กล่องไม้สีดำสนิทลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตกลงบนแท่นหยกเบื้องหน้าหลินเฉินอย่างแผ่วเบา ไม่มีเสียง ไม่มีแรงกระแทก แต่กลับคล้ายเปลวสุริยันที่ม้วนวนอยู่เงียบๆ ใต้ฝาครอบแผ่นฟ้า “โอสถเม็ดนี้...ไม่มีศิษย์คนใดในหอสามารถวิเคราะห์องค์ประกอบได้” ต้วนจิ้งเยี่ยนกล่าวช้าๆ เจ้า หลินเฉิน จงวิเคราะห์มันให้ข้า ดูว่าเจ้าคู่ควรกับ ‘คัมภีร์โอสถสวรรค์’ ชั้นถัดไปหรือไม่”
หลินเฉินยืนนิ่งเพียงอึดใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังแท่นโอสถ ชั่วขณะหนึ่งในสายตาของทุกผู้ที่อยู่เบื้องหลังม่านพลังจิต เขาไม่ต่างจากเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่ง ทว่าในยามที่เขาเหยียดนิ้วออกแตะกล่องนั้น...สายลมปราณทั่วห้องกลับไหวสะท้าน ตึก...เสียงฝากล่องถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า ภายในปรากฏเม็ดยาสีดำขลับ เม็ดกลมเรียบสมบูรณ์ ไม่มีแสง ไม่มีกลิ่น แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเฉียบลึกในกระดูก
“โอสถไร้กลิ่น?” หลินเฉินขมวดคิ้ว เขาหลับตาลง เสียงของไป๋เหิงเทียนจากขลุ่ยหยกที่เหน็บอยู่ด้านหลัง พลังกระแสเสียงระดับลึกแผ่คลุมพื้นที่โดยรอบ เสียงต่ำแผ่วคล้ายลมหายใจของป่าไม้พันปี โอบอุ้มเม็ดยานั้นไว้ในพลังสัมผัส และกล่าวในกระแสห้วงคำนึงที่หลินเฉินจะรับฟังได้คนเดียว “นี่ไม่ใช่โอสถที่กลั่นจากพลังธรรมดา...” “มัน...มีชีวิต” และหลินเฉินเอาไปกล่าวต่อต้วนจิ้งเยี่ยน คำพูดนั้นทำให้ต้วนจิ้งเยี่ยนลืมตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเปล่งแสงทองวาบหนึ่งชั่วพริบตา ก่อนจะกลับสู่ความนิ่งสงบ “อธิบาย” ต้วนจิ้งเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
หลินเฉินเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเขาในยามนี้สะท้อนแสงเพลิงจางๆ “โอสถนี้...มิได้กลั่นจากธาตุทั้งห้าโดยตรง แต่มาจากการผสานพลัง ‘เศษเสี้ยวจิตแห่งสวรรค์’ เข้ากับธาตุที่แตกสลายแล้ว กล่าวคือ โอสถนี้มิได้หลอมด้วยไฟธรรมดา แต่เกิดจาก เปลวชีพวิญญาณ ที่หลอมรวมความตายเข้ากับชีวิต” เขากล่าวตามที่ไป๋เหิงเทียนบอก
“ในหนึ่งเม็ด ประกอบด้วย...” รากเงาวิญญาณ วัตถุดิบต้องห้ามในยุทธภพ โบราณนัก เลือดของสัตว์อสูรครึ่งเซียน ที่มีคุณสมบัติกลืนกลายธาตุ และที่น่าตกใจที่สุด ผลึกพลังของจิตโอสถจากยุคจักรพรรดิเซียน “โอสถเม็ดนี้...ถูกกลั่นเพื่อรักษา จิตวิญญาณผู้ใกล้ดับสูญ และในขณะเดียวกันก็สามารถกลืนพลังวิญญาณจากร่างอื่น เพื่อฟื้นคืนพลังโอสถให้แก่ผู้ใช้” เขากล่าวช้าๆ เสียงรอบห้องเงียบงัน ต้วนจิ้งเยี่ยนหลับตาลงอีกครั้ง เสียงหัวเราะเบาๆ ดังจากลำคอของเขา “ฮ่าๆๆ... เช่นนั้นข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไม ‘เงาแห่งโอสถเทพ’ ถึงตื่นจากหลับไหล”
หลินเฉินยืนนิ่ง เงยหน้ามองบุรุษผู้อยู่เบื้องหน้าราวมังกรเหนือเวหา “โอสถเม็ดนี้ แม้จะทรงพลัง...แต่หากใช้ผิดที่ผิดเวลา อาจกลายเป็น ‘คำสาปชีวิต’ ได้” “ถูกต้อง” ต้วนจิ้งเยี่ยนลืมตา ดวงตาเปล่งแสงทองเข้มอีกครั้ง “คำตอบของเจ้าทำให้ข้าแน่ใจแล้วเจ้า...คือคนที่ ‘คัมภีร์โอสถสวรรค์’ รอคอย” เขายกมือขึ้น
สายหมอกสีทองทะลุผ่านกำแพงด้านหลัง เผยให้เห็นห้องลับที่มีคัมภีร์ผูกด้วยเส้นใยโลหะสายแสงสิบสามม้วน ลอยอยู่เหนือแท่นโอสถศิลา “จงศึกษาให้ดี แต่อย่าลืมเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ทางของคัมภีร์เล่มนี้ เจ้าจะไม่สามารถกลับมาเป็น ‘หลินเฉินผู้ธรรมดา’ ได้อีก” หลินเฉินยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือคารวะอย่างสงบและรำลึกในใจว่า “ข้า...ไม่เคยคิดจะเป็นผู้ธรรมดา ตั้งแต่วันที่ข้าเลือกถือขลุ่ยหยกและเดินตามวาสนาของตัวข้าแล้ว”
ภายในห้องลับชั้นห้าของหอโอสถสุริยัน หลังจากที่ต้วนจิ้งเยี่ยนได้ทดสอบหลินเฉินด้วย “โอสถลึกลับ” และเห็นกับตาว่าเด็กหนุ่มสามารถวิเคราะห์โครงสร้างระดับลึกของมันได้ด้วยจิตวิญญาณแท้ของนักโอสถ เขาก็ไม่มีคำใดต้องเอ่ยอีก “…เจ้าอาจไม่รู้ตัวเอง ว่าข้ากำลัง ‘ฝากชีวิตของผู้คนไว้กับมือของเจ้า’” เสียงของเจ้าหอดังราบเรียบ ขณะยื่นม้วนคัมภีร์โอสถฉบับหนึ่งให้หลินเฉิน
“ในเขตตอนเหนือของเมืองอวิ๋นหลง มีหมู่บ้านที่ล้มตายปริศนา ชาวบ้านสิบสามคนล้มป่วย พลังชีวิตร่วงโรยทุกคืน กลิ่นโอสถใดก็รักษาไม่หาย แม้แต่ผู้อาวุโสสายโอสถอีกสามคนของสำนัก...ก็จนปัญญา” ต้วนจิ้งเยี่ยนหรี่ตา มองลึกเข้าไปในดวงตาของหลินเฉิน “ข้าอยากให้เจ้าไป และ รักษา พวกเขาให้ได้”
เมืองอวิ๋นหลง – คืนที่สอง หลินเฉินใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันในการเดินทางถึงหมู่บ้าน บ้านเรือนที่นี่สงบเงียบเกินไป หยากไย่บนชายคาและหมอกจางๆ ที่ลอยตลอดวัน ทำให้ทุกย่างก้าวราวกับฝ่าเข้าไปในโลกที่ถูกตัดขาดจากชีวิต เมื่อเข้าสำรวจในบ้านที่มีผู้ป่วย เด็กชายคนหนึ่งนอนตัวสั่นริมเตียง เส้นเลือดใต้ผิวหนังเขียวคล้ำกลิ่นพลังธาตุ…“แปลก” ไม่ใช่พิษ ไม่ใช่พลังมาร และไม่ใช่ธาตุปกติที่สามารถตรวจจับได้ หลินเฉินหลับตา นิ่งอยู่หน้าเตียง ก่อนที่เขาจะขับเปลวเพลิงชีพออกจากฝ่ามือ แต่มันไม่ลุกไหม้ หากแต่ “สะท้อน” กลับเล็กน้อย...เป็นพลังแฝงที่คล้าย พลังย้อนกลับของโอสถ
“โอสถยับยั้งวิญญาณ...โอสถลบล้างลมหายใจ?” เขานิ่งงัน ก่อนตบมือลงบนจุดชีพจรของเด็กชาย พร้อมเป่าขลุ่ยหนึ่งเสียง สายพลังบางๆ แทรกเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้ป่วยในทันใด เขาเห็นภาพโอสถชนิดหนึ่ง...ถูกบดแทรกลงในน้ำ ในโอสถนั้นมี “รากซินเว่ย” ซึ่งเป็นพืชที่ถูกห้ามใช้มานานนับร้อยปี เพราะมัน “ดูดกลืนพลังชีวิตของผู้ใช้ เพื่อเก็บไว้ในรูปโอสถที่ไม่มีรูปร่าง” หากวิเคราะห์เพียงร่างภายนอกจะไม่มีทางเจอ…เว้นเสียแต่วิเคราะห์ผ่านจิตวิญญาณโดยตรง
การรักษา ห้ามใช้ไฟ ต้องใช้จิต หลินเฉินสกัดโอสถสูตรพิเศษ “โอสถฟื้นสัญญาณแห่งชีวิต” ผสมจากดอกหยินซาน น้ำปราณอรุณ และเศษผงกระดูกวารีขาว เขาไม่ใช้ไฟกลั่นเลยสักนิด แต่ใช้เพียงเสียงขลุ่ย และ “เปลวเพลิงชีพ” ระดับจิตวิญญาณ เพื่อนำพาโอสถเข้าสู่จุดลึกสุดของเส้นชีพจร ผู้ป่วยแต่ละคนเริ่มมีลมหายใจที่มั่นคงขึ้นในคืนที่สอง
และในคืนที่สี่…ทุกคนลืมตา ภารกิจสำเร็จ แต่ความจริงเบื้องหลัง คืนก่อนกลับ ระหว่างที่หลินเฉินเก็บข้าวของเพื่อเตรียมรายงานผล เขาก็พบเข้ากับสมุดบันทึกเก่าเล่มหนึ่งในห้องแพทย์ท้องถิ่น ข้างใน มีข้อความเขียนว่า “ข้าไม่รู้ว่าใครส่งโอสถมาให้ ท่านเจ้าหอเพียงสั่งให้เรานำมันแจกจ่าย…” “แต่ผู้ที่มอบมันมานั้น มีตราสลัก ‘ดอกชาดสามกลีบ’ – ตราของพรรคชาดมรณะ!” หลินเฉินกัดฟันแน่น ความสงบของภารกิจนี้คือเปลือกบางๆ เบื้องหลังคือเงาของผู้ที่กำลังทดสอบ “โอสถมาร” บนชีวิตผู้คน!
กลับสู่หอโอสถ รายงานความจริง ต้วนจิ้งเยี่ยนฟังรายงานของหลินเฉินเงียบๆ ไม่ขัด ไม่แทรกเขานั่งหลับตาเนิ่นนาน ก่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดว่า...ข้ารู้หรือไม่ ว่าโอสถพวกนั้นมีเงื่อนงำ?” หลินเฉินไม่ตอบ “ข้ารู้” ต้วนจิ้งเยี่ยนลืมตา ดวงตาเปล่งประกาย “และเจ้าคือบทพิสูจน์…ว่าโลกใบนี้ ยังมีโอสถแท้ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้พลังมาร” เขาหยิบกล่องหินสีฟ้าจางออกมา “ข้าให้เจ้า…สิทธิ์เปิด ‘ห้องต้นกำเนิด’ ของหอโอสถสุริยัน” ข้างในนั้น...มีบันทึกของโอสถที่แม้แต่ข้ายังไม่กล้าใช้ แล้วเจ้าจะรู้เองเมื่อถึงเวลาว่าจะเปิดมันเมื่อไร เมื่อเวลาเหมาะสมตามชะตาชีวิตของเจ้า