ตอนที่ 2 [2-3]

กว่าจะฉุกใจคิดได้ว่านางไม่น่าพูดโพล่งอย่างไร้สติ โดยเฉพาะกับแม่ทัพเจี้ยนหยู่

คอนางเกือบขาด!

เหม่ยฉียืนหน้าซีดปากสั่น เมื่อกระบี่เย็นวาบกดลงบนเนื้อจนโลหิตไหลซึม แม่ทัพเจี้ยนข่มขู่นาง ซักไซ้นางโดยละเอียดว่าเขาพบนางที่ใด ตอนนั้นนางอายุเท่าไร นางได้รับของขวัญชิ้นแรกจากเขาเป็นอะไร ขณะที่นางตอบคำถามของเขาถูกต้องทั้งหมด

ผ่านความทรงจำของเยว่ฉีประกอบกับทุกประโยคที่นักเขียนบรรยายเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ตัวหนังสือเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในลมหายใจนาง

เจี้ยนหยู่ไร้บิดามารดา ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงเก็บเขามาฟูมฟักกักขัง ฝึกฝนให้เชื่องและเชื่อฟังโดยให้เขาเสพติดสมุนไพรชนิดหนึ่ง อวยยศให้เป็นแม่ทัพใหญ่ รับสั่งให้เดรัจฉานในร่างมนุษย์ออกรบเพื่อแลกยา...

บุรุษผู้นี้สังหารคนโดยไม่กะพริบตา ใต้เหมันต์เยียบเย็น โลหิตเจิ่งนองบนพื้นพรมสีชาด พิรุณโลหิตไม่หยุดลงสักเค่อหนึ่ง ข้าศึกล้วนหวาดกลัวแม่ทัพปีศาจ ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเหลียง...

“เจ้าคงกินยาผิดขนานตามข่าวลือ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นปีศาจปลอมตัวมา?”

“อ้อ... จิ้งจอกสาวที่ท่านอุปทานคงกินสมองคุณหนูรองเข้าไปด้วยกระมัง อย่าให้ข้าพูดเยอะกว่านี้เลยดีกว่า ท่านจะเสียหน้าไม่น้อย มีเรื่องราวมากมายระหว่างข้าและท่าน... เรื่องน่าอายของท่าน”

แม่ทัพเจี้ยนหยู่ส่ายหน้า หรี่ตาจับผิด “เจ้าหมายถึงเรื่องน่าขายหน้าของข้าหรือ?”

กระบี่แห่งความเมตตาของท่านแม่ทัพพึ่งละวางไป โลหิตไม่ทันแห้งเหือด คมดาบเย็นวาบวางลงบนคอขาว ๆ อีกครั้งหนึ่ง

“ไหนเจ้าลองพูดมา”

เหม่ยฉีเป่าลมออกทางปาก นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เอาน่ะ นางมิใช่สตรีขี้ขลาดเสียหน่อย

“คืนวันฉูซี[1]ท่านควักเงินส่วนตัวซื้ออาวุธจนหมด ท่านใจดีซื้อมันให้ทหารใหม่ด้วย หลังจากนั้นท่านก็แวะไปร่ำสุรา นอนเมาเป็นงูเผือกอยู่กลางเมือง เงินตำลึงไม่มีเหลือ โชคดีที่ข้าพบท่านเข้า ขออาสาจ่ายเงินให้แทน ท่านติดเงินข้าไว้เท่าไร ไม่เคยคืนแม้สักตำลึงเดียว”

“เจ้ากำลังทวงเงินข้า?”

“ข้าเปล่า ท่านไม่ต้องคืนเงินข้าก็ได้ เพียงแต่ท่าน...” นางจับกระบี่ด้วยปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้ง ผลักมันออกไปให้ห่างจากคอ นางยิ้มเจื่อน “ไม่ควรบั่นคอผู้หยิบยื่นเงินให้ท่านยามขัดสน ที่ผ่านมาข้ารักษาหน้าตาของท่าน จึงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใคร...”

“ข้าจะหาเงินมาคืนเจ้าก็แล้วกัน คราวหน้าเจ้าจะได้ไม่พูดถึงมันอีก”

“ท่านถามข้าเองนี่ ท่านหาว่าข้า ‘เยว่ฉี’ เป็นตัวปลอม ฮึ! แม่ทัพเจี้ยน…”

นางน่ะไม่ปลอม แต่เป็นตำรับพิเศษ เยว่ฉีผสมเหม่ยฉียังไงล่ะ เหม่ยฉีหัวเราะหึหึในลำคอ เอ่ยท้าทาย “รึท่านจะลองวิชากระบี่ที่ท่านเคยสอนข้า ดีหรือไม่? ข้าพร้อมเจ็บตัวเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ข้าไม่เอาความท่านเรื่องรังแกสตรีด้วย”

“ท่านหมอหลวงบอกข้าว่าเจ้าป่วย...”

“เพียงเล็กน้อย”

เหม่ยฉียิ้ม หลังปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว นางนั่งลงบนตั่งไม้ เคียงข้างท่านแม่ทัพ

คงมีเพียงเยว่ฉีเท่านั้นได้ใกล้ชิดท่านแม่ทัพ นางจัดแจงสำรับยาวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ อากัปกิริยาของนางเหมือนเยว่ฉีทุกประการ

แม่ทัพเจี้ยนหยู่จ้องนางตาไม่กะพริบ เขาสะบัดชายเสื้อ เลื่อนมือขึ้นแตะลำคอเพรียวระหง ด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้าที่เข้าใจนางผิด “เจ้าเจ็บไหม?”

“เจ็บเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าท่านจะบั่นคอข้า ท่านผิดคำพูดที่ให้ไว้กับท่านพ่อ”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาสะบัดหน้าหนีนาง ลุกไปหยิบตลับยาแล้วกลับมานั่งลงที่เดิม ท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไร้ความกล้าหาญผิดวิสัยแม่ทัพใหญ่ จนนางเอียงคอบอกให้เขารับผิดชอบนาง

บุรุษร่างกำยำบรรจงมือทายาบดสมุนไพรบนต้นคอของนาง ด้วยหน้าตาเคร่งเครียด เขาไม่เลิกสงสัยนาง หลุบตามองนางที่ยิ้มตอบอย่างใจดี ก่อนจะยกปลายนิ้วซึ่งเคยเป็นกรงเล็บผิดมนุษย์มนาขึ้นดูให้แน่ใจว่ามือคู่นี้จะไม่ทำนางบาดเจ็บอีก

‘ดูเข้าสิ ทำร้ายข้า ทายาให้ข้า อับอายขายหน้าไม่พอ ดันหวาดกลัวที่ตัวเองเป็นปีศาจ คิดเองเออเองว่าไม่ควรแตะต้องบุตรีท่านหมอหลวง ท่านคิดเยอะเกินไปเจ้าค่ะ’ นางแอบต่อว่าเขาในใจ นึกเอ็นดูแม่ทัพผู้นี้ยิ่งนัก ขนาดว่าปลายนิ้วร้อนผละจากไปนางแล้วยังเสียดาย นางชอบให้เขาทายาให้นาง! ยินดีบาดเจ็บเพื่อรับรางวัล

“ข้าได้ยินข่าวเรื่องคุณชาย ไยเจ้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากเลิกรา เจ้าชอบเขามากมิใช่หรือ?”

“ข้าเบื่อหน่ายเรื่องหนุ่มสาวเอามาก ๆ ข้าตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเสียสละ ทุ่มเทช่วงชีวิตอันแสนสั้นให้โรงปรุงยา ข้าจำเป็นต้องตัดสัมพันธ์กับใต้เท้าหลิวเจ้าค่ะ”

“อืม... ก็ไม่ใช่เรื่องของข้า เดาว่าท่านหมอหลวงคงเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่น้อย”

เจี้ยนหยู่ไม่คิดว่าจะได้ยินถ้อยคำนี้จากนางผู้กล่าวชื่นชมคนรักไม่ขาดปาก

‘ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมีพระจันทร์อย่างไร หัวใจข้ามีคุณชาย ข้าและเขาจะไม่ห่างหายไปจากกัน จิตใจกลมเกลียวดั่งสามีภรรยาในวันข้างหน้า’

ปีศาจผู้อยู่บนโลกมนุษย์มาเนิ่นนาน เข้าใจผู้คนที่นี่ ทั้งแววตาอบอุ่นที่คนรักจ้องมองกัน เขาพบเห็นจากทหาร จากผู้คนในเมือง จากสองหนุ่มสาวที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน จากสามีภรรยา...

จากนาง!

เหม่ยฉีรีบละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลา มุมปากสีชาดโค้งละไม “ข้าลดปริมาณยาลงเล็กน้อย มีผลข้างเคียงอย่างไร ท่านแจ้งข้าได้ทุกเมื่อ ข้าว่าจะถามเรื่องบาดแผลบนไหล่ท่าน หายดีหรือยังเจ้าคะ?”

“หายดีแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะใช้ยาสูตรนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมารับรายงานจากท่านเพื่อพัฒนารูปแบบยา”

แม่ทัพเจี้ยนเอียงคอ ขมวดคิ้ว เขาคิดว่าคำพูดจาของนางประหลาดมากจนอดสงสัยไม่ได้ จนนางลุกขึ้นเดินไปวางตะกร้าไม้ใส่ยาบนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง หลังจากที่เตรียมยาบดสมุนไพรหลายอย่างมาด้วย ยาสำหรับบำรุงกำลังวางอยู่ด้านซ้ายมือนาง ยาสมานบาดแผลอีกสองถ้วยทั้งแบบบดทาและแบบดื่มกิน ในหม้อดินอีกต่างหาก นางให้เขาเก็บไว้สำหรับมื้อหน้า

“เรื่องบาดแผลบนคอข้า หากใครถามขึ้นมา ข้าจะบอกพวกเขาเองว่าเกิดจากการฝึกกระบี่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้ามิใช่สตรีขี้ฟ้องตีโพยตีพาย”

“บนร่างกายคุณหนูผู้สูงศักดิ์ไม่ควรมีบาดแผล”

“ผู้สูงศักดิ์ ผู้ยากไร้ ไม่ว่าใครก็นอนโลงศพ ลงไปอยู่ในดินเหมือนกัน ข้าไม่ถือสาใต้เท้า บาดแผลเพียงเท่านี้สำหรับข้าเป็นเรื่องเล็กน้อย”

“เจ้าช่างคารมคมคาย ผิดจากเยว่ฉี... ไม่พูดจามากความ เจ้าไม่อธิบายเรื่องใด ๆ ให้ใครเข้าใจ”

“เอาเป็นว่าข้าจะบอกท่านเมื่อถึงเวลา แม่ทัพเจี้ยน”

เจี้ยนหยู่หยิบถ้วยยาตรงหน้าขึ้นแตะริมฝีปาก แม้นัยน์ตาดำขลับยังหลุบมองท่าทีสุขุมของนาง คล้ายไม่ไว้วางใจนางขึ้นมา

“ท่านอย่าลืมสมุนไพรเหล่านี้ ข้ากับท่านพ่อตั้งใจทำด้วยความยากลำบาก ให้ความใส่ใจกับมันเป็นอย่างมาก ท่านกินและทาให้ครบมื้อ” เหม่ยฉีเอ่ยด้วยสำนึกรู้ของเยว่ฉี นางกำชับเขาเรื่องยา ยกมือประสานกันไว้ด้านหน้า “ยาเรียบร้อยดีแล้ว ข้าลาเจ้าค่ะใต้เท้าเจี้ยน”

สตรีร่างผอมบางยกตะกร้าไม้ออกไปจากกระโจม ไม่เหลียวมองหลัง เจี้ยนอยู่หรี่ตา สะบัดศีรษะอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อเขารู้จักเยว่ฉีมานานนับสิบ ๆ ปี

‘วันนี้เป็นอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง คือวิสัยมนุษย์หรือ?’

[1] (除夕) วันสิ้นปีตามปฏิทินจีน เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น