เงาดำในรัตติกาล

 ยามราตรีในหุบเขาหวังซานเยียบเย็นกว่าทุกคืน ลมเหนือพัดวูบผ่านใบสน เสียงกิ่งไม้ลู่ไหวล้อกับความเงียบงันประหนึ่งเสียงกระซิบจากโลกวิญญาณ เบื้องฟ้าไร้แสงจันทร์ มีเพียงเงาเมฆหนาทึบบดบังความสว่างจนทั่วทั้งหุบเขากลืนอยู่ในความมืดราวสุสาน ภายในเรือนเก่าเบื้องหลังสำนักหั่วอวิ๋น หลินเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาโอสถ เปลวไฟจากเตาลุกนิ่ง เสถียร แม้จะไม่ร้อนแรงแต่กลับแผ่ไออบอุ่นสม่ำเสมอ ร่างของเขาสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ดวงตาปิดสนิท สมาธิลุ่มลึกถึงระดับที่แม้เสียงใบไม้ร่วงยังไม่อาจรบกวนได้ ขลุ่ยหยกวางอยู่ข้างหม้อโอสถ มันสงบและเงียบ หากแต่ในห้วงจิตของหลินเฉิน เสียงของมันยังดังก้องอย่างชัดเจน “อย่าไว้ใจค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์… เพราะนั่นคือเวลาที่ ‘เงา’ จะเผยตัว” 

 ทันใดนั้น...เงามืดสายหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาเงียบเชียบจากหลังคา เรือน ลมหายใจของมันกลมกลืนกับลมยามค่ำราวกับวิญญาณที่ไร้ตัวตน มันเป็นเงาในความมืด ร่างดำคลุมหน้าคลุมกาย ปราศจากตราสำนัก ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีกลิ่น ไม่มีแม้แต่ไอสังหาร หากแต่แฝงกลิ่นอันตรายที่ไม่อาจมองข้าม "เขาคือหลินเฉินสินะ... เด็กผู้ปรุงโอสถได้โดยไร้อาจารย์" เสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นในความมืด "น่าประหลาดที่คนอย่างเจ้ายังหายใจอยู่ถึงวันนี้ได้" ในพริบตานั้น เงาดำนั้นเคลื่อนกายเข้าประชิด! มือขวาของมันแหวกอากาศ ส่งลมปราณกระชากด้วยความเร็วเกินตาเห็น เป้าหมายคือจุดตันเถียนกลางอกของหลินเฉิน หวังทำลายรากฐานการฝึกพลังให้พังพินาศในชั่วพริบตา! ...แต่ก่อนที่ปลายนิ้วของมันจะสัมผัสเสื้อผ้าของหลินเฉินได้ 

 เปรี้ยง!! เสียงระเบิดสายลมดังสนั่น ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายทั่วห้อง แสงสีทองสว่างวาบกลางเงามืด และร่างของเงาดำกระเด็นกระแทกผนังไม้จนแผ่นไม้ปลิวกระจุย! “โอ๊ย...!?” เงาดำกระอักโลหิต ร่างสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะทรุดลงชั่วครู่ ในหมอกฝุ่นที่ยังคลุ้งนั้น เสียงก้าวเท้าหนักแน่นดังก้องเข้ามา “เด็กผู้นี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักหั่วอวิ๋นแล้ว ผู้ใดล่วงเกิน... ถือว่าขัดต่อคำสั่งของผู้อาวุโส” เสียงนั้นทุ้มลึก เต็มไปด้วยแรงกดดัน ร่างชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง ชุดคลุมยาวสีครามล้อมขลิบเงินผืนใหญ่โบกสะบัดตามแรงลม เส้นผมขาวสะบัดตามแรงปราณจางๆ ที่แผ่ซ่านรอบกาย ดวงตาสีเทาเข้มของเขาทอประกายเรืองรองในความมืด ราวกับมองทะลุเงาและความเท็จได้ทั้งหมด

 

 หลินเฉินเบิกตาขึ้น ดวงตาเขาสะท้อนแสงจากเปลวไฟที่ยังลุกไหวในเตา ก่อนเขาจะค้อมศีรษะอย่างเงียบงัน “ผู้อาวุโส...” เสียงขลุ่ยหยกในใจของเขากระซิบ “...คนผู้นี้มิใช่ธรรมดา เขาคือ

“ม่ออวิ๋น” อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายโอสถ ผู้วางมือจากการสอนมากว่าสิบปี...” เงาดำพยายามจะลุกหนี แต่สายตาของม่ออวิ๋นเพียงหรี่ลงเล็กน้อย ปราณสีเงินก็พุ่งทะลวงออกจากฝ่ามือ กระแทกกลางแผ่นหลังเงาดำจนร่างนั้นกระอักเลือดอีกครั้ง "กลับไปรายงานผู้ส่งเจ้าว่า หากต้องการสังหารศิษย์ของข้า… จงมาด้วยตัวเอง" ม่ออวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ

 

 เงาดำนั้นมิกล้าสู้ต่อ มันก้มตัวอย่างข่มขื่นก่อนจะปล่อยควันดำกลบกายแล้วพุ่งออกหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ต้องการเผชิญสายตาของปรมาจารย์อีกแม้เพียงชั่วลมหายใจ ม่ออวิ๋นหันกลับมาหาหลินเฉิน แววตาที่เคยเฉียบคมบัดนี้ผ่อนลงเล็กน้อย สีหน้าแฝงความพินิจพิจารณา “เจ้าทำให้ผู้ใหญ่ในเงามืด ‘ขยับตัว’ เพียงเพราะผ่านการสอบรอบแรกด้วยโอสถเม็ดเดียว… เป็นสิ่งที่ข้าเองก็ไม่คาดคิด” หลินเฉินยืนนิ่ง เขาค้อมศีรษะอีกครั้งอย่างนอบน้อม โดยไม่เปล่งเสียง ม่ออวิ๋นหรี่ตามองเขา พลางถอนหายใจเบาๆ “เจ้ามีพรสวรรค์ มีวาสนา และมีจิตใจมั่นคง แต่จงจำไว้ให้ขึ้นใจ… สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าพิษร้าย หรือเงาดำในราตรี คือ ‘สายตาของผู้มีอำนาจ’ ที่จ้องจะทำลายก่อนเจ้าจะเติบโต”

 

 เขาหยิบถุงผ้าขนาดเล็กจากชายแขนเสื้อแล้วโยนให้หลินเฉิน “นี่คือยันต์ระฆังจิต เมื่อสัมผัสเงาจิตสังหาร จะสั่นเตือนในใจทันที” จากนั้นม่ออวิ๋นจึงกล่าวประโยคสุดท้าย ก่อนจะหมุนกายหายไปในเงามืดเหมือนมาโดยไร้ร่องรอย “ฝึกให้เร็ว… แต่ระวังให้มากกว่า เพราะตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป... เจ้าจะไม่ใช่แค่ศิษย์ เจ้าคือ ‘ภัย’ ในสายตาของใครบางคนแล้ว” ในความเงียบงันหลังเหตุการณ์ผ่านพ้น หลินเฉินก้มลงมองยันต์ในมือเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังขลุ่ยหยกข้างกาย เขาไม่รู้ว่าใครคือผู้ลอบสังหาร และไม่รู้ว่าเหตุใดอดีตอาจารย์ใหญ่อย่างม่ออวิ๋นถึงยอมเปิดเผยตัว แต่สิ่งที่เขารู้แน่ชัดคือ เส้นทางของเขาไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางแห่งโอสถอีกต่อไป หากแต่เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยดาบในเงามืด และไฟแห่งการทดสอบที่รออยู่เบื้องหน้า

 

 เสียงจากขลุ่ยหยกดังแผ่วในจิตใจอีกครั้ง “การหลอมโอสถ ต้องอาศัยความรู้ แต่การหลอมตนเอง...ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน” ดวงตาของหลินเฉินแน่วแน่ขึ้นอีกครั้ง ในค่ำคืนไร้จันทร์นี้ เปลวไฟในดวงตาของเขากลับสว่างที่สุด

 

 รุ่งเช้าแห่งวันใหม่มาถึงพร้อมกับสายลมเบาและแสงแดดอ่อนที่ไหลผ่านยอดไม้เขียวขจีในหุบเขาหวังซาน แต่ภายในใจของหลินเฉินกลับไม่สงบดังบรรยากาศเบื้องนอก เงาดำที่ลอบสังหารเมื่อคืนไม่ใช่เพียงการทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นคำเตือนที่โลกยุทธภพเริ่มหันมาสังเกตเขาอย่างจริงจัง ร่างของเขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหม้อโอสถ กลิ่นสมุนไพรจางๆ ยังลอยกรุ่นในห้อง เขาหลับตานิ่ง ไม่ได้เพื่อพักผ่อน แต่กำลังไล่ทบทวนกระแสลมปราณในร่าง และคำสั่งสอนของม่ออวิ๋นในค่ำคืนก่อน “ฝึกให้เร็ว… แต่ระวังให้มากกว่า”

 

 ข้างกายของเขา ขลุ่ยหยกสวรรค์ยังวางอยู่นิ่ง ทว่าสะท้อนแสงแดดเป็นประกายจางคล้ายกำลังเตือนใจ เสียงกระซิบของมันดังขึ้นเบาๆ ในจิต “พลังโอสถสร้างรากฐาน แต่หากเจ้ามองไม่เห็น ‘พิษ’ ที่ซ่อนในความเมตตา เจ้าจะไม่มีวันรอดถึงวันรุ่ง” หลินเฉินลืมตาขึ้น ดวงตาของเขานิ่งลึกแต่แฝงความเร่งเร้า เขาคลี่ผืนผ้าเล็กๆ บนพื้น เผยให้เห็นพืชสมุนไพรแห้งเจ็ดชนิดที่เขาเพิ่งได้จากยอดเขาเมื่อคืนหลังเหตุลอบฆ่า แต่ในครั้งนี้ เขาไม่ได้จะปรุงโอสถ หากแต่จะทดลองวิชาต่อจากเสียงขลุ่ยในคืนก่อน โอสถซ่อนค่าย มันคือศาสตร์โบราณที่ผสานพลังค่ายกลเข้ากับพลังของยาสมุนไพร เมื่อโอสถแตกตัว มันจะไม่เพียงฟื้นฟูหรือรักษา แต่สามารถปลดปล่อยกลไกของค่ายกลซ่อนไว้ในอากาศ บดบังจิต ลวงตา หรือแม้แต่พันธนาการศัตรูไว้ได้ชั่วขณะ

 

 เขาค่อยๆ หยิบผงสมุนไพรแต่ละชนิดลงหม้อ ปรับเปลวไฟให้ต่ำจนแทบมองไม่เห็น เปลวสีน้ำเงินอ่อนล้อมหม้อโอสถกลมกลืนกับหมอกยามเช้า เสียงขลุ่ยดังในใจอีกครั้ง “ค่ายกล มิได้ขึ้นกับเส้นสายบนแผ่นพื้น แต่ขึ้นกับ ‘ใจ’ ที่เขียนมัน เจ้าจะเขียนค่ายกลลงในลมปราณโอสถได้หรือไม่ อยู่ที่ความนิ่งของจิต” หลินเฉินสูดลมหายใจลึกแล้วเปล่งพลังจิตออกจากฝ่ามือ มันบางเบาไร้รูป แต่เคลื่อนไปตามแรงลมราวอักขระเร้นลับ เมื่อพลังนั้นหลอมรวมกับกลิ่นสมุนไพรที่กำลังแตกตัวในหม้อ

 

 ลำแสงสีเงินอ่อนก็เริ่มแทรกซึมออกมาจากโอสถกลมแรกที่เพิ่งก่อตัว โอสถเม็ดนี้มิได้มีกลิ่นหอม หากแฝงไว้ด้วยกลิ่นลวงประสาท พื้นห้องพลันแปรเปลี่ยนคล้ายเงามืดทอดทับ บรรยากาศกลายเป็นเงียบเย็น ราวกับทุกสิ่งถูกแช่แข็ง ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นสามครั้ง หลินเฉินลืมตา ดวงตานิ่งลึกเช่นเดิม เขาไม่กล่าวคำใด แต่ค่อยๆ ก้าวไปเปิดประตู เบื้องหน้านั้น คือหญิงสาวในชุดคลุมสีน้ำตาลอ่อน ผมยาวถูกรวบไว้เรียบร้อย ท่าทางสงบงามน่าเคารพ ดวงตาคมเรียวที่จ้องมายังเขาอย่างพินิจ “เจ้าคือ... หลินเฉินใช่หรือไม่”

 

 เขาพยักหน้าเบาๆ ไม่กล่าวเสียง “ ข้าชื่อ ‘ไป๋หรูเยวี่ย’ ศิษย์สายในวิหารโอสถศักดิ์สิทธิ์ ...ท่านอาวุโสม่ออวิ๋นให้ข้ามาเชิญเจ้าไปยังหอฝึกโอสถขั้นลึก ‘หอโอสถสุริยัน’ ” เมื่อได้ยินชื่อนั้น หลินเฉินแววตาสั่นเล็กน้อย หอสุริยันหมื่นพิษ... คือสถานที่ลับสุดยอดของสำนักที่เปิดรับเพียงผู้ที่ผสานศาสตร์โอสถกับลมปราณระดับสูง และไม่เคยเปิดรับศิษย์ใหม่มาก่อน หญิงสาวมองโอสถในมือเขาเพียงครู่เดียว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสงบ “เจ้าหลอมโอสถซ่อนกล... สำเร็จในเวลาเพียงข้ามคืน” เสียงกระซิบของขลุ่ยหยกดังขึ้นอีกครั้งในใจหลินเฉิน “จงระวัง... หอโอสถสุริยันมิได้เป็นเพียงสถานที่ฝึกฝน มันคือเวทีของดวงดาว หรือหลุมศพของวีรชน ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมองมันด้วยสายตาเช่นใด” หลินเฉินสบตาหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างมั่นคง