หลังจบการประลอง “ศึกประลองประจำปีแห่งสำนักหั่วอวิ๋น” และ “ค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์” เสียงฮือฮาและการวิพากษ์ยังคงดังอยู่เบื้องหลัง ทว่าหลินเฉินกลับไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาเดินลัดผ่านลานหินเข้าสู่ทางเดินเงียบสงบด้านตะวันตกของเขาหวังซาน ใต้แนวต้นเหมยเก่าแก่ซึ่งกำลังผลิดอกอ่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตามลมมาแตะจมูก เขามาที่นี่เพื่อตามคำสั่งของผู้อาวุโสม่ออวิ๋น เพื่อจะเดินทางยังไปหอโอสถสุริยัน
เมื่อหลินเฉินมาถึงศาลาริมสระก่อนถึงหอโอสถสุริยัน กลับพบเพียงเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย ใบหน้าหันไปยังผิวน้ำ ดุจภาพวาดที่งามเกินกว่าจริง หญิงสาวในชุดขาวเรียบหรู ผมยาวถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยก งามสงบเยือกเย็นราวหิมะต้นฤดู หากดวงตากลับซ่อนแววคมเฉียบ มีพลังบางอย่างที่แม้หลินเฉินจะมองเพียงครู่เดียว... ก็รู้ได้ทันทีว่า นางมิใช่คนธรรมดา “เจ้าคือหลินเฉิน?” นางหันมาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ เยือกเย็นแต่เปี่ยมอำนาจ “ใช่” เขาตอบสั้นๆ พลางประเมินนางอยู่เงียบๆ
“ข้า “จางม่านอี้” ศิษย์หลักของท่านเจ้าสำนัก” นางยื่นมือออกมา ส่งขวดหยกสีเขียวขุ่นให้ “นี่คือโอสถบ่มเพาะลมปราณระดับ 2 ขั้นสูง ‘โอสถชิงหลงลี่หยวน’ ข้าต้องการให้เจ้าวิเคราะห์ส่วนผสมและปรุงมันขึ้นใหม่ภายในครึ่งชั่วยาม”
หลินเฉินรับขวดโอสถมา ใบหน้าราบเรียบ แต่ภายในกลับรู้สึกท้าทาย โอสถระดับนี้ ต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งในสภาพจิต หัวใจธาตุ และเส้นพลังที่ซับซ้อน แม้แต่นักหลอมโอสถระดับสี่หลายคนยังอาจล้มเหลว “ข้าจะลองดู” เขาว่าพลางนั่งลงกับพื้น หยิบเตาหลอมพกพาออกมาและวางตำราโอสถไว้ข้างตัว ก่อนเริ่มดึงสมุนไพรจากแหวนมิติทีละชนิด ในนั้นหลายชนิดเป็นสมุนไพรธรรมดา... แต่บางชนิด เขากลับเปลี่ยนปริมาณและลำดับการใส่แตกต่างจากต้นฉบับ จางม่านอี้สังเกตการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเงียบงัน สีหน้าไม่เปลี่ยน ทว่าในใจกลับเกิดคำถามขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ทำไมเขาถึงกล้าดัดแปลงสูตรระดับสวรรค์?”
กลิ่นโอสถเริ่มกระจาย เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงครึ่งหนึ่งของเวลาที่กำหนด เงาไอสีฟ้าจางๆ พวยพุ่งออกจากเตาอย่างนุ่มนวล นั่นคือสัญญาณของการหลอมที่ใกล้สมบูรณ์ จางม่านอี้ขยับตัวเพียงเล็กน้อย แววตาเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นจับจ้อง เมื่อหลินเฉินเปิดฝาเตา แสงสีน้ำเงินอ่อนเปล่งประกายจากโอสถที่ลอยออกมา ไม่เพียงไร้พิษหรือเบี่ยงเบน หากแต่ยังมีพลังบ่มเพาะที่เสถียรกว่าโอสถดั้งเดิมเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“เจ้าดัดแปลงสูตร?” นางเอ่ยอย่างนิ่งงัน แต่น้ำเสียงแฝงความตกใจ “ต้นฉบับมีพลังสูงก็จริง แต่ไม่เหมาะกับผู้มีธาตุสายฟ้า ข้าแค่ทำให้มันไม่ขัดกับลมหายใจของข้าเอง” หลินเฉินตอบเรียบๆ นั่นคือคำตอบของคนที่ เข้าใจโอสถจากภายใน ไม่ใช่แค่ตามตำรา
จางม่านอี้ลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเข้าหาเขา แววตาที่เคยเย็นกลับอ่อนลงเล็กน้อย... แต่ยังคงแฝงแววทดสอบ “พลังโอสถ... ใช้ได้แล้ว” “แต่การหยั่งเชิงของข้า ยังไม่จบเพียงเท่านี้” นางปลดปิ่นหยกออกจากผมทันที ท่ามกลางสายลมที่เริ่มพัดแรง ปิ่นหยกแปรเปลี่ยนเป็นดาบบางใสคล้ายหยกเย็น ระลอกคลื่นพลังที่ละเอียดละออแต่ทรงอานุภาพแผ่กระจายไปทั่ว หลินเฉินไม่พูดอะไร เพียงเงยหน้ามองนาง เขายกขลุ่ยหยกขึ้นช้าๆ ปรับจังหวะลมหายใจเข้าสู่สมดุล
จากการสั่งสอนของ “ไป๋เหิงเทียน” ให้ใช้เสียงจากขลุ่ยหยกเป็นเสียงลำนำของอัศนี หลินเฉินได้ฝึกฝนจนช่ำชองผสมผสาน “พลังยุทธ์สาย ‘อัสนีสวรรค์’” กับลำนำเสียงขลุ่ยหยก ได้อย่างประสานสอดคล้องและมีพลัง เสียงขลุ่ยแรกดังขึ้น เป็นจังหวะของลมฤดูใบไม้ผลิ แต่นั่นแหละ คือสัญญาณของการประลองครั้งใหม่ระหว่าง “หยกขาว” กับ “เงาอัสนี”
เสียงขลุ่ยของหลินเฉินไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่มันคือ “กระบวนยุทธ์” ที่หลอมรวมพลังภายในกับคลื่นเสียงอย่างสมบูรณ์แบบ เสียงแรกเปรียบเหมือนสายลมพัดต้นไม้ เสียงถัดไปคล้ายเกลียวคลื่นสาดฝั่ง... แต่เสียงที่สามกลับบีบคั้นดั่งฟ้าร้องกลางคืนไร้จันทร์ จางม่านอี้ยืนอยู่กลางลานศาลา มือกุมดาบหยก บรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป กลีบดอกเหมยปลิวกระจายราวกับพายุเย็นยะเยือก ใบหน้าของนางยังเรียบสงบ แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกริบดั่งหอกเยือกแข็ง
“ขลุ่ยของเจ้าควบคุมลมได้ ข้าอยากเห็นว่า...จะควบคุมสายฟ้าได้หรือไม่” จางม่านอี้กล่าวพร้อมสะบัดดาบ ฉัวะ! เพียงฟาดดาบเบาๆ หนึ่งครั้ง ลำแสงสีขาวฟ้าก็พุ่งแหวกอากาศมาทางหลินเฉิน พลังสายฟ้าแตกกระจายราวกับเถาวัลย์สายฟ้าที่ไหลตามพื้น แต่หลินเฉินกลับไม่หลบ เขายกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก เสียงแหลมสูงดังขึ้นพร้อมกับคลื่นเสียงที่กระแทกสายฟ้าให้หักเหเบี่ยงทิศ
เสียงกับสายฟ้า สองสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ กลับปะทะกันราวของแข็ง ดวงตาของหลินเฉินเริ่มแปรเปลี่ยน ปรากฏรอยสีฟ้าสว่างแฝงอยู่ในม่านตา “จิตขลุ่ยมังกรสายฟ้า” ถูกเร่งเร้า เสียงขลุ่ยพลิ้วไหวอย่างอ่อนโยนแต่ซ่อนความหนักแน่น เมื่อถึงช่วงท่อนกลาง เสียงนั้นกลับบีบคั้นยิ่งขึ้น อัดแน่นพลังภายในเข้าสู่จุดหนึ่ง ก่อนแตกกระจายออกในวงกว้าง!
พื้นหินใต้เท้าจางม่านอี้เริ่มแตกร้าวจากแรงคลื่น นางพลิกตัวหลบอย่างลื่นไหล พร้อมกับร่ายกระบวนดาบที่สอง “เงาอัสนีสายที่ห้า พสุธาถล่ม” ท่าดาบของนางไม่ใช่แค่สายฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นพายุที่กดทับลงมาทั้งจากฟ้าและพื้น คล้ายจะบดขยี้ทุกสิ่ง
หลินเฉินยังไม่ขยับ เขาหลับตา...แล้วเสียงขลุ่ยเงียบไปในพริบตา จางม่านอี้ชะงัก “หายไปแล้ว?” แต่ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับจากพื้นดิน คล้ายกับมีบางอย่างสะท้อน กระบวนท่า ของตนกลับมา จากนั้นเอง ร่างของหลินเฉินก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของนางโดยไม่มีวี่แวว พร้อมกับเสียงขลุ่ยชุดใหม่ที่ดังขึ้นเบาๆ ตรงข้างหู “หากเจ้าทำลายจากภายนอกไม่ได้... ก็จงเปลี่ยนเสียงของข้าให้ทะลุเข้าจากภายใน” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่กลับสะท้อนทั่วช่องอกของนาง พลังภายในของจางม่านอี้สั่นไหว แม้ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ แต่กระแสพลังในจุดตันเถียนพลันหมุนผิดจังหวะ นางรีบถอนกระบวนยุทธ์ ดึงลมหายใจกลับสู่สมดุล
ทั้งสองถอยห่างออกเล็กน้อย...ศาลาริมสระกลับสู่ความสงบอีกครั้ง กลีบเหมยโปรยลงพื้นเงียบๆ ไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงลมหายใจของคนสองคน จางม่านอี้มองหลินเฉินนิ่ง ก่อนกล่าวขึ้นเบาๆ “เจ้าชนะ” “แต่มิใช่เพราะพลังเจ้าสูงกว่า...” “หากแต่เพราะเจ้า ไม่คิดจะทำร้ายข้า ตั้งแต่แรก” หลินเฉินไม่ตอบในทันที แต่กลับเก็บขลุ่ยกลับใส่ปลอก แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจฆ่าข้า” “เจ้าสำนักไม่ได้ให้เจ้ามาฆ่าข้าหรอก จริงไหม?” จางม่านอี้ยิ้มมุมปากเป็นครั้งแรก สีหน้านิ่งสงบของนางมีแววอ่อนโยนที่ไม่เคยเผยมาก่อน “เจ้าสำนักอยากรู้ว่า...เจ้ามีค่าพอให้ ‘เชิญขึ้นเขาชั้นใน ณ หอโอสถสุริยัน’ หรือไม่”
“ตอนนี้ข้ามั่นใจว่า เจ้าควรไปได้แล้ว” หลินเฉินพยักหน้า พลางก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ ทว่าในขณะที่เขาหันหลังเดินจากไป จางม่านอี้กลับพูดขึ้นเบาๆ “หลินเฉิน...” “ข้าไม่คิดว่าข้าจะต้องการประลองกับเจ้าครั้งที่สองหรอก” “...แต่ข้าหวังว่า สักวันหนึ่ง จะได้ ร่วมมือ กับเจ้าอีกครั้ง” หลินเฉินไม่หันกลับมา แต่หยุดเดินเพียงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเพียงประโยคเดียว “หวังว่า...วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า”