เงียบๆ ที่ด้านหลังสุดของเวที หากไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่มคู่นั้นนิ่งเฉย เย็นชา ราวผืนน้ำในบ่อโบราณที่ไม่ไหวติงมาแรมปี แต่หากมองลึกลงไปในแววตาคู่นั้น จะพบกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ภายใน เป็นเปลวเพลิงที่ไม่อาจมอดดับได้ด้วยสายลมแห่งคำดูถูกเหยียดหยาม หรือพายุแห่งความสิ้นหวัง เขาคือ “หลินเฉิน” เด็กหนุ่มผู้ไร้ชื่อเสียง ไร้พื้นเพ และไร้เสียงในสายตาใครหลายคน แต่วันนี้...เขามิได้มาที่นี่เพื่อยืนอยู่ข้างหลังอีกต่อไป

 “หลินเฉิน... เด็กบ่าวคนนั้นก็กล้าเข้าร่วมด้วยหรือ?” เสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความดูแคลนดังมาจากกลุ่มศิษย์ที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ใต้เงาเสาศิลา พวกเขาแต่ละคนล้วนสวมชุดคลุมของศิษย์สายนอกอย่างเรียบร้อย สีหน้าพวกเขาฉายชัดถึงความไม่เชื่อและเย้ยหยัน ราวกับชื่อ “หลินเฉิน” ที่พวกเขาเอ่ยนั้นไม่คู่ควรจะกล่าวออกมาในลานประลองอันทรงเกียรตินี้ “เขาคงคิดจะอาศัยดวงแบบตอนสอบโอสถอีกครั้งล่ะมั้ง...” อีกเสียงหนึ่งต่อความ พลางหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ดังนัก แต่แฝงไปด้วยความหยิ่งยโส ราวกับพวกเขาได้ตัดสินชะตากรรมของหลินเฉินไว้ล่วงหน้าแล้ว ทว่าเจ้าของชื่อซึ่งตกเป็นเป้าหมายของเสียงนินทานั้นกลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดเลย หลินเฉินยังคงยืนอยู่ในที่ของตนอย่างสงบนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันศีรษะไปทางเสียงที่ซุบซิบเหล่านั้น แผ่นหลังของเขาตรงแน่ว ราวกับเสาหินที่ไม่หวั่นไหวต่อสายลมหรือเสียงรบกวนใดๆ สำหรับเขา

 คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่าน ทะลุผ่านเข้าไปในหูข้างหนึ่งแล้วไหลออกอีกข้างหนึ่งโดยไม่หลงเหลือร่องรอย เขาไม่ต้องการเสียเวลาให้กับคำดูแคลน ไม่ต้องการแบ่งพลังใจให้กับการโต้แย้งหรืออธิบายอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เขากำไว้แน่นในมือไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่หอก ไม่ใช่อาวุธอันใดที่จะใช้อวดศักดาในลานประลองแห่งนี้ หากแต่เป็นขลุ่ยหยกชิ้นหนึ่ง ขลุ่ยเรียบเนียนที่เขามักจะเก็บไว้แนบอกเสมอ แม้มันจะดูไม่เข้ากับบรรยากาศแห่งการแข่งขันอันดุเดือด แต่สำหรับหลินเฉินแล้ว ขลุ่ยนี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุด มันคือเสียงแห่งความหวัง... เสียงแห่งครูผู้ไร้นาม ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยยื่นมือมาดึงเขาขึ้นจากความมืดมนในวัยเยาว์ ผู้ที่ไม่เคยถามถึงชาติกำเนิด ไม่เคยตัดสินว่าเขาเป็นเพียงเด็กบ่าว ผู้ที่เพียงรับฟังเสียงแห่งจิตใจของเขา และนำพาเขาก้าวข้ามคืนวันที่ไร้แสงดาว ท่วงทำนองจากขลุ่ยหยกชิ้นนี้ ไม่เพียงแต่ซ่อนพลังลับที่ถ่ายทอดมาจากวิญญาณแห่งปราชญ์ หากยังสะท้อนถึงเส้นทางชีวิตที่หลินเฉินต้องฝ่าฟัน ความเจ็บปวด การสูญเสีย ความอดทน และความตั้งมั่น เขาจับขลุ่ยนั้นแนบแน่นราวกับกำลังยึดมั่นในคำสัญญาบางอย่าง ไม่ใช่เพื่อตอบโต้คำเหยียดหยาม ไม่ใช่เพียงเพื่อชัยชนะ แต่เพื่อพิสูจน์ว่า แม้ไร้เสียง... เขาก็มีสิทธิ์จะฝัน และเดินบนเส้นทางของผู้กล้าได้เช่นกัน

 รอบแรก ประกายแรกแห่งอัสนี เสียงฆ้องอันหนักหน่วงดังกึกก้องสะท้านกลางลานประลอง ฝุ่นละอองละมุนลอยขึ้นปกคลุมทั่วพื้นเวทีเป็นเมฆจางๆ ราวกับกำลังเตือนว่าความโหดร้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ศิษย์ตระกูลซ่งร่างกำยำก้าวขึ้นอย่างมั่นคง ดวงตาเปล่งประกายดุดัน กล้ามแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักลายเกล็ดอสรพิษพันรอบอย่างน่าขนลุก เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความโหดเหี้ยม เสื้อคลุมสีแดงเพลิงของเขาโบกสะบัดท้าทายลมทุกย่างก้าว มือขวาของเขากระชับกระบี่ทองแดงยาวที่สะท้อนแสงแดดจนเหมือนเปลวเพลิงที่สาดแสงกระจายไปทั่วบริเวณ “เจ้ามันก็แค่ศิษย์ขัดหม้อโอสถ ยังกล้ามาเหยียบเวทีเดียวกับข้าอีกหรือ?” น้ำเสียงเย้ยหยันของเขาฉายชัดราวกับสายฟ้าฟาด เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องเหมือนฟ้าร้องสร้างความหวั่นเกรงในใจผู้ชม หลินเฉินยืนนิ่งสงบ ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ รอยเขม่าควันจากการปรุงโอสถเมื่อคืนยังติดอยู่บนชุดผ้าฝ้ายเก่าหม่นซึ่งบ่งบอกถึงความลำบากและความอดทนที่ผ่านมากว่าคนอื่น

 ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะที่กระจายรอบเวที เขาไม่ตอบโต้ เพียงโน้มตัวลงอย่างใจเย็น มือขวาแตะปลายขลุ่ยหยกที่เหน็บไว้ข้างเอวเบาๆ กลิ่นสมุนไพรอันอ่อนโยนลอยออกมาอย่างช้าๆ จนคล้ายหมอกสีเขียวที่ล่องลอยในยามรุ่งสาง เสียงขลุ่ยหยกนั้นดังแว่วในห้วงสำนึก ไม่ใช่เสียงดนตรีที่จับต้องได้ หากแต่เป็นเสียงของปราชญ์โบราณผู้ไร้รูปลักษณ์ เสียงนั้นซ่อนความลึกซึ้งและความรู้ที่แท้จริงของธรรมชาติ “อย่าใช้แรงสู้... ใช้จังหวะ ร่างกายเจ้าคือโอสถที่กลั่นแล้ว และพลังสายฟ้า… ก็หลอมจากความนิ่งเงียบก่อนฟ้าร้อง” คำสอนนี้ก้องกังวานในจิตใจของหลินเฉิน เขารู้ดีว่าการประลองในวันนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของกำลัง แต่มันคือศิลปะแห่งการควบคุมจังหวะและการใช้พลังที่แท้จริง ดวงตาของเขาเริ่มประกายแสงเย็นเฉียบอย่างเงียบงัน เหมือนกับสายฟ้าที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เขาจะต้องผ่านบททดสอบแรกด้วยความเด็ดขาดและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความตึงเครียดและความรุนแรงในบรรยากาศลอยอยู่เต็มเวที ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างก็กลั้นหายใจ รอคอยการระเบิดพลังอันดุเดือดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในไม่ช้า...

 ศิษย์ตระกูลซ่ง ซ่งชิงหยางไม่รีรอ เขากระโจนพุ่งเข้าหาหลินเฉินอย่างรวดเร็วและดุดัน กระบี่ทองแดงในมือแหวกอากาศเป็นเส้นตรงด้วยความเร็วราวกับอสรพิษที่พร้อมจะโจมตีเหยื่ออย่างแม่นยำและโหดเหี้ยม ปลายกระบี่เล่มยาวส่องแสงแวววาวเหมือนสายฟ้าที่พุ่งทะลวงท้องฟ้ากลางพายุ หลินเฉินยังคงนิ่งสงบ ดวงตาของเขาเย็นชาและนิ่งสนิทเหมือนกับนักบวชผู้เฝ้าวัดชีพจรแห่งชีวิตของศัตรู เขาไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ราวกับกำลังอ่านจังหวะลมหายใจและความเคลื่อนไหวทุกอย่างด้วยสายตาเปล่า ในเสี้ยววินาทีที่ลมหายใจขาดห้วง หนึ่งกระบวนท่าที่เต็มไปด้วยความละเอียดและแม่นยำปรากฏขึ้น ร่างของหลินเฉินพลิ้วหลบออกด้านข้างด้วยความคล่องแคล่วราวกับสายน้ำที่ไหลลื่นและไม่มีสะดุด กระบี่ทองแดงฟาดเฉียดแขนเสื้อของเขาไปอย่างบางเบา จนเกือบจะสัมผัสแต่ก็ไม่โดนแม้แต่นิดเดียว หลินเฉินปรากฏร่างขึ้นด้านข้างคู่ต่อสู้ของเขาอย่างเงียบงัน ปลายนิ้วกลางของมือขวาแตะลงอย่างนุ่มนวลบนข้อศอกของศัตรู พลังเย็นเฉียบที่หล่อหลอมมาจากรากหยกเขียวซึ่งเขากลั่นด้วยสมาธิอย่างลึกซึ้งตลอดทั้งคืน ค่อยๆ แทรกเข้าสู่เส้นลมปราณของคู่ต่อสู้โดยไม่ให้รู้ตัว ชายหนุ่มตระกูลซ่งชะงักไปในทันที เท้าของเขาหยุดนิ่งกลางอากาศ ดวงตาแสดงออกถึงความงุนงงและไม่เชื่อว่าร่างกายของตนถูกควบคุมเช่นนี้ แม้ว่าจะถูกพลังเย็นแทรกซึมเข้าไปจนขัดขวางการเคลื่อนไหว แต่เขายังไม่ล้มลง ยังมีแรงต่อสู้หลงเหลืออยู่ แต่ชัดเจนว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา คำรามแห่งความเจ็บปวดและความโกรธดังออกมาจากลำคอของเขา พลังกายมหาศาลปะทุออกจากฝ่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกสัมผัส กระแทกเข้าใส่หลินเฉินด้วยแรงที่เต็มเปี่ยม

 แรงกระแทกนั้นรุนแรงจนทำให้หลินเฉินกระเด็นไปชนกับขอบเวทีเสียงดังสนั่นจนอาจทำให้คนทั่วไปสลบได้ แต่นี่คือความท้าทายที่เขาต้องผ่าน ช่วงเวลานั้นเอง สายตาของเขาสะท้อนแสงฟ้าราวกับกำลังเรียกพลังธรรมชาติ “หากเจ้าจะใช้มัน... จงรวมใจ จงสงบนิ่ง แล้วปลดปล่อยอัสนีออกจากเส้นปราณดั่งสายลมทะลวงเมฆ” เสียงในหัวของหลินเฉินดังขึ้นราวกับคำสอนของเทพเจ้าผู้โบราณ เขากัดฟันแน่น มือที่กำขลุ่ยหยกแน่นจนเส้นเลือดปูด ร่างกายของเขานิ่งสนิทจนแทบไม่หายใจ ลมหายใจแผ่วเบาไหลเข้าสู่จังหวะกลั่นโอสถที่หลินเฉินฝึกฝนมานานจนชำนาญ เมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดสมบูรณ์ เสียงฟ้าร้องเบาๆ ดังก้องขึ้นจากขลุ่ยหยกในมือ เขาปลดปล่อยเคล็ดวิชาอัสนีสวรรค์ ขั้นต้น: อัสนีชำแรก พลังแห่งสายฟ้าระเบิดออกจากฝ่ามือของเขา ดุจสายฟ้าผ่าทะลุผ่านหมอกควัน สายฟ้าที่รุนแรงนี้พร้อมจะเปลี่ยนชะตากรรมของการประลองในพริบตา

 หลินเฉิน ลมปราณพุ่งเป็นสายตรงจุดตันเถียน ปะทะกับท้องฟ้าในใจ จากนั้น ลำแสงสีเงินบางเฉียบพลันพุ่งออกจากปลายนิ้วกลางซ้าย สาดใส่จุดตัดลมปราณของคู่ต่อสู้ที่หน้าอกด้านขวา! เสียง "เปรี๊ยะ!" ดังแหวกอากาศ ราวกับเสียงสายฟ้ากรีดฟ้าในคืนพายุ คู่ต่อสู้ตัวแข็งค้าง ลมหายใจขาดสะดุด กล้ามเนื้อชาเป็นริ้ว พลังลมปราณพลันขาดสะบั้นราวสายสายเคเบิลถูกฟ้าผ่า เขาทรุดลงคุกเข่ากลางเวที กระบี่ทองแดงตกกระแทกพื้น ความเงียบคลุมทั่วทั้งสนาม ไม่มีแม้แต่เสียงล้อเลียน หรือเย้ยหยันหลินเฉินอีกต่อไป ศิษย์ผู้ตรวจสอบที่ยืนด้านข้างรีบเดินขึ้นเวที เขาแตะชีพจรของชายตระกูลซ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประกาศด้วยเสียงแน่นหนัก “ผู้ชนะ: หลินเฉิน” “คู่ต่อสู้อยู่ในภาวะชะงักลมปราณชั่วคราว สติไม่กระเจิง... แต่ไม่อาจยืนได้” เสียงฮือฮาค่อยๆ ดังขึ้นรอบเวที ทุกสายตาเปลี่ยนจากเย้ยหยัน เป็นจดจ้อง เงียบงัน หลินเฉินลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เสื้อตรงบ่าขาดเล็กน้อยจากแรงปะทะ แต่ดวงตานั้นยังคงเยือกเย็นดั่งคืนเดือนดับ เขาเดินลงจากเวทีโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว “สายฟ้า” “เขาใช้เคล็ดวิชาอัสนีใช่หรือไม่?” “แต่นั่น... มันเป็นวิชาลับของสำนักเทพสายฟ้าเมื่อพันปีก่อน!” ไม่มีใครรู้ว่าหลินเฉินเรียนวิชานี้จากที่ใด ไม่มีครู ไม่มีสำนักใดอ้างตนเป็นอาจารย์ของเขา แต่จากวินาทีนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเด็กหนุ่มผู้เคยขัดหม้อยาอีกต่อไป