หลังผ่านการหยั่งเชิงกับจางม่านอี้ หลินเฉินก็ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่เขาชั้นในของสำนักในวิหารโอสถศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นส่วนที่ลึกที่สุดและเป็นที่ตั้งของ “หอโอสถสุริยัน” ศูนย์กลางแห่งศาสตร์โอสถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ เพียงก้าวแรกเข้าสู่หอ หลินเฉินสัมผัสได้ถึงพลังธาตุไฟแปรปรวนอยู่ในอากาศ กลิ่นโอสถหลากชนิดลอยเวียนอยู่ในกระแสลม ราวกับภูติแห่งโอสถกำลังเต้นรำในเปลวเพลิง
ไม่ทันไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหน้าห้องโถงโอสถหลัก “หลินเฉิน...” “ข้า ไป๋หรูเยวี่ยที่เชิญเจ้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านอาวุโสม่ออวิ๋น” ร่างหญิงสาวในชุดอาภรณ์แดงเพลิงเดินตรงเข้ามา ใบหน้าคมเข้มเฉียบ แววตาแข็งกล้าไม่แพ้เปลวไฟที่ล้อมรอบนาง “ข้าไม่สนว่าที่เจ้าผ่านการประลองกับศิษย์พี่ม่านอี้มาได้อย่างไร” แม้ท่านอาวุโสม่ออวิ๋นจะเชื่อมั่นในเจ้า “แต่ที่นี่คือหอโอสถสุริยันเจ้าไม่มีสิทธิ์เหยียบเข้าถ้าไม่ผ่าน ‘ไฟพิสูจน์โอสถ’ ของข้า” หลินเฉินพยักหน้าเบาๆ ไม่กล่าวอะไรให้มากความ
ภายในหอโอสถสุริยันในเช้าวันนั้น แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระจกใสสะอาดสะท้อนประกายสีทองอ่อน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหยกดังเป็นจังหวะกังวาน ก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าหลินเฉิน ชายหนุ่มผู้ยืนอย่างสงบนิ่งกลางโถงปรุงโอสถ ขณะที่ดวงตาคมราวกระบี่จ้องมองสตรีผู้เพิ่งก้าวเข้ามาด้วยแววไร้คลื่นอารมณ์ ไป๋หรูเยวี่ย ศิษย์ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของหอโอสถสุริยัน นางยืนหลังเหยียดตรง งามเยียบเย็นดั่งหิมะบนยอดเขาหวูจาง เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยก ดวงตาเรียวยาวเปล่งแสงแห่งความมั่นใจ เย็นชาแต่เปี่ยมด้วยแรงกดดันอย่างไม่เอ่ยคำ
“ท้าประลองปรุงโอสถ?” หลินเฉินกล่าวตอบเสียงเรียบ แม้ไม่มีความหวือหวาในน้ำเสียง แต่กลับแฝงความเฉียบคมเฉกเช่นยอดเข็ม “ใช่” ไป๋หรูเยวี่ยตอบทันที ดวงหน้าสะคราญมิไหวติงแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวต่อช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “โอสถระดับ 2 ใครปรุงได้บริสุทธิ์กว่า เป็นผู้ชนะ!”
จากนั้นนางหยุดหายใจหนึ่งจังหวะ ดวงตาทอประกายก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ทั่วทั้งโถงถึงกับระส่ำระสาย “ไม่ใช้เปลวไฟจากภายนอก ใช้เพียง ‘เปลวเพลิงชีพ’ ของตนเท่านั้น!” เมื่อสิ้นคำประกาศของนาง เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นทั่วโถงปรุงโอสถทันที บรรดาศิษย์ในหอที่ได้ยินข่าวต่างพากันเร่งฝีเท้าเข้ามามุงดูอย่างไม่อาจห้ามใจ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นไป๋หรูเยวี่ยลงมือด้วยตนเอง นับประสาอะไรกับการท้าประลองต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ “ไป๋หรูเยวี่ยนั่นนะหรือ?” “ใช่ นางคือศิษย์อัจฉริยะของหอโอสถ! ขนาดพี่ใหญ่หลิวยังแพ้นางมาแล้ว!” “คราวนี้จะประลองด้วยเปลวเพลิงชีพเสียด้วย...เรื่องใหญ่นัก!”
เสียงซุบซิบดังระงม ทว่าหลินเฉินยังคงยืนนิ่ง สายตานิ่งสงบดุจทะเลไร้คลื่น เขาไม่ใช่ผู้ยึดติดกับชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่กลับรู้ดีว่า หากไม่ผ่านบททดสอบนี้เสียก่อน คงไม่มีทางยืนหยัดในหอโอสถได้ยาวนานเป็นแน่ ไป๋หรูเยวี่ยเองก็ทราบดี...หากเขาไม่ใช่ผู้มีฝีมือแท้จริง ไม่มีทางยืนอยู่ตรงนี้อย่างมั่นคงได้ “ดี” หลินเฉินพยักหน้าเบาๆ “ข้ารับคำท้า”
กระถางปรุงโอสถถูกรินอักขระลงใหม่ทันทีด้วยปรมาจารย์ฝ่ายดูแลพิธี บรรยากาศภายในโถงถูกปิดกั้นด้วยม่านพลัง บรรยากาศสงบนิ่ง แต่กลับอัดแน่นไปด้วยความกดดัน โอสถที่ใช้ในการประลองครั้งนี้ คือ “โอสถควบรวมพลังวิญญาณจิงหยวน” โอสถระดับ 2 ที่มีความซับซ้อนสูง ด้วยมีคุณสมบัติในการกลั่นรวมลมปราณจากทั่วร่างให้เป็นหนึ่งเดียว เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแรก
วัตถุดิบหลักมีสามชนิด “รากหลิงฮวา” วัตถุดิบธาตุน้ำ ลักษณะเย็นเยียบและต้องควบคุมระดับความชื้นอย่างแม่นยำ “ผลจื่อหยวน” ธาตุไม้ ต้องสกัดน้ำมันวิญญาณออกให้หมดก่อนใช้ มิฉะนั้นจะเกิดการต้าน “เปลือกอัคคีหยก” ธาตุไฟร้อนแรง หากใช้ผิดเพียงเสี้ยว จะระเบิดโอสถทั้งกระถางทันที ขั้นตอนการปรุงต้องอาศัย การควบแน่นวิญญาณโอสถทั้งสามธาตุในเวลาเดียวกัน ด้วยอุณหภูมิเปลวเพลิงที่คงที่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังต้องควบคุมพลังจิตเพื่อหลอมรวมไม่ให้แตกแยกเป็นเสี้ยวโอสถ หากเพียงพลาดเพียงเล็กน้อย โอสถที่ได้จะกลายเป็นของเสียทันที
เสียง “ฉับ” ดังขึ้นเมื่อทั้งคู่สะบัดชายแขนเสื้อ คลื่นพลังปราณจากภายในระเบิดออกจากจุดตันเถียนกลางอก เปลวเพลิงไร้เงาปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือทั้งสอง เปลวเพลิงของไป๋หรูเยวี่ยเป็นสีฟ้าอมม่วง เย็นชาแต่ลึกล้ำราวหยินแท้ พลังคงที่จนแทบไร้การสั่นไหว ในขณะที่เปลวเพลิงของหลินเฉินกลับเรืองแสงส้มอ่อนอาบด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิต ดุจเปลวตะวันยามอรุณ เปลวเพลิงชีพของเขาไม่ร้อนแรงที่สุด ไม่มั่นคงที่สุด ทว่า “มีชีวิต” ที่สุด!
การแข่งขันเริ่มขึ้นพร้อมเสียงระฆังหนึ่งยกวัตถุดิบถูกนำเข้ากระถางในจังหวะเดียวกัน ใบหน้าทั้งสองเยียบเย็น ต่างจดจ่ออย่างยิ่งยวด พลังจิตของทั้งคู่พุ่งเข้าสู่โอสถอย่างแม่นยำ ความร้อน ความเย็น และการหลอมรวมสามธาตุ ทั้งหมดถูกรังสรรค์ขึ้นราวการประพันธ์บทกวี ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เหงื่อเริ่มผุดซึมบนหน้าผากของไป๋หรูเยวี่ย เปลวเพลิงเริ่มสั่นเล็กน้อย สะท้อนว่าการควบคุมพลังจิตเริ่มลดลงเล็กน้อย ในขณะที่หลินเฉินยังคงมั่นคง ราวสายน้ำในหุบเขาลึก ไม่มีสิ่งใดหวั่นไหวได้
เปลวเพลิงของไป๋หรูเยวี่ย แดงสว่าง เสถียร มั่นคงราวเปลวเทียนในลม พลังควบคุมที่แม่นยำระดับสูง นางเริ่มต้นด้วยการหลอมรากหลิงฮวาโดยใช้คลื่นความร้อนแผ่วเบาสม่ำเสมอ ก่อนจะดึงพลังวิญญาณให้แตกตัวภายใน
เปลวเพลิงของหลินเฉิน เงียบ... แต่แรงดันสูง ราวกับเปลวเพลิงที่หลับใหลใต้ภูเขาไฟ เขาไม่ใช้ความร้อนแบบทั่วไป หากแต่ปลุก “จิตเพลิงในใจ” ที่หลอมรวมจากวิถีอัสนีภายในกายมากระตุ้นให้เกิดจังหวะพลังสั่นสะเทือนในหม้อโอสถแทนการให้ความร้อนตรง
เสียงกระซิบยาวจากไป๋เหิงเทียนจากขลุ่ยหยกแผ่วเบาดังขึ้นภายใน “โอสถนี้ต้องใช้เปลวเพลิงชีพที่อุณหภูมิพุ่งสูงอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเร่งไฟแบบดั้งเดิม ความเที่ยงตรงแห่งการสกัดกลั่นสมุนไพรแต่ละชนิดด้วยลมปราณจะทำให้โอสถบริสุทธิ์ เจ้าผิดพลาดไม่ได้แม้แต่ลมปราณเดียว”
ผู้ชมรอบด้านเริ่มซุบซิบ “เขาหลอมโอสถด้วยลมปราณ?” “วิธีนั้น...เป็นไปได้ยังไง?!” การประลองใกล้ถึงจุดสำคัญ โอสถของไป๋หรูเยวี่ยเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเขียวมรกต เรียบเนียน ด้านในมีแสงวิญญาณหมุนวน สัญญาณของโอสถใกล้สมบูรณ์ แต่หลินเฉินกลับมีปัญหาในวินาทีสุดท้าย
โอสถในหม้อเกิดเสียง “ฉึก!” เบาๆ คล้ายจะแตกกระจาย ทุกคนคิดว่าเขาคงพลาดแล้ว...แต่หลินเฉินกลับหลับตา เป่าขลุ่ยหนึ่งโน้ต เสียงโน้ตนั้น สั้นมาก แต่ก้องไปทั้งหอ ราวกับคลื่นสะเทือนของเสียงนั้น “เชื่อม” เส้นพลังวิญญาณที่กำลังจะแตกของโอสถไว้ได้ทันพอดี ตูม! ทั้งสองหม้อโอสถแตกออกพร้อมกัน หมอกโอสถพวยพุ่งขึ้นกลางห้อง ผลลัพธ์ เมื่อหมอกจางลง
โอสถของไป๋หรูเยวี่ยมีแสงจางๆ ล้อมรอบทั้งเม็ด บริสุทธิ์ระดับ 9 ใน 10 ส่วน โอสถของหลินเฉิน มีวงแหวนแสงสีเงินบางๆ โอบรอบเม็ด พลังวิญญาณภายในนิ่งสนิท บริสุทธิ์ระดับ 9 กึ่ง ใน 10 ส่วน ไป๋หรูเยวี่ยตะลึง นางกำหมัดแน่น ก่อนค่อยๆ คลายออก แล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้า...ชนะ”
“แต่ข้าไม่ยอมรับ ว่าข้าปรุงโอสถสู้เจ้าไม่ได้” “มีโอกาสหน้า เราจะเจอกันอีก ในระดับที่สูงกว่านี้”
หลินเฉินยิ้มเพียงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ต้องการชนะใคร...” “แต่ถ้าการชนะคือทางเดียวที่จะก้าวต่อไป ข้าก็จะไม่ถอย” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากชั้นบนสุดของหอ “โอสถที่ใช้ลมปราณในการหลอม... น่าสนใจทีเดียว” “หลินเฉิน เจ้ามีสิทธิ์เข้าถึง ‘คัมภีร์โอสถสวรรค์ชั้นที่สอง’ แล้ว” เป็นเสียงของ เจ้าหอโอสถสุริยัน ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งแห่งสายโอสถของสำนักหั่วอวิ๋น ประตูสู่โอสถระดับลึกได้เปิดออก แต่ในขณะเดียวกัน...เงาของใครบางคนในชุดคลุมดำก็กำลังเฝ้ามองการประลองนี้จากยอดเขา “เด็กนั่น... คือส่วนเติมเต็มของ ‘โอสถเทพ’ ที่ปลูกฟื้นคืนชีพเจ้าหญิงนิทราได้จริงหรือ?”
แม้การประลองสิ้นสุดลงและผู้คนค่อยๆ สลายตัวไปจากหอโอสถ ทว่าในใจของหลินเฉินกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ยังไม่จบสิ้น เหมือนเปลวเพลิงที่ยังไม่ดับดีใต้ขี้เถ้า เงียบงันแต่ซ่อนความร้อนเร่าไว้เบื้องลึก ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งแผ่วเบาแต่ทรงพลัง ก็ดังขึ้นจากเบื้องบนของหอ “ให้เขาขึ้นมาที่ชั้นห้า...เดี๋ยวนี้” เสียงนั้นราวกับลมหนาวห่มคลุมทั่วโถง แม้ไม่แผดร้อง แต่กลับทำให้บรรดาศิษย์และอาจารย์ในหอหยุดหายใจไปชั่วขณะ ดวงตาของไป๋หรูเยวี่ยหรี่ลงอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะหันมากล่าวกับหลินเฉินเบาๆ “นั่นคือ...เสียงของเจ้าหอ”
หลินเฉินไม่ได้ตอบอะไร เพียงประสานมือคารวะแล้วก้าวเดินไปตามทางเดินยาวที่ทอดสู่ชั้นห้าของหอโอสถ สถานที่ซึ่งมีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้ย่างกรายเข้าไป ชั้นห้าแห่งหอโอสถสุริยัน ประตูไม้สีดำสนิทเปิดออกช้าๆ ด้วยแรงลมปราณที่มองไม่เห็น ภายในห้องโอ่อ่าแต่เรียบง่าย กลิ่นสมุนไพรเก่าแก่ลอยอบอวล มีเพียงเตาปรุงโอสถโบราณตั้งอยู่กลางห้องและบุรุษในชุดคลุมสีทองเข้มคนหนึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหลัง
ผมของเขาขาวดุจหิมะ แต่ใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยพลังอำนาจราวพญามังกร พลังจิตอันลึกซึ้งแผ่ซ่านทั่วห้องแม้ไม่ตั้งใจ เจ้าหอ... “ต้วนจิ้งเยี่ยน” ผู้ที่ได้รับสมญานามว่า "เปลวสุริยันผู้ไม่ดับ" ขึ้นเป็นเจ้าหอคนปัจจุบันเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเขาอยู่ในระดับพลังเท่าใด แต่ผู้ที่เคยท้าทายเขาไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับไป ต้วนจิ้งเยี่ยนลืมตาขึ้น ชั่วขณะหนึ่ง หลินเฉินรู้สึกราวดวงจิตถูกทะลวงด้วยสายตาคู่นั้น “เจ้า...ชื่อหลินเฉินใช่หรือไม่?” เสียงของเขาราบเรียบ ทว่าแฝงแรงกดดันมหาศาล “ใช่ ข้าน้อยหลินเฉิน ขอคารวะท่านเจ้าหอ”
หลินเฉินโค้งศีรษะโดยไม่เสียกิริยา แม้ในใจจะรู้สึกตึงเครียดก็ตาม ต้วนจิ้งเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป พลันกล่องไม้ดำสนิทกล่องหนึ่งก็ลอยออกมาจากหลังม่านพลังจิต ก่อนหน้าที่เจ้าจะเข้าหอ ข้าได้รับ ‘โอสถลึกลับ’ หนึ่งเม็ดจากแหล่งที่มาไม่ทราบแน่ชัด ข้าอยากทดสอบความรู้ทางด้านโอสถของเจ้า