อาวุโสฟางหมิ่ง ต้นตระกูลแพทย์หลวงสกุลหยาง มีบุตรทั้งหมดเจ็ดคน จำนวนสมาชิกมากมายสมคำโบราณว่าลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
ท่านปู่ของไท่ซือจิ่วรับใช้ราชสำนักมาสามชั่วอายุคนแล้วจนเสียชีวิตไปด้วยโรคชรา และด้วยเหตุว่าพวกเขามีลูกหลานเป็นบุตรสาวมากกว่าบุตรชาย สกุลหยางจึงจ้างวานนางข้าหลวงอาวุโสมาอบรมมารยาทบุตรสตรีให้เทียมหน้าผู้ดีตระกูลอื่น ทั้งเรื่องการออกเรือน กิริยามารยาทตามแบบฉบับสตรี เป็นหน้าที่ของท่านย่าจินเยว่ ท่านย่าของเยว่ฉี
ไท่ซือจิ่วเป็นบุตรชายคนเล็ก มีบุตรสาวสองคนคือเยว่ฉีและลี่เหยาซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม นางแต่งงานกับเศรษฐีร้านขายผ้าแคว้นใกล้เคียง
เรื่องบุตรสาวในวงศาคณาญาติล้วนมีสามีกันหมดแล้ว เหลือเพียงเยว่ฉี ไม่ยอมออกเรือนเสียที ทั้งที่นางก็เป็นหญิงงาม บิดาไม่เคยต้องอับอายขายหน้า ถึงแม้ว่านางจะทำอาหารไม่ได้เรื่องสักอย่าง วันนี้นางเกิดทำอาหารอร่อยขึ้นมา ไม่แปลกที่จะมีผู้ทักท้วงเรื่องการออกเรือน
“การแต่งงานของข้า มิอาจเป็นเพียงเรื่องของข้าอีกต่อไป เป็นเรื่องของบ้านเมือง ข้าจำเป็นต้องปรึกษาผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ...” นางเงียบไป ท่านย่าท่านยายนั่งอยู่ข้างนางในเรือนนอน ไม่บอกก็รู้ว่านางหมายถึงใคร
จำได้ว่างานปักปิ่นผมของเยว่ฉี มีผู้ใหญ่ตั้งมากมายจากราชสำนักมาเข้าร่วม ไม่ว่างานอะไรก็ตามของพระราชวังหลวง บุตรีคนเล็กสกุลหยางได้รับจดหมายเชิญเป็นกรณีพิเศษ ไหนจะฮ่องเต้เสด็จมาโรงปรุงยาอย่างน้อยสองถึงสามเดือนครั้ง ทรงตรัสถามเรื่องยากับนางโดยตรง
เหม่ยฉีไม่ได้ข่มขู่อาวุโสด้วยการเอ่ยพระนาม ก็คงไม่ต่างอะไร นางกระแอมไอบนฟูก นั่งพิงแผ่นหลังกับกำแพง “หากท่านย่าท่านยายจะแวะเวียนมาถามสารทุกข์สุกดิบของเยว่ฉี ไม่พูดถึงเรื่องผูกสัมพันธ์กับสกุลจาง ข้าก็พอจะ... สนทนาได้ ค่อกแค่ก...”
“หมายความเจ้าไม่คุยเรื่องคู่ครองรึ เจ้าอายุไม่น้อยแล้วนะเยว่ฉี ถือว่าข้าขอร้องเจ้าสักครั้งได้ไหม?”
“ข้าควรพักผ่อนให้หายป่วยไข้ ประเดี๋ยวใครมารบเร้าเรื่องสามีข้าอีก ข้าคงป่วยอีกสักระยะ ค่อกแค่ก...” นางแสร้งกระแอมไอเสียใหญ่โต นางมีจริตมารยาไม่เหมือนเยว่ฉีคนเดิมที่จะพูดจากับเขาไปตามตรงว่าแต่ง! นางจะแต่งกับคุณชายหลิวในเร็ววัน ขอให้หาฤกษ์ยาม เหล่าอาวุโสได้เพียงสงสัยนาง ตัดพ้อนาง ไยนางกลืนคำพูดตนเองได้
“ข้าไม่สบาย ๆ จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากเจ้าค่ะ ขออภัยพวกท่านด้วย เรื่องสามีไว้คุยกันวันหลังเถิด” นางโวยวายจนพี่สาวเอือมระอา
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลานอนของเจ้าแล้วน้องสาว ดูแลตัวเองด้วย ขอให้หายดีในเร็ววัน” ลี่เหยาบอกลา เช่นเดียวกับอาวุโสทั้งสาม คนป่วยโขกศีรษะคำนับ
“ลาท่านย่าท่านยาย พี่ใหญ่ เดินทางปลอดภัย อย่าได้เป็นกังวลเรื่องสุขภาพของเยว่ฉี ข้าอยู่ในความดูแลของหมอเทวดาไท่ซือจิ่ว ขนาดมัจจุราชชะเง้อคอมองอยู่หน้าเรือน ยังมิกล้าท้าทายอำนาจบิดาข้า”
“เจ้าอวดอ้างเกินไป ลูกสาว!” เสียงตะโกนดัง บิดาว่าบุตรสาวกล่าวคำเยินยอมากเกินจำเป็น นางข่มมัจจุราชด้วยเสียงหัวเราะแหบแห้ง จะตายแหล่มิตายแหล่ ไม่รู้นางป่วยจริงหรือไม่ พี่สาวนางก็หัวเราะ ช่วยบ่าวรับใช้พยุงท่านย่าท่านยายให้ลุกขึ้นเดินออกจากเรือนไป
น้อยคนนักจะรู้ว่าฮูหยินผู้เป็นที่รักของท่านหมอหลวงไท่ซือจิ่ว คลอดบุตรสาวเป็นฝาแฝดตัวติดกัน ไฉนเลยฝาแฝดจึงเหลือเพียงหนึ่ง แถมผ่านไปไม่กี่เค่อ ฮูหยินยังเสียชีวิตด้วยอาการตกเลือดหลังคลอดบุตร
ด้วยความคิดถึงบุตรสาวคนแรกที่เสียชีวิตไป ไท่ซือจิ่วอดไม่ได้ที่จะรับบุตรบุญธรรม
‘ลี่เหยา’ เป็นบุตรสาวของพี่ชายไม่เอาอ่าว งานการไม่ทำ สบโอกาสเด็กน้อยมาเที่ยวเล่นเรือนปรุงยา ไท่ซือจิ่วเห็นว่านางอายุมากกว่าเยว่ฉีสามปี หวังให้มาเป็นเพื่อนคู่คิด เลี้ยงให้เติบโตไปด้วยกัน จึงขอรับมาเป็นบุตรบุญธรรม
บุตรสาวในไส้และบุตรบุญธรรมเป็นพี่น้องที่ดี ทั้งรักและเข้าใจกัน ถึงเยว่ฉีจะมีนิสัยเก็บตัว ก้าวร้าว พูดจานับคำได้ ในวันที่พี่สาวออกเรือนไป นางไม่แม้แต่จะแสดงความยินดี นางต่อว่าลี่เหยาทอดทิ้งนางไว้กับบิดาในเรือนปรุงยาที่งานล้นมือ มีพี่สาวเห็นแก่ตัวเช่นนี้สู้ไม่มีมันเสียดีกว่า
“ถึงลี่เหยาไม่อยู่ดูแลน้องสาว ให้เป็นหน้าที่ของบิดาอย่างข้าเถิด เจ้าอดทนหน่อยลูกสาว ข้าจะป้อนข้าวป้อนยาเจ้า ลุกขึ้นมา ๆ” บิดาให้ความช่วยเหลือร่างเย็นเฉียบบนฟูก นางลุกขึ้นกินข้าวกินยา บิดาปลอบใจนางว่าไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถจัดการให้นางได้
บุตรสาวได้รับความรักอย่างมากล้น จิตใจระทมทุกข์ของนางเปรียบดังต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับการรดน้ำพรวนดิน นางกินอาหารได้มากถึงสิบคำ นางทิ้งตัวลงนอน กุมมือหนาที่แสนอบอุ่น อยู่ดี ๆ นางก็ร้องไห้ออกมา
“เหม่ยฉีเติบโตในบ้านเด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร ไร้คนเหลียวแล ไร้ชายผู้เป็นที่รัก แม้บิดาแสนดีเช่นนี้... ก็ไร้วาสนา ข้าอิจฉาเยว่ฉีเหลือเกิน”
“พูดจาไร้สาระน่า เจ้าจะไปอิจฉาเยว่ฉีทำไม? ข้าพาเจ้ากลับมาแล้วไง เจ้าชอบที่นี่ไหม? เหม่ยฉี” มืออบอุ่นของบิดาปาดน้ำตาบนแก้มจนเกลี้ยงเกลา บุตรสาวตกใจ
“ท่านรู้?”
“อื้ม... ข้าอยู่กับเจ้ามาครึ่งชีวิต ไม่ว่าในโลกไหน เหตุใดข้าจะจำลูกสาวตัวเองไม่ได้เล่า เหม่ยฉี... เยว่ฉี ข้ารักเจ้าทั้งสองคนดั่งดวงใจ ข้าไม่หวังอะไรนอกเสียจากความสุขของลูกสาว ข้าขอโทษที่ทอดทิ้งเจ้าไว้ลำพัง”
บิดาเล่นละครไปตามน้ำตั้งแต่วันแรกที่พบว่านางไม่ใช่เยว่ฉีตอนจับชีพจรนางแล้ว กระนั้นเขายังยกตนข่มท่าน ต่อไปนี้ไม่ว่าเหม่ยฉีปรารถนาสิ่งใด บิดาจะหามาให้นางทุกสิ่งอย่าง ใครรังแกนาง เป็นศัตรูกับนาง เท่ากับเป็นศัตรูบิดา แพทย์หลวงผู้นี้พร้อมใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อปกป้องนาง
เหม่ยฉีโผเข้ากอดบิดาทั้งน้ำตานองหน้า นางร้องไห้เสียงดังเป็นเด็กเล็ก ๆ “ข้ามีความสุขที่สุด ข้าแฮปปี้... เสียจนข้ารู้สึกผิดต่อเยว่ฉี”
“เจ้าว่าแฮปปี้หรือ?”
“เจ้าค่ะ”
บิดาหัวเราะเสียงดังลั่นเรือน พูดคำเดิมซ้ำ ๆ แฮปปี้ ๆ กอดบุตรสาวตัวกลม บ่าวรับใช้ได้ยินเข้ามองหน้ากันงุนงง หัวเราะตามทั้งสอง...