สายตาหลายคู่เพ่งมองสตรีในอาภรณ์ขาวสะอาด ร่างบอบบางของนางแทบจะปลิวไปกับลมได้ จะมีแรงจับดาบหรือไร? องครักษ์หนุ่มในเครื่องแบบเต็มยศเอ่ย “ความคิดของคุณหนูรองช่างยิ่งใหญ่กล้าหาญ ไม่ต่างจากบุรุษนักรบ คุณหนูคงเป็นกำลังสำคัญของแคว้นต้าเหลียง”
“ข้ายินดีพลีชีพเพื่อฮ่องเต้และแผ่นดินต้าเหลียง ข้าพร้อมรับใช้บ้านเมือง จับดาบออกรบเช่นทหารแนวหน้าโดยไม่ลังเลใจ! น่าเสียดายที่ข้าเก่งวิชาปรุงยามากกว่าวิชาทหาร... ข้าทำยาดีกว่า...” คุณหนูรองทำหน้าเป็นเด็กน้อยงอนบิดา โยนรากไม้ลงหม้อดิน ก่อนที่นางจะโอ้อวดกับทหารว่าตนเก่งฉกาจทั้งการฟันดาบ ยิงธนู เหล่าบุรุษรู้ดีว่านางเคยเรียนวิชาป้องกันตัวมาไม่น้อยตั้งแต่วัยเยาว์ นางร่ำเรียนกับแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง...
“พวกท่านอย่าได้ดูแคลนข้าเพราะเป็นสตรี มีกำลังพลสู้รบมากเท่าไร ย่อมได้เปรียบศัตรู ลองนึกดูซีว่าสตรีหันมาจับดาบ กำลังพลจากหนึ่งหมื่นอาจมากขึ้นเป็นหนึ่งแสน”
“พวกข้าไม่คิดดูแคลนคุณหนูเลย เพียงสงสัยว่า... ไยวันนี้คุณหนูคารมคมคาย พูดจามากความนัก”
“หยุดพูดจาไร้สาระให้ข้าสบายหูสักวันเถิดลูกสาว เจ้าอย่าลืม... เอาตะกร้ายาไปส่งแม่ทัพเจี้ยนหยู่[1]ด้วย”
“ใต้เท้าเจี้ยน!” คุณหนูรองทำเสียงดังไปถึงด้านนอก นางดีใจออกนอกหน้า เมื่อความทรงจำแล่นไหลเข้ามาในหัวราวสายน้ำ นางเร่งเร้าสมุนไพรจากบิดา “เร็วเข้าท่านพ่อ ข้าจะรีบนำสมุนไพรไปส่งแม่ทัพเจี้ยน!”
ตัวประกอบผู้นี้เป็นเหตุให้เหม่ยฉีบริภาษนางเอกของเรื่องว่าแสนโง่เง่า ใจบอด มีตาหามีแววไม่ นางหลั่งน้ำตาด้วยความเคียดแค้นชิงชังนักเขียนไร้สติ นางเศร้าเสียใจแทนแม่ทัพเจี้ยนหยู่ผู้ยอมพลีชีพเพื่อคุ้มกันภัยเยว่ฉี แม้กระทั่งตอนจบของนิยายเล่มนี้ เขาก็ยังต้องตายเพื่ออุดมการณ์ของนาง
แรกเริ่มการเดินเรื่องราวของนักเขียนก็ดี แต่ไป ๆ มา ๆ ดิ่งลงเหว แม้แต่นางรองให้คู่กันกับท่านแม่ทัพสักคน ก็เห็นจะไม่ปรากฏ เขาใช้ชีวิตประหนึ่งปีศาจผู้ถือดาบสังหารภายใต้พระบรมราชโองการ เขากินนอนบนดินทราบ ถูกตราหน้าว่าเป็นนักฆ่าอันน่าสะพรึงกลัว มีเพียงความรักจากเยว่ฉีปลอบประโลมใจเขา เป็นบุรุษผู้น่าสงสารในสายตานาง
ไม่ใช่ในสายตาของคุณหนูรอง...
ไม่ใช่ในมุมมองของนักเขียนเลือดเย็นนั่นด้วย!
“ข้านำยามาให้ใต้เท้าเจี้ยน หลีกทาง...”
“ขอรับคุณหนู”
ทหารด้านหน้ากระโจมก้มคำนับ ขยับตัวรวดเร็วโดยไม่ตรวจสอบนาง
การพูดจาในเชิงออกคำสั่งผ่านแววตาเยือกเย็นมีเพียงคุณหนูรองสกุลหยาง นางเชิดหน้าถือตะกร้ายามาส่งท่านแม่ทัพ นับตั้งแต่ผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน
เยว่ฉีปฏิบัติตามพระประสงค์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีพระบรมราชโองการให้นางทำหน้าที่ดูแลแม่ทัพเจี้ยนหยู่ จัดสรรยาบำรุงกำลังอย่างดีให้เขาคุ้มกันภัยบ้านเมือง ทว่าทรงขอให้นางคอยสอดแนมเขาด้วย
ฮ่องเต้องค์นี้มีพระสติปัญญาเป็นเลิศในการซื้อใจคน ยังเป็นที่รักของปวงประชา น้ำพระทัยกว้างขวาง พระองค์ไม่ทำร้ายแม่ทัพครึ่งปีศาจเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน
ในมือเรียวมีตะกร้าไม้ นางปัดผ้าให้พ้นศีรษะเพื่อเข้าไปในกระโจม แม่ทัพเจี้ยนหยู่ยืนข้างหลังโต๊ะไม้ทรงกลม เรือนผมสีเงินเรียบลู่บนแผ่นหลังกว้าง
“มาแล้วหรือ? เยว่ฉี”
หลังจากที่ผ้าผืนใหญ่ปิดลง เหลือเพียงนางและเขา มือที่ถือตะกร้าใส่ยาสั่นเทา เหม่ยฉีลอบกลืนน้ำลาย ขยับปลายจมูกดมกลิ่นคาวเลือด กลิ่นโคลนดิน นางเห็นแค่เรือนผมสีเงินบนแผ่นหลังใต้ชุดสีนิล คาดว่าเขาคงรีบมาที่กระโจมโดยไม่ได้อาบน้ำเสียก่อน นางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล
“นำยามาให้ข้า ก็รีบเข้ามา วางเอาไว้”
เหม่ยฉีรับคำสั่ง วางตะกร้าไม้ลงบนโต๊ะไม้กลมถัดจากแผนที่ขนาดใหญ่ ซึ่งนางไม่กล้าสอดรู้สอดเห็น เพียงหลุบตามองบุรุษร่างสูงกำยำ แข็งแกร่งสมเป็นแม่ทัพใหญ่ จนเขาหันกลับมาจ้องนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ยาเดิมใช่ไหม?”
บุตรีหมอหลวงเบิกตากว้างพร้อมหัวใจสั่นไหว นางได้ยินเสียงหัวใจตนเองเป็นครั้งแรก ราวเสียงของกลองศึก ยามพิจารณาคิ้วเข้มหนาเหนือนัยน์ตาสีเลือด ใบหน้าหล่อเหลาแลดูดุดันก้าวร้าว จมูกโด่งเป็นสันคมรับริมฝีปากบางกระจับ แม้ปากของเขาจะแห้งแตกเพราะขาดน้ำในระหว่างทำศึก
ครู่นั้นนัยน์ตาสีชาดกลับมาเป็นสีดำขลับ เจี้ยนหยู่ใช้เวทอำพรางตา ปิดบังความเป็นครึ่งปีศาจของตน
แม่ทัพเจี้ยนรูปงามเกินไป! แม่ทัพครึ่งปีศาจผู้นี้เกินจินตนาการนางมาก
“จ้องหน้าข้าทำไม เจ้ามีอะไร ข้าถามเจ้าว่ายานี่ดื่มยังไง ทำไมจึงไม่ตอบ?”
“ท่านรูปงามนัก... ราวหลุดมาจากภาพวาด ข้าไม่คิดว่าแม่ทัพเจี้ยน... น่าเกรงขามยิ่งนัก”
“ข้าได้ยินอยู่เหมือนกันว่าเจ้ามีพฤติกรรมแปลกประหลาด บ่าวรับใช้ในเรือนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าล้มป่วยไปสองวัน ตื่นมาเป็นคนละคน เจ้ากินยาผิดขนานหรือ? เยว่ฉี”
“ข้าไม่ระวังคำพูดจา ขออภัยใต้เท้า...”
เหม่ยฉีก้มหน้าลง ยกมือประสาน ฉับพลันนั้นเอง เหล็กเย็นเฉียบวางลงบนต้นคอนาง แววตาที่คมกริบปานมีดหรี่เล็กลงจนเหยียดเป็นเส้นตรง
“เจ้าเป็นใคร?”
[1] 剑雨 Jiànyǔ