ตอนที่ 5 [5-3]

“บ่าวรับใช้ช่วยข้าเตรียมวัตถุดิบ ข้าจดลงกระดาษ ส่งให้พวกเขาก่อนที่ข้าจะเข้ามา เรื่องฝีมือการทำอาหาร ข้าเรียนรู้มาจากตำราที่ท่านไปฟ้องใต้เท้าเจี้ยน...” นางเข่นเขี้ยวขู่อดีตคนรัก เมื่อเขาคาบข่าวไปบอกแม่ทัพอสรพิษ ไม่คิดว่าตนจะโดนแทงข้างหลัง

ผู้ตรวจการหนุ่มได้คืนดีกับนางแล้วคงไม่ถือสา ใบหน้าหล่อเหลาหันไปสนใจตะกร้าไม้ไผ่ลายผลท้อคาดด้วยสีชาด มีถึงหกชั้นต่างจากตะกร้าอื่น

“อ้อ... แล้ว... นี่อะไร? ของใครหรือ?”

“ต้มปลาอบฝางเฟิง[1] ต้านเชื้อโรค ขับลมร้อนขับเหงื่อ เหมาะสำหรับผู้พักฟื้นที่มีอาการบาดเจ็บ โลหิตไหล แต่ไม่เป็นอะไรก็กินได้ การกินอาหารเป็นยา บำรุงร่างกายดี”

“ดูน่ากินกว่าจานอื่น...”

หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ ตอบ “เจ้าค่ะ แม่ทัพเจี้ยนหยู่มีภาวะพร่องธาตุหยาง ร่างกายของเขาหยินหยางไม่สมดุล มีหยินมากกว่าหยางเพราะเป็นครึ่งปีศาจ ควรเลือกอาหารและยาให้เหมาะสม ต่อไปนี้ข้าจำต้องพิถีพิถันในการทำอาหารทุกประเภท”

“เจ้าว่าไม่ป่วยก็กินได้...” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม แม่ครัวก็เปิดฝาครอบไม้ให้ดูอย่างภูมิใจ ปลาตัวใหญ่หน้าตาน่ารับประทาน กลิ่นหอมอบอวล

“นี่เป็นส่วนของเขา ข้าทำให้เขา จะกินไม่กิน เป็นเรื่องของเขา ของท่านเป็นอีกตะกร้า” นางยัดเยียดตะกร้าไม้ไผ่ ผลักไปข้าง ๆ มือหนา ผู้ตรวจการหนุ่มก้มมองตะกร้าไม้สะอาดที่มีควันลอยฉุย แม้ใหญ่กว่า กลับไม่พิถีพิถันเท่า “ข้าอบหมั่นโถวเผื่อสกุลจางได้ชิมกัน จะมาหาว่าข้าทำอาหารไม่เป็นสักอย่าง ต้มเป็นแต่ยาไม่ได้”

“เยว่ฉี...” เสียงเข้มเรียกนางให้จ้องลึกเข้าไปในแววตาน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชังสุมเต็มอกบุรุษ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจให้แม่ทัพเจี้ยนหยู่ เจ้าปันใจให้ชายอื่น เจ้าทรยศข้า เจ้าเพียงไม่กล้าพูดมันออกมา”

เหม่ยฉีไม่ทันอ้าปากเถียงคุณชาย ปลายนิ้วเรียวยาวชี้ตะกร้าอาหาร

“แม่ทัพเจี้ยนหยู่กินคนเดียวมีตั้งหกชั้น ลวดลายตะกร้านี่ก็แตกต่างกันมาก ของข้าเป็นตะกร้าไม้ไผ่ ของเขาทำจากไม้อย่างดี วาดด้วยพู่กันฝีมือเจ้า เหมือนเจ้าไม่ไว้หน้าบ้านข้าเลย”

หญิงสาวกัดริมฝีปาก เมื่ออดีตคนรักเฝ้ารอคำตอบของนาง ทำไมนางจึงวาดปักษาหน้าตาน่ารัก ปาดพู่กันเขียนชื่อแม่ทัพเจี้ยนหยู่อย่างที่เขาว่า...

“ใต้เท้าเจี้ยนใช้พละกำลังเป็นกิจวัตร แม่ทัพใหญ่จับดาบออกรบ เคี่ยวกรำทหาร บุรุษร่างสูงกำยำจะให้กินข้าวหยิบมือเดียวรึไงเจ้าคะ?”

“เจ้าลำเอียง”

“ใช่... ข้าลำเอียง แล้วข้าจะวาดเขียนอะไรบนตะกร้าอาหารมันก็เรื่องของข้า” ใต้แววตาเด็ดขาด อีกฝ่ายคงได้ข้อสรุปในกิริยาหมางเมินของนาง

บุรุษร่างสูงสง่าเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากโรงครัว เรียกบ่าวรับใช้ให้เป็นธุระ รับน้ำใจจากคุณหนูรอง นำอาหารไปให้สกุลจางด้วย

ส่วนผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังถอนหายใจหนัก ปาดเหงื่อเปียกชื้นบนหน้าผาก

รู้งี้น่าจะติดพาราเซตามอลมาสักกระปุก แก้ปวดหัวเรื่องหนุ่ม ๆ คุณหนูรอง ไม่รู้มีปัญหาอะไรกับนางนักหนา

คอยดูเถอะ! รังควานนางมาก ๆ เข้า นางจะกอดคานเป็นแม่เฒ่าเฝ้าเรือนหมอยา ไม่ก็หนีขึ้นเขาไปบวชชี!

 

“ก่อนหน้านี้ท่านพูดจาทำร้ายจิตใจนาง มีเรื่องบาดหมางกันหรือไม่? ข้าได้ยินจากบ่าวรับใช้ว่าท่านไม่มาพบหน้านางหลายวัน นางขลุกอยู่แต่ในโรงปรุงยา ฝากอาหารและยาผ่านทหารคนสนิทไปถึงท่าน”

“ท่านถามข้า?” แม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้น เบือนหน้าไปทางประตูบานใหญ่ในห้องรับรองแขก เขาสวมชุดสีเงินสง่าคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์หนา ลุกขึ้นยืนถัดจากเก้าอี้ท่านผู้ตรวจการ เอามือไพล่กันไว้ข้างหลัง “ลองถามตัวท่านเองดีกว่า ท่านพึ่งจะมาพบนางเมื่อวันก่อนมิใช่หรือ?”

“ข้าต่างหากที่ต้องถามท่านทั้งสอง ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกท่าน... ไยหักหลังข้าอย่างเลือดเย็น!”

“อืม... เลือดข้าก็เย็นอยู่ ยังมีพิษร้ายแรง”

เจี้ยนหยู่แยกเขี้ยวอสรพิษ ชายร่างสูงสง่าชำเลืองมองเขาอย่างอาฆาตแค้น

บ่าวรับใช้พูดลับหลังเจ้านายว่าใต้เท้าหลิวกำลังจะออกเดินทางไปต่างแคว้น ถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนคุณหนูรอง ทว่านางออกไปซื้อสมุนไพรข้างนอก คลาดกันกับเขาซึ่งกลับมาจากงานสังสรรค์เมามาย

ทางด้านแม่ทัพเจี้ยนอยู่ตั้งใจมาพบนางด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ได้ ทว่าบุรุษร่างสูงกำยำ อกผายไหล่ผึ่ง ดูมีสกุลรุนชาติกว่าคุณชายขี้เมาในชุดสีดำสนิท กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว ยิ่งมายืนค้ำหน้ากันในเรือนผมสีเงินสง่าเช่นนี้ ท่านผู้ตรวจการถึงรูปงามเท่าไร คงได้ตกกระป๋องในอีกไม่ช้า

“ตั้งแต่เลิกราจากคนรัก มีเพียงมิตรสหายกับขวดสุราประโลมใจ นานวันเข้าคงยากปฏิเสธ ข้าดีใจด้วย ในที่สุดท่านก็ได้เลื่อนขั้นจากผู้ตรวจการกลายเป็นไอ้ขี้เมาท้ายตลาด คุณหนูเยว่คงชายตาแลท่านหรอกกระมัง”

“ตัวท่านไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำไป ไม่ควรยุ่งเรื่องระหว่างชายหญิง อย่างไรเสียท่านก็ไม่มีวันเข้าใจ”

“ข้าคงไม่ยุ่ง”

“ฮึ! ไม่ยุ่ง ไม่ควรยิงศรลับหลังยามที่ข้าเดินทางไกล ข้าจะได้ตามง้อนางง่ายขึ้น นางกำลังอ่อนไหว ข้าเห็นแววตาที่นางมองข้า นางมีเยื่อใย ตอนนี้นางยอมพบหน้าข้า นางทำอาหารให้ท่านอาหญิงของข้าที่กำลังตั้งครรภ์ นางอบหมั่นโถวให้คนในสกุลจางได้ชิมกันถ้วนหน้าด้วย”

คุณชายสามคิดเข้าข้างตน หากไม่มีแม่ทัพผู้นี้แล้วนางคงเหมือนเปลวเทียนต้องลม นางผูกพันกับเขา เคยมีช่วงเวลาแสนหวานร่วมกัน

ยามอู่[2]นี้เหมันต์ยังไม่สิ้นสุดลง ลมหนาวพัดผ่านในเรือนรับรองแขก เตาผิงไฟทำให้หิมะเหลวละลาย อบอุ่นขึ้นสักเล็กน้อย ผู้คนหายใจเป็นไอควัน

ทั้งแขกในชุดสีเงินสง่า ในชุดนิล บ่าวรับใช้สวมชุดขนสัตว์หนา ต่างคนรอการกลับมาของคุณหนูรอง ไม่รู้ว่าแขกทั้งสองเจรจากันอย่างไร จึงกลับเข้าเรื่องชาติกำเนิดของแม่ทัพเจี้ยนหยู่

“...ไม่ใช่ว่าท่านลืมชาติกำเนิดของข้าไปเสียแล้ว เลยมาพาหาเรื่องข้า ใครเขาก็รู้กันทั่วทั้งเมืองว่าข้าเป็นครึ่งปีศาจ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่”

“ท่านไม่เคยไว้หน้าสกุลจาง นางทำอาหารให้ท่านทุกวัน ตะกร้าใหญ่โตราวจะกินกันทั้งกองทัพ ข้าได้แค่อาทิตย์ละตะกร้า หมั่นโถวไม่ถึงสิบลูก”

“ไหนท่านว่านางมีเยื่อใย? นางรักท่านมากมายนัก ทำไมข้าจึงได้ของดีกว่า”

ท่าทางยั่วโทสะของแม่ทัพเจี้ยน หาได้มีผู้ใดรู้ไม่ว่าเขาปรารถนาความสุขของเยว่ฉี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาไม่คิดครอบครองนาง จึงเติมเชื้อไฟให้อีกฝ่ายมุ่งมั่นตั้งใจ จะได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขในภายหลัง

บุรุษทั้งสองถกเถียงกันเหมือนสตรีปากคอจัดจ้าน กระทั่งเสียงฝีเท้าดังบนพื้นไม้ บ่าวรับใช้ฝั่งคุณชายท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เดินก้มหน้ามาขัดจังหวะ

“ประทานโทษขอรับคุณชายสาม สายกว่านี้ อากาศหนาวเย็น การเดินทางจะล่าช้า”

“งั้นก็รีบไป!” ผู้ตรวจการหนุ่มเสียงดัง จ้องหน้าแม่ทัพใหญ่อย่างเอาเรื่อง เมื่อภาระหน้าที่สำคัญกว่า เขาไม่สามารถนั่งรอสตรีแล้วละทิ้งการงานได้

“มีงานให้ทำก็ไปทำ รีบไปรีบกลับเถิด หัวใจสตรีอ่อนไหว ดั่งลมพัดใบไม้ปลิว ชั่วข้ามคืนเป็นอื่น”

“ข้าจะรีบกลับมา!”

“ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะดังไปทั่ว แม่ทัพใหญ่ฉีกยิ้มกว้างจนมองเห็นเขี้ยวคมตรงมุมปาก

คุณชายสามปิดพัดฉับ! กระแทกเท้าเดินฝ่าหิมะ หลังเรียกบ่าวรับใช้สกุลหยาง ฝากจดหมายไว้ให้เยว่ฉีหนึ่งฉบับอย่างที่เคยทำระหว่างเดินทางไกล

รอบนี้เดินทางร่วมเดือน ได้เพียงหวังว่านางจะหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านยามคิดถึง

[1] ห่วงฮง 防风 ฝางเฟิง

[2] 午:wǔ 11.00 – 13.00 น.