ตอนที่ 6 [6-2]

ฝาแฝดตัวติดกันหรือ?

ดวงจิตนางเป็นหนึ่งหรือสอง? ไฉนจึงรวมกันได้อย่างลงตัว ไฉนนางมีนิสัยของเยว่ฉีทุกประการ แต่นางก็เป็นเหม่ยฉี ส่วนหนึ่งของนางเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก นางมาจากที่ใดสักแห่ง...

นัยน์ตาคู่คมเฝ้าดูสตรีร่างผอมบางอย่างระวัง แลเห็นนางนอนนิ่งเงียบบนฟูก หลังจากที่นางเสียน้ำตาอย่างท่วมท้นในอ้อมกอดของบิดา

ตำราผสานจิตใจน่าจะเป็นฝีมือไท่ซือจิ่ว ส่งต่อมันให้แม่เฒ่าเพื่อหลอกบุตรสาวทั้งสอง ชักจูงเยว่ฉี นำพาเหม่ยฉีกลับมา

ก่อนเยว่ฉีจากไป นางบึ้งตึงใส่บิดา บริภาษว่าให้นางเกิดมาทำไม ที่นี่ไม่ใช่บ้านนาง ไม่ใช่สถานที่ของนาง ไม่เคยมีความสุข แม้ว่าลองคบหากับท่านผู้ตรวจการแล้ว นางยังคงโหยหาอะไรสักอย่างซึ่งนางไม่เข้าใจ ทว่าพอนางเรียกตัวว่าเหม่ยฉี นางกลับมอบความรักให้ผู้คนรอบกายและบิดา แม้ในยามป่วยไข้ นางก็เรียกหาแต่บิดา

เจี้ยนหยู่เลือกพุ่มดอกไม้ที่มีสีเดียวกับเกล็ดสะอาด ถัดจากบานหน้าต่างไป จำได้ว่าคราวก่อนเขาถูกคว้าคอหมับเต็มอุ้งมือเล็ก ๆ สตรีร่างผอมบางหัวเราะเยาะเขาเหมือนนางจับหนูได้สักตัว

แม่ทัพปีศาจผู้ไม่เคยพบความอัปยศคิดหาหนทางจัดการเรื่องของนาง

ใช่...

เท่าที่จำได้ก็มีเพียงครั้ง คราวถอยทัพเข้าเมืองกู่หยางเมื่อเก้าปีที่แล้ว

เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า แม่ทัพในวัยฉกรรจ์มากความสามารถ ถือหอกฟาดฟันครึ่งปีศาจอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และด้วยเหตุว่าอาการติดฝิ่นของเขากำเริบหนัก จำต้องคุมกำลังพลนับหมื่นสู้หลังชนฝา ถอยร่นเข้ากำแพงเมืองอย่างอับจนหนทาง รอทัพเสริมมากอบกู้ชีวิตพลทหาร

เจี้ยนหยู่นึกถึงความพ่ายแพ้ในอดีต บางเรื่องที่อยู่เหนือความควบคุมนั้นเขามิอาจเอาชนะ เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจ

‘เยว่ฉี... ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด ขอให้ดวงจิตเจ้าพานพบแต่ความสงบสุข’

ไม่มีใครมองเห็นงูเผือกในผืนหญ้าอุ่น เขาหวนระลึกถึงนางคนเก่า อาลัยอาวรณ์นางคนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาที่แสนเย็นชาถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นอ่อนหวาน ทุกการกระทำของนางล้วนเอาใจใส่

นัยน์ตาอสรพิษลอบมองทั้งบ่าวรับใช้ ผู้ช่วยหมอหลวงเดินขวักไขว่ในเวลากลางวัน อาวุโสบ่นเสียงดังว่าวุ่นวายนัก น่าเวียนหัว กลิ่นยากลิ่นควันเหม็นไปหมด ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรุงยาขออยู่เรือนใกล้เคียงดีกว่า หากไม่มีธุระก็จะไม่มา ท่านย่าของนางถือไม้เท้ากระแทกพื้น ทำไมบังคับเยว่ฉีให้นางแต่งงานออกเรือนไม่ได้ แม้แต่บิดาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่มีใครอยากให้นางเทื้อคาเรือน อายุสิบห้าปีเห็นจะมีสามีกันแล้ว แต่นางย่างเข้าสิบเก้าปี วัน ๆ ขลุกตัวในโรงปรุงยา อาการป่วยของนางเป็นข้ออ้างให้ยืดเวลาแต่งงานออกไปอีก

“เร็วเข้าซิงอี ก่อนที่คุณหนูรองจะตื่น!” เสียงโวยวายของสาวใช้สามคน เดินไว ๆ มาถึงสวนด้านหลังเรือน แขกไม่รับเชิญรีบหาที่ซ่อนตัวใหม่ จากพุ่มไม้เป็นร่องหลังคา เขาจ้องมองของในมือพวกนางอย่างสงสัย

“คุณหนูบอกว่าเป็นไม้ไล่งู”

“ไม้ไล่งูหรือ?”

“แล้วนี่อะไร?”

“คุณหนูรองบอกว่าเอาไว้ไล่ปีศาจ ห้อยไว้กับไม้ไล่งู น่ารักดีนะ”

“งู... ปีศาจ? อย่าบอกนะว่า... เอาไว้ไล่...”

“เจ้าอย่าเสียงดัง เบา ๆ ชู่ว!”

“ไม่ ๆ ซิงอี เจ้าฟังข้าก่อน คุณหนูรองจะไล่เขาทำไม ในเมื่อนาง... นาง...”

“คุณหนูรองทำไมอีกเล่า? ซีซวน”

“นางวาดตะกร้าไปยิ้มไป นางเล่าให้ข้าฟังว่านางฝันถึงเขา ซูหนี่ว์ เจ้าคิดว่า... นางจะไล่เขาไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่านางควรดีใจหรอกหรือ?”

“เจ้าเอาไม้นั่นมา! พวกเราต้องเชื่อฟังคำสั่งคุณหนูรอง เข้าใจไหม?”

ซูหนี่ว์เฉลียวใจ ปักไม้ที่มีผงประหลาดในถุงน่ารักลงบนพื้นหญ้า นางเอามือเท้าเอวหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่านางน่ะดูโง่เง่าในสายตาผู้บุกรุก

หากแม่ทัพเจี้ยนหยู่ไม่อยู่ในร่างอสรพิษ เขาคงยืนหัวเราะพวกนาง มายืนทะเลาะถกเถียงกัน เอาไม้โง่ ๆ ปักไล่ปีศาจงูที่มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์

“คุณหนูรองได้ของดีมาจากแม่เฒ่าอาวุโส เจ้าไม่รู้สินะ ไม้อันนี้น่ะ แค่ปีศาจได้กลิ่นก็เวียนหัวแล้ว”

เวียนหัว!

ด้วยความชะล่าใจของอสรพิษร้าย ไม่ทันหลบเลี่ยงกลิ่นประหลาดที่โชยมาจากด้านล่าง มันพัดมาตามกระแสลม ร่างขาวสะอาดหล่นตุบ! จากหลังคาลงพุ่มไม้เช่นเดิม โชคดีที่สาวใช้ทั้งสามวิ่งเข้าเรือนไปแล้ว บุรุษร่างกำยำคว้าอาภรณ์สีเงินสง่าขึ้นสวม ล้มลุกคลุกคลานออกจากเรือน

เหม่ยฉี!

นางไปเอาของพวกนี้มาจากไหน!?

 

เหม่ยฉีกลับเข้าโรงปรุงยา แม้บิดากำชับว่าให้นางพักผ่อนจนกว่าจะหายดี นางก็แค่รอบิดาขึ้นรถม้าไป นางหยุดยืนหน้าประตูไม้ ซูหนี่ว์ยื่นกระดาษมีรอยหมึกเขียนด้วยพู่กันส่งให้นางกับมือ

“ใต้เท้าหลิวฝากจดหมายให้คุณหนูรองอีกหนึ่งฉบับเจ้าค่ะ”

“อื้ม ขอบใจมากซูหนี่ว์ เจ้าไปได้แล้ว อย่าให้ใครมารบกวนข้า ท่านพ่อกลับมาเมื่อไรก็เรียกข้าด้วย” สองขาก้าวฉับไวกลับเข้าโรงปรุงยา นางเร่งไฟใต้หม้อดิน โยนเชื้อเพลิงเข้าไป กระดาษในมือนางเผาไหม้อย่างรู้คุณค่า นางคิดในใจ ‘ส่งจดหมายรัก พร่ำพรรณนาอะไรมาตั้งมากมาย อีตาคุณชายหลิวนี่ คนป่วยนอนซมไข้บนฟูก ใครมันจะไปมีอารมณ์จะอ่าน’

เหม่ยฉีโมโหอยู่หน้าหม้อดินรายเรียง นางปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่งด้วยผ้าขาวบาง คาดจมูกผูกปมด้านหลังศีรษะ ครู่นั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมน้ำเสียงเป็นกังวล

“เยว่ฉี เจ้าป่วยอยู่มิใช่หรือ?”

หญิงสาวหันกลับไปประสานมือโขกศีรษะคำนับ ตามมารยาทกุลสตรี ร่างสูงกำยำในอาภรณ์สง่างามเข้ามายืนซ้อนข้างหลัง เมื่อนางกลับไปสนใจกระดาษบนโต๊ะไม้ นางว่ารายการยาจากผู้เฒ่าในราชสำนักส่งมาเมื่อเช้า เรือนหมอหลวงจะต้องนำยาสมุนไพรไปส่งบัณฑิตสกุลลู่ บิดาออกไปทำธุระข้างนอก จะเอาเวลาที่ไหนมาปรุงยาที่แสนยุ่งยากเหล่านี้

“เจ้าทำงานเมื่อไรก็ได้ สุขภาพสำคัญกว่า ทำไมเจ้าไม่กลับเข้าเรือนไปนอนพัก?”

“ไม่ใช่เวลาเกียจคร้าน ผู้ป่วยกำลังรอยาจากข้า ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจนอนทรมานไปถึงรุ่งเช้า หากไม่ได้รับยาพวกนี้”

‘ภาระหน้าที่สำคัญกว่าชีวิต’