ศึกใต้หล้าสะท้านสำนัก (ต่อ)

 รอบที่สอง อัสนีแทรกเสียงสวรรค์ เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแรงลมแผ่วเบาที่พัดผ่านลานประลอง ทว่าคราวนี้มิได้พัดฝุ่นเท่านั้น หากพัดพาความเยือกเย็นและแรงกดดันบางอย่างที่แทรกอยู่ในอากาศด้วย หญิงสาวในชุดแพรขาวสะอาดตาก้าวขึ้นเวที เธอมีรูปลักษณ์สง่างาม นัยน์ตาสีฟ้าจางราวหมอกฤดูใบไม้ผลิ ผมยาวสลวยรวบขึ้นด้วยปิ่นหยกประดับไข่มุก เสียงกระพรวนที่ข้อมือสั่นไหวทุกย่างก้าวราวกับมีเสียงเพลงเดินเคียงข้างเธอ “ไป๋อวี้เซียน” ศิษย์สายนอกมาจากตระกูลไป๋ ระดับหลอมกายาขั้นเจ็ด ผู้เชี่ยวชาญวิชาพิณทำลายปราณ เสียงกระซิบของเหล่าผู้ชมรอบสนามดังขึ้นเบาๆ หลายคนเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “เป็นนาง? คนที่ทำให้จางจื้อหลงสลบกลางสนามเมื่อปีที่แล้ว?”

 “เด็กนั่น... คราวนี้ไม่มีทางรอดแน่” หลินเฉินก้าวขึ้นเงียบๆ เสื้อผ้าเก่าเปื้อนฝุ่นตามเดิม แววตาเยือกเย็น มองเธอราวกับมองภูเขาเบื้องหน้า มิได้เต็มไปด้วยศัตรู หากเป็นบททดสอบของโชคชะตา ทันทีที่พิณโบราณถูกวางลงบนตักของไป๋อวี้เซียน ความเงียบคล้ายถูกสลายด้วยแรงลมหายใจแห่งเสียง บทเพลงเริ่มต้นด้วยเสียง "ติง..." เบาๆ จากสายที่หนึ่ง คลื่นเสียงบางเบาราวกับหมอกเช้าทอดผ่านกลางลานก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงสะเทือนที่ไร้รูปร่าง เสียงเพลงนั้นมิใช่เพียงเสียง หากเป็นลมปราณชนิดหนึ่ง ที่แทรกซึมเข้าเส้นลมปราณของผู้ฟัง ทำให้สมาธิสั่นไหว คลื่นพลังเคลื่อนไปรอบลานเป็นรูปคลื่นกระเพื่อมในอากาศ

หลินเฉินยืนนิ่ง ปลายผมลู่ไหวตามแรงสั่นสะเทือน จังหวะที่สามของเพลงบรรเลง ลมรอบกายหลินเฉินเปลี่ยนทิศ ไม่ใช่จากธรรมชาติ แต่เกิดจากแรงสะท้อนของเสียงพิณที่ถูกบังคับให้วนเข้ามาห่อหุ้มร่างเขาไว้เหมือนขดลวดที่รัดแน่น “หากเจ้าปล่อยให้ใจสั่นเพียงหนึ่งระลอก สายพิณนั้นจะตัดสติเจาเป็นเสี่ยง” เสียงจากขลุ่ยหยกกระซิบในจิต หลินเฉินปิดตา มือแตะขลุ่ยหยกเบาๆ เขาไม่เป่าออกทันที หากแต่ กลั่นลมหายใจเข้าสู่จุดตันเถียน ให้เสียงในร่างกายสงบนิ่ง เมื่อพิณเป็นดั่งทะเล เขาก็ต้องเป็นหินใต้น้ำ

 ทว่าทันใดนั้น ไป๋อวี้เซียนเร่งจังหวะเพลง สายพิณพุ่งออกจากตัวพิณสามเส้นราวกับสายแส้แห่งเสียงพุ่งเข้าหาร่างของเขา! หลินเฉินเบิกตา เสียงในจิตดังขึ้นอีกครั้ง “หากเจ้าจะรุกกลับ... จงใช้เคล็ด ‘อัสนีแทรกเมฆา’ ให้เสียงของเจ้า มิใช่ต่อต้าน แต่ทะลวงกลางเสียงศัตรู” เขาสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แล้ว เป่าขลุ่ยเพียงโน้ตเดียว... เสียงนั้นมิใช่เสียงเพลง หากเป็นเสียงที่แหลมยาวกรีดอากาศ เหมือนฟ้าผ่าลงกลางทะเลเงียบ พลังเสียงแทรกกลางคลื่นเสียงพิณทุกชั้น! พริบตานั้นเอง สายพิณที่พุ่งมาแตกกระจายกลางอากาศ ดั่งโดนฟ้าผ่าฟาดจากใจเวหา สนามเงียบลง เสียงเพลงของไป๋อวี้เซียนขาดสะบั้นทันที มือเธอสั่นเล็กน้อย เลือดไหลซึมออกจากปลายนิ้วทั้งห้า “เป็นไปไม่ได้... เสียงขลุ่ยนั้นมัน...” เธอพึมพำ ดวงตาเบิกโพลง

 หลินเฉินลดขลุ่ยลงอย่างช้าๆ ปลายผมแกว่งเบาๆ ตามแรงลมสุดท้ายของเสียง ขณะที่เสียงในจิตดังขึ้นอีกครั้ง “อัสนีสวรรค์ มิได้มีไว้เพียงผ่าภูเขา... หากแต่ทำลายอารมณ์แห่งความหลอกลวง” ไป๋อวี้เซียนก้มหน้า ค่อยๆ คุกเข่าลงด้วย ความสิ้นพลัง ขณะเสียงของผู้ตรวจสอบประกาศดังก้อง “ผู้ชนะ หลินเฉิน” “พลังเสียงทะลวงลมปราณศัตรูโดยไร้การแตะตัว ทำลายการควบคุมจังหวะปราณฝ่ายตรงข้ามอย่างสมบูรณ์” สนามประลองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเขาทำได้อย่างไร บางคนเริ่มกระซิบ... “มันคืออะไร? เสียงอะไรที่ทำให้ลมปราณในข้าสะเทือนได้ทั้งที่ไม่ได้ประลอง?” ทว่าหลินเฉินเดินลงจากเวทีอย่างเงียบงัน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีชัยชนะ มีเพียงขลุ่ยหยกในมือที่ยังเย็นเฉียบ และจิตใจที่ไม่เคยสั่นไหวแม้เพียงระลอกเดียว 

 รอบที่สาม อัสนีแฝงเงา เสียงฆ้องของรอบที่สามดังขึ้นท่ามกลางสายลมที่เริ่มแรงขึ้นเล็กน้อย ความตึงเครียดคืบคลานเข้าหาจิตใจของทุกผู้ที่ยืนอยู่รอบสนาม โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มในชุดเกราะสีเทาทมิฬก้าวขึ้นสู่ลานหินด้วยพลังปราณแผ่กระจายออกมาเป็นวง เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทีเย็นชาราวหอกน้ำแข็ง ปลายทวนในมือสั่นไหวเบาๆ ด้วยแรงปราณที่ถ่ายเทไม่หยุด แม้ยังไม่ได้ คลื่อนไหว แต่พื้นเวทีกลับส่งเสียงแตกระแหงด้วยแรงกดดันที่เขาสะสมไว้ในร่าง ซุนหลง” ศิษย์ขั้นหลอมกายาขั้นแปด จากหอหอกเมฆทมิฬ ผู้ใช้ทวนคู่ ฉายา ‘พายุหอกไร้ปรานี’” เสียงกระซิบแว่วจากฝูงชน บ้างแสดงความชื่นชม บ้างสีหน้าเคร่งเครียดอย่างแท้จริง “เขาเคยล้มศิษย์หลักของสำนักรองด้วยกระบวนเดียว...” “เด็กบ่าวนั่น... คงถึงจุดจบแล้ว”

 หลินเฉินขึ้นสู่เวทีอย่างเงียบงัน แม้จะผ่านศึกมาหลายรอบ จนแผลถลอกตามลำตัวและไหล่เริ่มเผยให้เห็นเลือดซึม แต่ท่าทีของเขากลับไม่ลดทอน ดวงตาคู่นั้นยังนิ่งลึก ราวเปลวไฟที่ฝังแน่นใต้ภูเขา เสียงแหลมของทวนคู่แหวกอากาศทันทีที่ซุนหลงเปิดฉาก พริบตาเดียว ทวนทั้งสองพุ่งเข้าใส่หลินเฉินด้วยความเร็วเหนือปฏิกิริยา ท่าทางบ้าคลั่งราวกับพายุซัดโหม น้ำหนักและแรงเหวี่ยงมหาศาลจนพื้นหินแตกร้าวเป็นทางยาว

 หลินเฉินเบี่ยงตัวหลบไปทางขวา มือควักเม็ดยาจากแขนเสื้อ “โอสถหมอกลวงตา” ที่เขาปรุงขึ้นจากรากเย็นรัตติกาลและผงหยกเงาในค่ำคืนก่อนหน้า เขาโยนลงพื้นในจังหวะฉับพลัน ปัง! ควันเขียวปะทุขึ้นทันที รุนแรงราวพายุหมอก พัดกลืนทั้งร่างของเขาและคู่ต่อสู้ให้จมหายไปในม่านสีมรกต เสียงของฝูงชนเงียบลงอย่างพร้อมเพรียง มองไม่เห็นแม้แต่เงา

ทว่าภายในหมอกนั้น การต่อสู้ยังดำเนินอยู่ ซุนหลงไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา ทันทีที่หมอกปิดตา เขากระทืบพื้นกระจายพลังปราณรอบตัว หวังผลักหมอกออก แต่โอสถหมอกของหลินเฉินไม่ใช่หมอกธรรมดา มันมิใช่เพียงสิ่งบดบังสายตา หากเป็นพลัง “พรางคลื่นพลังปราณ” “ใช้พลังปราณโจมตีไม่ได้... หมอนี่เตรียมมาอย่างดี” ซุนหลงคำรามในใจ ทันใดนั้น เขาหันกลับ แทงทวนทะลุหมอกไปด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ... ฉึก! ทวนพุ่งทะลุควัน...แต่ไม่โดนใคร เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังจากเบื้องขวา ซ้าย แล้วด้านหลัง เสียงเดียวกันซ้ำวนไปเหมือนเสียงสะท้อนในถ้ำ “นี่มัน... เคลื่อนไหวหลายจุด?”

 ซุนหลงหอบหายใจ ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งในหมอกกระซิบขึ้น... “เคล็ดวิชาอัสนีสวรรค์ อัสนีแฝงเงา” หมอกกลางสนามระเบิดเป็นวงจากแรงปราณแหลมคม ในพริบตาเดียว แสงสีเงินเส้นหนึ่งแหวกทะลุหมอกเป็นทางตรงฟาดใส่กลางหลังของซุนหลงราวกับสายฟ้าที่ผ่าทะลวงเมฆ! เสียง “เปรี๊ยะ!!” ดังสนั่น ร่างของซุนหลงชะงักทันที พลังลมปราณในตัวเขาปั่นป่วนจนทวนคู่ในมือร่วงลงพื้น พื้นหินใต้เท้าแตกร้าวเป็นรูปสายฟ้า ร่างยักษ์ของเขาทรุดลงกระแทกพื้น เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังราวพายุหอบกลับคืน หลินเฉินปรากฏตัวจากหมอกเบื้องหลัง ฝ่ามือยังคงแบออกเหมือนฟ้ายังไม่เลิกฟาด

 เสียงประกาศจากผู้ตรวจสอบดังก้อง “ผู้ชนะ หลินเฉิน ชิงจังหวะในหมอก ปลดปล่อยเคล็ดอัสนีทะล วงจุดตันเถียนตรงหลัง ตัดกระแสพลังคู่ต่อสู้ในหนึ่งกระบวน” ทั้งลานประลองเงียบงัน ก่อนจะเริ่มสั่นไหวด้วยเสียงกระซิบและสายตาที่จ้องมองชายหนุ่มในชุดผ้าหยาบคนเดิม ร่างของหลินเฉินยังคงยืดตรง แม้เหงื่อจะชุ่มแผ่นหลัง แต่ดวงตายังคงเปล่งประกายด้วยจิตแน่วแน่ “อัสนีแฝงเงา... นี่คือพลังของขลุ่ยนั่นหรือ?” “ไม่ใช่เพียงพลังเสียง หากแต่เป็นศาสตร์แห่งสายฟ้าและจังหวะ...” และในจังหวะที่เขาก้าวลงเวทีนั้น เสียงของวิญญาณในขลุ่ยหยกพลันแว่วขึ้นอีกครั้งในใจ “เจ้ากำลังก้าวสู่สายฟ้าที่ซ่อนในเงา และในไม่ช้า... เจ้าจะได้เรียนรู้ว่าอัสนีที่แท้จริง ไม่ได้ฟาดเพื่อฆ่า แต่เพื่อแหวกทางสู่ฟากฟ้า”

 รอบสุดท้าย เวทีเงียบงัน เหล่าผู้ชมต่างเงี่ยหูจับจ้องอย่างลุ้นระทึก คู่ต่อสู้ของหลินเฉินคือศิษย์อาวุโสขั้นหลอมกายาขั้นเก้า “หานอี้” ชายผู้ถูกขนานนามว่าเต็งหนึ่งของปีนี้ ผู้แข็งแกร่งดั่งพายุสายฟ้าที่มุ่งหน้าผ่านทุกสิ่งไม่เหลือร่องรอย ดวงตาของหานอี้เต็มไปด้วยความมั่นใจและเยือกเย็น ท่วงท่าของเขาเผยถึงความเร็วและความแม่นยำที่แทบจับไม่ได้ หลินเฉินรู้ดีว่าการต่อสู้ในวันนี้ หากไม่มีแผนการและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เขาคงไม่มีวันเอาชนะชายผู้เกรียงไกรผู้นี้ได้

 การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยความดุเดือด เงาสองเงาเคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายลม พวกเขาสลับหลบหลีกโจมตีและปะทะกันราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ หลินเฉินบังคับกระบี่ของตนอย่างประณีต แต่ก็ถูกหานอี้ผลักกระเด็นจนร่างกระแทกเข้ากับเสาไม้กลางเวที เสียงดัง ‘ปัง’ ก้องสะท้อนไปทั่วลานประลอง เลือดสดสีแดงไหลออกจากมุมปากของหลินเฉิน แต่ในแววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่น้อย “ถึงเวลานั้นแล้ว...”

เสียงในใจของหลินเฉินก้องกังวาน เขาเอื้อมมือไปแตะขลุ่ยหยกที่แขวนอยู่ที่เอว ขลุ่ยหยกอันแสนเก่าแก่ซึ่งบรรจุพลังวิญญาณของปราชญ์โบราณอยู่ภายใน เขาเป่าท่วงทำนองหนึ่งออกมา เสียงหวานละมุนที่ซ่อนเร้นด้วยพลังจิต ส่งผ่านลมปราณออกไปเป็นวงกว้างรอบเวที บรรยากาศเงียบสนิท ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่หลินเฉินและขลุ่ยหยกในมือเขา ทันใดนั้น ร่างของหานอี้หยุดชะงัก ความเคลื่อนไหวรวดเร็วของเขากลับกลายเป็นช้าลงเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยแรงลึกลับ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ลมปราณภายในร่างของหานอี้แปรปรวนจนไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ความมั่นคงที่เขามีถูกทำลายลงด้วยพลังของเสียงขลุ่ยหยกที่บรรจุภูมิปัญญาโบราณ

 เสียงเงียบสงัดของสนามรบถูกทำลายด้วยเสียงร้องตกใจ จากนั้นค่อยๆ กลายเป็นเสียงปรบมือดังกึกก้อง ผู้ตรวจสอบประลองค่อยๆ เริ่มยืนขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นปรบมือด้วยความทึ่งในฝีมือของหลินเฉิน “เด็กบ่าวนั่น... ชนะได้จริง ๆ!” เสียงกระซิบจากฝูงชนแพร่กระจาย “เขาชนะหานอี้ได้งั้นหรือ? วิชาอะไรที่ใช้เพียงขลุ่ยหยกต่อสู้ได้ถึงเพียงนี้?” เสียงผู้ชมยังคงถามอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง หลินเฉินยืนหยัดอยู่กลางเวที แม้ร่างกายจะสั่นไหวจากความเหนื่อยล้า แต่ใจกลับแน่วแน่ แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา เขามิได้เปล่งเสียงใด ทว่าแววตาของเขากลับส่งผ่านความหมายที่ชัดเจน “ศักดิ์ศรีของข้า ข้าจะช่วงชิงคืนมาด้วยสองมือของตนเอง”

 ในเวลาที่แสงสุดท้ายของตะวันสาดส่องลงบนเวทีหิน ประกายแสงเปรียบเสมือนคำสาบานของเด็กหนุ่มผู้ไร้เสียงคนนี้ ศึกแห่งศักดิ์ศรีของเขาได้เริ่มสั่นสะเทือนหัวใจของผู้คนในสำนักหั่วอวิ๋น เสียงประกาศจากผู้ตรวจสอบดังขึ้นอย่างเป็นทางการ “ด้วยเหตุนี้... ข้าประกาศให้หลินเฉินเป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้! ขอให้ท่านรับรางวัลแห่งเกียรติยศและทรัพย์สมบัติซึ่งเตรียมไว้สำหรับยอดฝีมือของเรา” บรรดาผู้สูงอายุค่อยๆ นำกล่องไม้สลักลวดลายมังกรทองขึ้นมาบนเวที เปิดเผยแผ่นโลหะประดับอัญมณีล้ำค่า พร้อมกับถ้วยรางวัลเงินตราขนาดใหญ่ และบัตรรับรองสถานะเป็นศิษย์อาวุโสขั้นที่เจ็ดในสำนักหั่วอวิ๋น เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นชมและความหวังใหม่สำหรับหลินเฉิน