ณ เมืองหนานไห่
เสียงดินปืนดังสนั่นสร้างความโกลาหล ประชาชนแตกตื่นวิ่งไปคนละทิศทาง เมื่อชนเผ่าเร่ร่อนบุกปล้นสังหารกลางตลาดร้านค้าอย่างไร้ความกลัวเกรง โจรชั่วครอบครองอาวุธและกระทำการอุกอาจกลางวันแสก ๆ แม้รู้ดีกว่าเมืองหนานไห่เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของต้าเหลียง
หญิงสาวถูกลากพาตัวไปด้วยเงื้อมมืออมนุษย์ กระชากดึงผ้าโพกศีรษะมามัดมืออุดปากพวกนาง ใช้กำลังเข้าข่มเหงจนไร้หนทางสู้ในกระท่อมคับแคบอัตคัด
ทางการหนานไห่และต้าเหลียงสืบทราบมาว่าไม่ใช่ชนเผ่าเร่ร่อนทั่วไป เป็นกลุ่มนักโทษฉกรรจ์อาวุธครบมือทั้งปืนใหญ่และระเบิด มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองที่เพิ่งสิ้นสุดไปไม่นานจากแคว้นสวี ชายฉกรรจ์นับร้อยไปเข้าพรรคพวกกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเจิ้นจู้[1]
โจรชั่วช้าสามานย์เจ็ดคนส่งเสียงหัวเราะ พวกมันใช้มือสกปรกกดศีรษะบุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีครามให้คุกเข่าลง
เจ้าเมืองถูกจับเป็นตัวประกัน ‘รุ่ยยี่เหยา’ ถูกปลายกระบี่พาดคอรอให้ยอมจำนน ทว่าเขากลับเสียงหัวเราะ เหลือกตามองผู้บุกรุกอย่างเคียดแค้น “มีโอกาสให้หนี ก็รีบไป พวกเจ้าเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ”
“โอ้... ใครช่างแต่งนิทานหลอกเด็ก ในกลุ่มของพวกข้า ปล้นฆ่ามานับยี่สิบกว่าปี ไม่มีใครเคยพบสัตว์เลี้ยงขององค์ฮ่องเต้ที่เจ้าว่า เป็นตัวอะไรนะ?” ชายฉกรรจ์โพกผ้าขาดเก่าเอียงคอโอหัง ซึ่งก็ไร้คำตอบจากผู้ไม่ต่อรอง นัยน์ตาดุดันก้าวร้าวเช่นนี้หมายความว่ายอมตายเสียดีกว่ายอมจำนน! “ไม่เป็นไร ๆ เอาเป็นว่าพอพวกข้าได้ของที่ต้องการ หลังจากที่สังหารเจ้าเมืองหนานไห่ เอาศีรษะท่านแขวนไว้หน้าประตูเมืองแล้วจะรีบไปทันที...”
“รับรองว่าเจ้าไม่มีเวลาให้หนี เหมือนครอบครัวข้าหรอกนะ” เจ้าเมืองแสยะยิ้ม ทำเอาพวกโจรเริ่มหัวเสีย รื้อค้นของมีค่าตามตู้เก็บของ แผนที่และตราประจำตำแหน่ง เหลือเพียงหัวหน้าโจรที่คงจะมีเวลาเล่นสนุกกับท่านเจ้าเมืองเสียหน่อย
“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเป็นที่เลื่องลือเรื่องพระสติปัญญาเป็นเลิศ ใครก็รู้ว่าเขามักปล่อยข่าวหลอกลวงศัตรู หาได้รู้ไม่ว่าเรื่องไหนจริงเท็จ”
“แม่ทัพเจี้ยนหยู่มิใช่ผู้ที่จะพบเจอง่ายดาย เพียงได้ยินมาปากต่อปากว่าเขาเป็นครึ่งปีศาจ แต่ข้าเคยพบแม่ทัพผู้นั้นว่ะ ฮ่า ๆ” เจ้าเมืองหัวเราะหยาบคาย ก่อนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาจะอาบไปด้วยเลือดจากกำปั้น กลุ่มโจรรุมกระหน่ำทำร้าย
ถึงแม้ว่าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล หนุ่มวัยสี่สิบห้าไม่แม้จะเหลียวมองไปยังอีกห้องหนึ่ง บุตรสาวหน้าตาสะสวยกำลังซ่อนเร้นกายอย่างเงียบเชียบในห้องลับ
เจ้าเมืองหนานไห่เกือบจะหมดสติไป เขาส่ายดวงตาพร่ามัวไปทางบานหน้าต่างเปิดอ้ากว้าง โชคเข้าข้างตนแล้ว เขาหัวเราะออกมาทันทีที่หมอกดำทะมึนปกคลุมไปทั่วจวน เสียงครืน ๆ ดังพร้อมกับเสียงร้องของม้าศึก
ประชาชนเรือนข้างเคียงตะโกนปีศาจ ๆ หนีเร็ว! ประตูหน้าต่างแต่ละบ้านเรือนกระแทกปิดดังปัง! ดังต่อกันไป จากนั้นทั่วทั้งเมืองก็ปกคลุมด้วยความเงียบ
โจรชั่วเหลือกตามองหาศัตรู หน้าตาหวั่นวิตก พลันได้ยินเสียงลมกระแทก ของมีคมบาดเข้าเนื้อมนุษย์ ศีรษะของโจรชั่วหลุดกระเด็นลงไปกองบนพื้นไม้เป็นเงามัน ชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนนั้นอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตาย
ช่างน่าเสียดาย โจรสวะพวกนี้เหมาะควรแก่การได้รับทัณฑ์ทรมานเสียก่อน
เจี้ยนหยู่เหลือไว้สองคน ไร้เส้นเอ็นที่ข้อเท้า ล้มลงร้องโอดโอยบนพื้นไม้เปียกชุ่ม เจ้าเมืองหนานไห่ก้มศีรษะทำความเคารพ “คำนับแม่ทัพเจี้ยนหยู่!” แล้วเงยหน้าขึ้นมองเกราะสีนิลสง่างาม ในแววตาปรากฏความตื้นตัน ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้ยิ่งนัก “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่รีบเดินทางมาทันเวลา หนานไห่เป็นหนี้บุญคุณพวกท่าน”
“ศัตรูมีเท่าไร ไยเมืองข้างเคียงไม่ส่งกำลังพลมาช่วยก่อนต้าเหลียง?”
“ราบเป็นหน้ากองแล้วท่านแม่ทัพ พวกมันบุกปล้นสะดมกลางดึก แถมมีไส้ศึกปิดข่าวจากต้าเหลียง โจรชั่วพวกนี้เป็นนักโทษมีฝีมือพอสมควร ปล้นฆ่ามาหลายเมือง สบโอกาสรวบรวมคนและเสบียง ทหารยามส่งม้าเร็วมาแจ้งข้าว่าศัตรูน่าจะมีสักสามพัน...”
“ต้าเหลียงกำลังเคลื่อนย้ายพลทหารมาประจำการเมืองหนานไห่ ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว ท่านลุกขึ้นเถิด รีบไป...” ไม่ขาดคำดี สตรีในอาภรณ์สีชาดวิ่งมากอดแขนบิดา นางยกมือโขกศีรษะขอบคุณท่านแม่ทัพ
เจ้าเมืองหนานไห่ไม่ประวิงเวลา คุกเข่าขอร้องอย่างลืมศักดิ์ศรีสิ้น
“แม่ทัพเจี้ยนหยู่! ก่อนท่านเดินทางไป ได้โปรดให้ความช่วยเหลือบุตรสาวชาวเมืองที่ถูกข่มเขงรังแกด้วยเถิด พวกนางเป็นบุตรีที่รักของบิดาสักคน หากไร้หนทางสู้ อาจถูกจับตัวในกระท่อมร้าง ข้าเองก็จะรีบตามไปสมทบเช่นกัน คาดว่าท่านคงไปช่วยพวกนางได้เร็วกว่า”
“ได้”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ๆ”
เจ้าเมืองหนานไห่สะบัดอาภรณ์สีครามสง่าลุกขึ้นยืน แม้บาดเจ็บก็หาได้กลัวตายไม่ เขาหยิบดาบวิ่งออกไปพร้อมกับบุตรสาว สั่งการทหารให้ต่อสู้เต็มกำลัง
[1] 占据 Zhànjù