แสงจันทร์คืนนั้นไม่มีความอบอุ่น
ณ ป่าลึกทางทิศตะวันตกของเขตต้องห้าม
“ซากหอโอสถดำ”
หลินเฉินยืนอยู่กลางวงเงาที่หมุนวนรอบตนราวหมอกมีชีวิต
ด้านหน้าคือแท่นหินโบราณที่ถูกปกคลุมด้วยยันต์พลังจิตนับพัน ศูนย์กลางของ “อาณาเขตวิญญาณอสูรเงา”
ไป๋เหิงเทียนเตือนผ่านลมหายใจ
“อสูรเงา...ไม่มองเจ้าด้วยตา
แต่ด้วยเงาในหัวใจ”
“หากเจ้าไม่ยอมรับ
‘ส่วนที่เจ้าปฏิเสธ’ ของตน มันจะปฏิเสธเจ้ากลับ...ด้วยความตาย”
เงาแห่งตน
ขณะที่หลินเฉินหลับตา เงาของเขาเริ่มแยกตัวจากพื้น และค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นร่างเงาคล้ายตนเอง
แต่มีดวงตาสีดำสนิท ไม่มีแววสะท้อนแสง
เงานั้นเอ่ยเสียงเย็น
“ข้ามิใช่ศัตรูเจ้าหรอกหลินเฉิน”
“ข้า...คือความจริงของเจ้า
ที่เจ้าหลบตา”
ภาพแห่งอดีตฉายขึ้นกลางเงา วันที่เขาสูญเสียครอบครัวในสงครามโอสถ
วันที่เขาเลือกรอด...โดยปล่อยมือผู้ที่ควรช่วยไว้
“เจ้าคือโอสถของชีวิตงั้นหรือ?” เงาหัวเราะ
“แต่เจ้าก็เคย...เลือกให้ผู้อื่นตายเพื่อความอยู่รอดของตนเอง”
เงานั้นยกมือ คำราม ก่อนจะกลายร่างเป็น
“เสือดำสามดวงตา”
มีเงาดำไหลเวียนรอบตัว ปราณเย็นเฉียบถึงกระดูก
ทุกย่างก้าวของมัน
ทำให้ความจริงอันเจ็บปวดปรากฏอีกชั้น
พันธะเงาวิญญาณ
หลินเฉินไม่หลบสายตา
เขาเดินเข้าหาอสูรเงาด้วยใจเปลือยเปล่า
“ใช่
ข้าเคยปล่อยมือผู้บริสุทธิ์”
“ข้าเคยเลือกทางของคนขลาด
เพื่ออยู่รอด”
“แต่นั่น...คือสิ่งที่ทำให้ข้าเข้าใจค่าของชีวิตมากกว่าผู้ใด!”
ในขณะที่เงาร่างเสือดำคำรามคำสุดท้าย
หลินเฉินแทงยันต์พันธะเข้าใจกลางเงาตนเอง
พร้อมกล่าว
“จงเป็นเงาข้า...และอย่าหลบแสงอีกต่อไป!”
เปลวสีดำพุ่งสูงขึ้น เมื่อมันมอดลง
หลินเฉินยืนอยู่กับเงาสัตว์อสูรตนใหม่เคียงข้าง
อสูรเงา “ซิวหาน”
เสือดำตาเดียวดวงกลางหน้าผากเปล่งแสงม่วงหม่น
มันคืออสูรที่สามารถซึมเข้าเงาของศัตรู...แล้ว
กลืนสำนึกจิต อย่างเงียบงัน
ศึกสัตว์อสูร พรรคชาดมรณะ
ไม่ทันได้พักพลังจากพันธะใหม่
เสียงแสยะหัวเราะแหลมก็ดังขึ้นจากยอดไม้
“หลินเฉิน
เจ้าคือหมากหมู่สุดท้ายของหอโอสถงั้นหรือ?”
ร่างในชุดแดงทมิฬห้าคนกระโดดลงมาพร้อมกัน
แต่ละคนมีสัตว์อสูรอยู่เบื้องหลัง
โครงสร้างบิดเบี้ยว มีกลิ่นโอสถเน่าเสียรุนแรง
งูปีกโลหิต
แมงมุมสลายวิญญาณ
อีกาดำลืมความตาย
สุนัขบ้ากลืนโอสถ
เงาคนผสมอสูร
มารผูกพัน
ศึกอสูรต่ออสูรปะทุทันที
จิ่วเถี่ยนเหินฟ้า ปะทะสายฟ้ากับปีกของอีกาดำ
หมอกเพลิงปักษาระเบิดกลางฝูงแมงมุม
ซิวหานกระโดดแทรกเข้าเงาของงูปีก
แล้วระเบิดจิตสำนึกจากภายในจนมันกรีดร้องด้วยเสียงมนุษย์
แต่ศัตรูไม่ได้มาเล่น
สัตว์อสูรของพรรคชาดมรณะถูกเสริมพลังด้วย
“โอสถมารเร่งพลัง” ทำให้ทนทานอย่างผิดธรรมชาติ
หมอกพิษกระจาย ปะทะสายฟ้า
เสียงคำราม แสงระเบิด เงาทะยาน กลายเป็นภาพสงครามขนาดย่อมในผืนป่า
อสูรปางตาย
แลกชัยชนะ
แม้พลังของหลินเฉินจะกล้าแกร่ง
แต่ศัตรูมีห้า
และสัตว์อสูรเขาเจ็บปางตาย
ซิวหานถูกแทงด้วยคมมีดโอสถที่ฝังคำสาปเงา
จิ่วเถี่ยนบาดเจ็บหนักจากการฟาดชนกับเปลวปีกของอีกาดำ
แม้กระทั่งหมอกเพลิงปักษา...ก็บินได้เพียงปีกเดียว
หลินเฉินหลั่งเลือดออกจากฝ่ามือ
ก่อนจะวางมือบนพื้น
“โอสถพันธะแห่งโลหิต”
โอสถต้องห้าม ที่หลอมตนเองเข้ากับสัตว์อสูรโดยชั่วคราว
ในร่างของเขา
พลังทั้งสามอสูรรวมเข้าเป็นหนึ่ง
แสงเงาฟาดลง
เปลวหมอกหมุนรอบสายฟ้า
เสียงคำรามของ
‘หลินเฉินผู้กลายร่างร่วมกับอสูรทั้งสาม’ ดังกึกก้อง
“พวกเจ้าทำร้ายสัตว์ของข้า…เช่นนั้นจงตอบแทนด้วยเงาของตน!”
เพียงกระบวนท่าเดียว ศัตรูทั้งห้าร่วงหล่น
สัตว์อสูรของพวกมันกลายเป็นเถ้า
และแววตาสุดท้ายของสมาชิกพรรคชาดมรณะ คือ
“ความกลัวต่อเงา”
หลังศึก สัตว์อสูรทั้งสามสลบไร้แรง
หลินเฉินทรุดกายลงกลางสนามรบ ราวกับคนที่สละ
“กึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณ” ไปแล้ว
เสียงของไป๋เหิงเทียนดังเบา ๆ
“เจ้ารอดมาอีกครั้ง...แต่เจ้าก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
“ผู้ที่ถืออสูรทั้งสาม
คือผู้แบกความมืด ความแค้น และความหวัง ไว้ในคนคนเดียว”
หมอกสีเทาเรี่ยพื้นในหุบเขาร้างกลางป่าหลังศึก
หลินเฉินนั่งอยู่กลางวงอักขระ
พลังในกายพร่องถึงขีดสุด
รอบตัวเขา
มีเพียงเสียงหายใจอ่อนแรงของสัตว์อสูรทั้งสามที่นอนแน่นิ่ง:
จิ่วเถี่ยน ปักษาสายฟ้า,
ซิวหาน อสูรเงา,
หมอกเพลิงปักษา อสูรแห่งเปลวเพลิงจิต
พลังชีวิตของพวกมันเหลือต่ำกว่าหนึ่งส่วนในร้อย
แม้กระทั่งโอสถชั้นสูงสุดก็ไร้ผล
เพราะสิ่งที่เสียไป…คือ “สารแก่นแห่งวิญญาณ”
ในยามวิกฤตที่สุด
ไป๋เหิงเทียนจึงกล่าวเสียงเงียบในจิต
“ยังมีทาง...แต่เจ้าต้องยอมเสียบางสิ่ง
ที่ไม่มีวันได้คืน”
“พิธีกรรมต้องห้าม ‘โลหิตผสานวิญญาณ’”
“ใช้เลือดเจ้าบริสุทธิ์สามหยด ผนึกกับจิตแห่งตน
เพื่อเปิด ผนึกกลางราตรี ของหอโอสถยุคโบราณ”
พิธีกรรมโบราณ
ผนึกคืนชีพ
หลินเฉินกรีดปลายนิ้วทั้งสาม
บีบโลหิตบริสุทธิ์ลงบนหน้าผากของสัตว์อสูรตนละหยด
จากนั้น…เขาวาดวงอักขระเลือดกลางหุบเขา สร้างเป็นตราผูกพัน “สามเส้นเชื่อมใจ”
ทุกหยดเลือดนั้นแปรเป็นอักษรเรืองแสง
และเมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำจาก “คัมภีร์อสูรสายลับ”
ที่ได้จากไป๋เหิงเทียน เสียงลมในป่าเงียบลงทันที
“ด้วยจิตแห่งข้า ดึงคืนซากปราณ
ด้วยโลหิตข้า เรียกกลับเงาแห่งตน
หากเจ้าจงกลับมา จงจำ...ว่าเจ้าคือข้าหนึ่งเดียว!”
สายฟ้าฟาดลงกลางวงอักขระ
เงาทะลักขึ้นจากพื้น
หมอกจิตหมุนรอบร่างของสัตว์อสูรทั้งสาม
พิธีกรรมเริ่มดูดพลังชีวิตของ หลินเฉินเอง
เพื่อชำระบาดแผลในจิตของอสูร
แลกเปลี่ยนกับหัวใจ
ร่างของเขาเริ่มสั่น ทรวงอกด้านซ้ายปวดร้าวราวจะแตก
เพราะจิตที่ถูกถ่ายโอนนั้น...รวมถึง
“ความทรงจำลึกที่สุด”
เงาของอดีต
เด็กชายที่ร้องไห้ใต้ซากห้องโอสถ
ภาพการสละตัวเองของพ่อ แม่ ผู้เป็นแพทย์
เสียงร้องขอของน้องสาวที่เขาไม่มีแรงช่วยไว้...
“ข้าไม่อยากจำ...แต่ข้าต้องจำ”
“เพื่อให้เจ้า...ทั้งสามกลับมา”
เขากัดฟันแน่น ก่อนจะปลด “ตราสัญลักษณ์แห่งใจ”
ที่เหน็บข้างอก
สิ่งเดียวที่เหลือจากครอบครัว
ฝังมันลงกลางพิธี
เปลี่ยนเป็นแสงสีเงินที่พุ่งเข้าสู่อักขระทุกเส้น
เสียงคำรามของอสูรทั้งสามดังขึ้นพร้อมกัน!
เงาหมุนกลับเข้าสู่ร่าง
สายฟ้ากลับคืนดวงตา
เปลวเพลิงกลับสู่ลมหายใจ
จิ่วเถี่ยนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีเงินวาบวูบ
ซิวหานโผล่เงาจากพื้น หายใจรัวเหมือนสัตว์ป่า
หมอกเพลิงปักษาขยับปีก
และมองเขาด้วยดวงตาเปียกหมอก
ผลของพิธี หลินเฉินทรุดลง
เลือดไหลจากจมูก และตามรอยแผลจิต
ไป๋เหิงเทียนปรากฏเป็นเงาเบาบาง ข้างตัวเขา
“เจ้าฟื้นพวกมันได้...แต่จงรู้ไว้
จากนี้ ทุกครั้งที่พวกมันบาดเจ็บ
‘จิตของเจ้า’...จะเจ็บแทนไปด้วย”
หลินเฉินยิ้มจาง
“ข้าไม่เคยคิดจะเป็นเจ้านายของพวกมันอยู่แล้ว”
“เราคือพันธะเดียวกัน...เราคือครอบครัว
เบื้องหลังคำเตือน ในเงามืดของหอโอสถ
ต้วนจิ้งเยี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าจอหมอกที่ฉายภาพพิธีกรรม
เขากล่าวเสียงเบา
“พิธีโลหิตแห่งคืนดับแสง...มันกลับมาแล้ว”
“หลินเฉิน...เจ้ากำลังเดินเข้าสู่เงาที่แม้แต่เทพโอสถยังไม่กล้ามองตรง”