เพลิงวิญญาณแห่งอสูร

ณ คืนเดือนดับที่หอโอสถสุริยัน

แสงจันทร์มิอาจลอดผ่านม่านหมอกปราณที่ปกคลุมชั้นห้าของหอ

ร่างของหลินเฉินนั่งขัดสมาธิหน้าเตาปรุงโอสถโบราณ

แผ่นคัมภีร์สายแสงสิบสามม้วนยังลอยอยู่เบื้องหลัง แต่ในเวลานี้...เขาหลับตา

และกำลังฟังเสียงหนึ่ง

เสียงนั้น มิใช่ผู้ใดอื่น...

“หลินเฉิน เจ้าเคยสงสัยหรือไม่...ว่าทำไมเปลวเพลิงชีพของเจ้าจึง

‘มีชีวิต’ ขนาดนั้น”

เสียงของ ไป๋เหิงเทียน ดังขึ้นในห้วงจิต

“เพราะมัน...มิได้เกิดจากเจ้าเพียงลำพัง หากแต่ถือกำเนิดจาก

‘สายเลือดอสูร’ บางสิ่งที่หลับใหลในตัวเจ้า…”

หลินเฉินเบิกตา ดวงตาสะท้อนแสงเพลิงส้มระเรื่อ “สายเลือดอสูร?”

ไป๋เหิงเทียนในจิตขานตอบเบาๆ

“เจ้าไม่ใช่แค่นักโอสถธรรมดา...เปลวเพลิงชีพของเจ้า ‘ตอบสนอง’

ต่อพลังวิญญาณของอสูร เช่นเดียวกับข้า

เมื่อครั้งยังมีร่าง”

ในยามรุ่งสางวันถัดมา

ที่ลานลับหลังภูผาด้านตะวันตกของหอโอสถ

ไป๋เหิงเทียนพาหลินเฉินเข้าสู่พิธีฝึกวิชาขั้นใหม่ “เพลิงวิญญาณอสูร”

ศาสตร์ลับโบราณที่ถูกลืม เพราะผู้ฝึกจะต้องใช้ เปลวเพลิงชีพของตน

กลืนวิญญาณอสูร และนำมา หลอมรวม เป็นหนึ่งกับพลังชีพของตนเอง

“วิชานี้...ไม่ใช่การควบคุมอสูรแบบผู้อื่น แต่เป็นการ ‘ฟังเสียง’

ของอสูร”

“เพราะเจ้า...จะไม่ใช่เจ้านายของมัน เจ้า

จะเป็น ‘คู่สัญญา’ ของมัน”

หลินเฉินมองเส้นอักขระเวทย์โบราณที่วาดอยู่บนพื้นหิน ร่างภาพของ

"อสูรหมอกเพลิงปักษา" ปรากฏอยู่กลางวงแสง เสียงกรีดร้องดังก้องในใจ

“วิญญาณอสูร...มันยังเจ็บปวด”

“มันถูกหลอมผิดพลาดเมื่อร้อยปีก่อน” ไป๋เหิงเทียนกล่าว

“เจ้าต้องช่วยมันให้สงบ ก่อนจะฝึกควบรวมได้”

หลินเฉินหลับตา ยื่นมือเปล่าเข้าสู่วงอักขระ

เปลวเพลิงชีพสีส้มอ่อน ลุกขึ้นแผ่วเบา แต่ครั้งนี้...มันสั่นไหว

เขาหลอมใจตัวเอง เข้ากับเสียงกรีดร้องนั้น...มิได้พยายามข่ม แต่ “ฟัง”

“เจ้าคือใคร...”

เสียงหนึ่งกระซิบในความมืด

หลินเฉินตอบในใจ “ข้าคือคนที่ยังไม่หยุดเดิน

แม้ต้องฝ่ากองเพลิงแห่งชะตา”

เสียงนั้นเงียบไป ก่อนที่มันจะตอบกลับ

“เช่นนั้น...ข้าจะเดินไปกับเจ้า”

ตูม!

เพลิงสีส้มและเพลิงหมอกดำกระแทกเข้าหากัน ก่อนเปลี่ยนเป็น

เพลิงปักษาสีเทาเงิน ลอยล้อมรอบตัวหลินเฉินเป็นวงแหวน

พิธีสำเร็จ

หลินเฉิน...กลายเป็นผู้แรกในรอบร้อยปีที่หลอมรวม “วิญญาณอสูร”

เข้ากับเปลวเพลิงชีพของตนได้อย่างสมบูรณ์

คืนต่อมา

หลินเฉินนั่งขัดสมาธิใต้ต้นหยกดำ

อสูรหมอกเพลิงปักษา ในรูปของปักษายักษ์เงาร่างโปร่ง ยืนเงียบเคียงข้างเขา

ไป๋เหิงเทียนกล่าวผ่านเสียงขลุ่ย “จากนี้ไป

เจ้าไม่ใช่แค่นักโอสถอีกต่อไป”

“เจ้า...คือ ‘ผู้สื่อวิญญาณแห่งอสูร’”

แต่ในเงามืดของหอโอสถนั้น เงาคลุมดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายตาจ้องมองเพลิงสีเทาเงินของหลินเฉินอย่างไม่ละสายตา

สามวันหลังจากหลินเฉินหลอมรวมกับอสูรหมอกเพลิงปักษา

ภายในห้องลับชั้นในสุดของหอโอสถสุริยัน สายฟ้าสีครามระยิบเร้าระหว่างเสาโอสถทั้งสี่ต้น

แต่ละสายเป็นสายฟ้าแห่งจิตวิญญาณ มิใช่สายฟ้าแห่งธรรมดา

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดใจหลินเฉินมากกว่าใด...คือเงาดำเลือนลางที่จ้องมองเขาจากกลางวงสายฟ้า

อสูรโอสถสายฟ้า ‘จิ่วเถี่ยน’

ไป๋เหิงเทียนกล่าวเตือนเบา ๆ

“จิ่วเถี่ยน...คือหนึ่งในสี่อสูรโอสถที่หลับใหลมาตั้งแต่ยุคจักรพรรดิแห่งฟ้า

ผู้ใดจะฝึกได้ ต้องมีหัวใจที่ ‘ไม่หลอกตัวเอง’”

“หากเจ้ามีเงาแม้เพียงเล็กในใจ มันจะฟาดเจ้า...จนกลายเป็นเถ้าผง”

หลินเฉินก้าวเข้าสู่วงสายฟ้า เสียงคำรามดังก้องทั่วโพรงหิน

“เจ้ากล้าท้าทายข้า

ทั้งที่เจ้าหวาดกลัวแม้แต่ความจริงในหัวใจของตน?”

กลางมิติในใจ

หลินเฉินถูกสายฟ้ากระชากเข้าสู่ภวังค์ สถานที่ไร้กาลเวลา ที่มีเพียงเขา และ “ตนเองอีกคนหนึ่ง”

ชายผู้นั้นมีใบหน้าเดียวกับเขา แต่ในแววตามีเพียง ความโกรธ

ความอาฆาต และไฟแห่งความเกลียด

“เจ้ากำลังฝึกเพื่อช่วยผู้คน? หรือเจ้าฝึกเพื่อ

‘ลบคำดูแคลน’ ที่โลกเคยประทับไว้บนตัวเจ้า?”

เสียงของอสูรจิ่วเถี่ยนดังซ้อนเข้ามา

“เจ้าอยากฝึกเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่...แต่เจ้ากลัวความเดียวดายที่ต้องแลกในภายหลัง”

“จงเลือกเสีย หลินเฉิน หรือจะให้ข้าทำลายเจ้าที่นี่และบัดนี้”

หลินเฉินก้าวช้า ๆ เข้าหาเงาของตนเอง

“ข้า...เคยเกลียดโลกที่ไม่ให้โอกาส”

“ข้า...เคยอยากฝึกเพียงเพื่อพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็น”

เงานั้นยิ้มเยาะ “และเจ้าก็ยังคงกลัวอยู่ดี”

เงียบ...

จากนั้น หลินเฉินกล่าวเบา ๆ

“แต่ข้าไม่หลอกตัวเองอีกแล้ว”

เขายกมือวางบนอกตนเอง

“ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษ...ข้าแค่คนหนึ่งที่ยังไม่ยอมพ่ายให้ความกลัว”

ทันใดนั้น สายฟ้าทั้งสี่เส้นรวมเป็นหนึ่ง พุ่งเข้าสู่กลางใจ

เสียงของอสูรจิ่วเถี่ยนคำราม...ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมหายใจ

“เช่นนั้น...เจ้าคู่ควรแล้ว”

พิธีผสานวิญญาณสำเร็จ

ร่างของ อสูรสายฟ้าจิ่วเถี่ยน ปรากฏเป็นปักษาสายฟ้าสีฟ้าเงิน

ล้อมรอบตัวหลินเฉินคล้ายอสนีบาตมีชีวิต

พลังใหม่ของเขา เปลวโอสถสายฟ้า

ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

แต่ความเงียบสงบ...อยู่ได้ไม่นาน

เย็นวันนั้น ขณะที่หลินเฉินฝึกโอสถสายฟ้าอยู่ ณ หุบผาลับ

กลิ่นอสูรมารแผ่ซ่านจากฟากฟ้า

ร่างคลุมผ้าสีดำผืนบาง ปรากฏกลางอากาศ ท่ามกลางกลิ่นโอสถไหม้

เขาใช้เพียงเสียงหัวเราะ

“เด็กโอสถผู้อ้างว่ารักษาคนได้...แต่ไม่เคยฆ่าใครด้วยมือ”

“เช่นนั้น ให้ข้า ‘โจวเหยียน’ แห่งพรรคชาดมรณะ

เป็นศัตรูคนแรกของเจ้าเถอะ!”

หลินเฉินมองบุรุษตรงหน้า

ในมือของโจวเหยียน...มีอสูรผสมมาร “งูพิษโลหิต”

ที่ฟัดโอสถเหมือนวิญญาณบ้าคลั่ง

มันคือ “โอสถมีชีวิต” ที่ใช้วิญญาณมนุษย์หลอมรวมเข้าไป!

ศึกระหว่างโอสถแห่งชีวิต vs. โอสถแห่งความตาย

เริ่มต้น

จิ่วเถี่ยนคำราม เปลวเพลิงสายฟ้าฟาดลงสกัดงูโลหิต

แต่พลังมารนั้นมิได้ง่ายดาย ทุกครั้งที่อสูรโจมตี

มันกลืนกินพลังโอสถในอากาศจนแทบว่างเปล่า

ไป๋เหิงเทียนเตือนในจิต

“เจ้าจะชนะไม่ได้ หากยัง ‘แบ่งใจ’ อยู่แบบนี้”

“จงตัด...สิ่งที่รั้งเจ้าไว้”

“จงแลก...หัวใจที่อ่อนโยนของเจ้า

กับสิทธิ์ในการปกป้องคนทั้งแผ่นดิน”

ในชั่วเสี้ยววินาที หลินเฉินตัดสินใจ

เขายื่นมือขวาออก พร้อมฝัง “ความรู้สึกผูกพัน”

ทั้งหมดไว้ในเปลวเพลิงสายฟ้า

 ความหวังว่าจะไม่ต้องสู้ ความฝันว่าโอสถจะเยียวยาทุกอย่าง ความกลัวว่าจะกลายเป็นเหมือน “ผู้ใช้พลังจนไร้หัวใจ”

เขา “ปล่อยมือ” จากสิ่งเหล่านั้น เพื่อสร้าง โอสถที่กลืนพลังมารได้

“จงเผา...ด้วยโอสถแห่งสายฟ้าบริสุทธิ์!”

สายฟ้าแห่งโอสถฟาดลงกลางอากาศ

แสงสีฟ้าเงินเจิดจ้าแผ่ไปทั่วหุบผา

งูโลหิตกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนระเบิดกลายเป็นเถ้าในอากาศ

หลินเฉิน...ยังยืนอยู่กลางเปลวสายฟ้า

เงียบ

เย็น

แต่มั่นคง

ไป๋เหิงเทียนกล่าวเบา ๆ

“เจ้าผ่านบททดสอบ...ของการฝึกอสูรแล้ว”

“แต่จงจำไว้ อสูรที่แท้...ไม่ใช่ศัตรู หากใจเจ้าบริสุทธิ์พอ”

ในคืนที่สายฟ้าฟาด หลินเฉินได้กลายเป็น ‘ผู้ครองโอสถอสูรคู่จิต’

ผู้แรกในยุคนี้