“เจ้า...” ปลายนิ้วชี้หน้าบุตรสาว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธขึ้ง ดวงตาคู่คมเอ่อคลอยามนึกถึงบุตรอีกคน อันที่จริงนั้นเหม่ยฉีเป็นคนเล็กสุด เยว่ฉีคลอดออกมาก่อนเพียงชั่วอึดใจ “ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นจริงหรือไม่ ความรักที่ข้ามีให้ภรรยาและบุตรสาวทั้งสองเป็นเรื่องจริง”
เหม่ยฉีหน้าสลดเศร้า นางไม่ควรพูดจาทำร้ายจิตใจบิดา ทว่าคราวนี้นางท่าทางจะเอาเรื่องตำราให้ได้ นางยังคงคะยั้นคะยอถาม บิดาเดินหนีนางเท่าไรก็ไม่เป็นผล นางตามติดเป็นเงาอยู่ข้างหลัง เรียกหาบิดาเป็นเด็กน้อย
“พอได้แล้วเหม่ยฉี เจ้ารู้ไหมว่าต้าเหลียงมีหอนายโลม ทั้งสตรีสูงศักดิ์สาวแก่แม่ม่ายไปใช้บริการกันคับคั่ง เจ้าลองออกไปเปิดหูเปิดตาซะบ้าง”
“หอนายโลมรึ?” เหม่ยฉีตาโตเป็นไข่ห่าน อยู่ดี ๆ นางก็ลืมเรื่องที่จะถามบิดาก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท “มันตั้งอยู่ไหนของเมืองเจ้าคะ ท่านหมายถึงบาร์ผู้ชายใช่ไหม หนุ่มหล่อล่ำในคอสตูมโบราณ?”
“เลยร้านสมุนไพรตาเฒ่านั่นแล้วตรงไป เลี้ยวซ้าย มีตรอกเล็ก ๆ ถัดจากร้านหมั่นโถว”
“เอ่อ... คือข้าไม่ได้จะไปหาเศษหาเลยนะเจ้าคะ ข้าเป็นบุตรีหมอหลวง ไม่ควรกินบุรุษรองท้องแทนยาสมุนไพร ข้าแค่เก็บข้อมูลไว้เป็นแนวทาง”
บิดาหัวเราะหึหึในลำคอ เมื่อบุตรสาวหันมาสนใจเรื่องหอนายโลมแทนตำราผสานจิตใจ นับว่าเป็นเรื่องดี เขาหยิบถุงเงินที่เหน็บเอวยัดใส่มือบุตรสาว ด้วยท่าทางใจดี นางจะนำเงินนี้ไปทำอะไรให้แล้วแต่นาง
“งั้นข้าขอไปดูหน้าหลานเสียหน่อย ท่านพ่อมีสิ่งใดฝากให้ท่านลุง ข้ายินดีเป็นธุระเจ้าค่ะ”
“ดี ๆ เจ้าจะไปไหนก็ไป หยุดรบเร้ากวนใจข้าได้แล้ว” บิดาส่งตะกร้ายาสมุนไพร ของฝากเล็กน้อยให้กับญาติ ๆ แล้วหรี่ตาเล็กลงจนเหยียดเป็นเส้นตรง “พึงระวัง... เหม่ยฉี ตำราเล่มนั้นน่ะ เป็นของอันตราย”
เหม่ยฉีลอบกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่านางต้องระวังอะไร? แล้วเหตุใดบิดาจึงเบี่ยงประเด็นสนทนาด้วยการใช้บุรุษรูปงามเข้าล่อลวงนาง
หน้าตานางดูบ้าบุรุษขนาดนั้นเชียวหรือ!?
เดินเลาะเรือนทิศอุดรถัดจากโรงปรุงยาไปก็ถึงเรือนหลังใหญ่ร่มรื่น รายล้อมด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน แม้เล็กกว่าเรือนท่านหมอหลวง ทว่าแบ่งแยกเป็นสัดส่วน
เหม่ยฉีเดินตามเสียงชื่นชม ‘น่ารักน่าชังจริง ๆ’ เข้าไปในเรือนไม้กว้างขวาง ครอบครัวใหญ่อาศัยร่วมกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน เสียงทารกหัวเราะให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวย นางเข้าไปในห้องนอนซึ่งกลายเป็นสถานที่คลอดบุตร
“ช่างน่ารักจริง ๆ ขอให้เจ้าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อวี้ซือ อวี้ซิน” นางเอ่ยชมทารกอวบอ้วน ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก หยอกล้อทารกน้อยฝาแฝด ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มป่อง ๆ ของทั้งสองเล่นทีละคน
สายตาเอ็นดูนับสิบคู่จ้องมองเด็กน้อย หันไปถามเยว่ฉีเมื่อไรจะมีบุตรให้บิดาอุ้ม นางตอบพวกเขา ‘ว่าแต่ข้าเมื่อไรจะมีบุตร ข้ายังไม่มีสามีเลยเจ้าค่ะ’ ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันของครอบครัว พวกเขาพูดกับนางอย่างจริงจัง ไยไม่แต่งงานกับท่านผู้ตรวจการไปเสีย บุตรของนางและเขาจะต้องหน้าตาดีเหมือนบิดามารดาแน่นอน นางรีบบ่ายเบี่ยงประเด็นไป ส่งตะกร้ายาบำรุงผ่านมือบ่าวรับใช้
“เยว่ฉี ข้าสามารถแนะนำผู้ดีให้เจ้าได้ เจ้าออกไปเปิดหูเปิดตาในเมืองบ้าง เทพผู้เฒ่าจันทราผู้ดลบันดาลวาสนาครองคู่ มิอาจผูกด้ายแดงให้เจ้าได้ สามีเจ้าก็คงจะอยู่ในหม้อต้มยานั่นหรอก”
มารดานอนหน้าซีดเซียวบนฟูก ข้างหมอตำแยซึ่งรู้จักบ้านของนางดี อุตส่าห์มีเรี่ยวแรงถามนางเรื่องคู่ครองด้วย นางโบกมือไปมาว่าไม่มีสามีก็ไม่เป็นไร นางชอบอยู่กับหม้อต้มยา
เด็กชายตัวน้อยขยับเปลือกตาที่มองไม่เห็น คล้ายกลัวนาง อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ออกมา นางจึงขอปลีกตัวจากกลุ่มญาติ เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ โดยมีพี่สาวเดินตามนางออกมา คล้องแขนเดินเคียงกันอย่างสนิทสนม
“ขอบใจเจ้าที่อยู่ดูแลท่านพ่อ เจ้าเป็นกำลังสำคัญคอยช่วยเหลือเรือนปรุงยา วัน ๆ เจ้ามีงานต้องทำมากมาย ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านักเยว่ฉี”
“ท่านอย่าคิดมากเลยพี่ใหญ่ ที่ข้าเคยพูดจาไม่ดีกับท่าน ข้าขอโทษท่านด้วย” นางจับมือนุ่มของพี่สาวคนโตขึ้นกุม โดยไม่ถือสาว่านางจะต้องขอโทษแทนความร้ายกาจของเยว่ฉี นางว่า “ข้าไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้สักวัน ท่านดูแลตัวเองด้วย หวังว่าข้าจะได้อุ้มหลานในเร็ววัน ขาดเหลือยาบำรุงอย่างไร ท่านอยากได้อาหารชนิดไหนให้บอกข้า รับปากว่าจะเป็นธุระให้ท่านกับสามี”
“แล้วเมื่อไรเจ้าจะมีสามีกับเขาเสียที?”
“ข้าไม่รีบร้อน”
เพียงแต่นางไม่ปฏิเสธว่าไม่อยากมี พี่สาวพยายามหว่านล้อมนางเรื่องคุณชายสามสกุลจาง ชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นผู้ดีที่มีสาวหมายปองมากมาย
สองพี่น้องเดินผ่านสวนหย่อมหน้าเรือนอาวุโส ลมพัดเย็นสบาย ต้นไม้หลากสีสันในกระถางทั้งสองฝั่งซ้ายและขวาล้วนเป็นสมุนไพรมีประโยชน์ ยังมีห้องเก็บสมุนไพร ต้นไม้หลากสายพันธุ์ที่นำไปขายเป็นเงินได้
ด้วยความที่บ้านหลังนี้เคยเป็นจวนหมอหลวงรุ่นแรก จนไท่ซือจิ่วได้รับน้ำพระทัยจากฮ่องเต้จึงไปตั้งเรือนใหม่ คนในครอบครัวสกุลหยางยังคงประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับยาสมุนไพร พวกเขาเป็นพ่อค้า เปิดโรงยา ท่านลุงสามเป็นข้าราชการ ทำงานอื่นไปเลยเพราะไม่อยากวุ่นวายใจเรื่องการตรวจสอบความโปร่งใส
“นี่เจ้าฟังพี่สาวอยู่รึเปล่า? เจ้าอายุสิบเก้าปีจะย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว ไม่แต่งตอนนี้จะไปแต่งตอนอายุสามสิบหรือไง เจ้าลองเก็บคำพูดของข้าไปคิดดูหน่อยเถิด พี่สาวคนนี้เป็นห่วงเจ้ามาก เจ้าลองนึกดู...” ลี่เหยายกปลายนิ้วชี้แตะคาง ยิ้มย่ามใจ หลุบตามองใบหน้าสะสวยของน้องสาว “บุตรของเจ้าจะหน้าตาดีแค่ไหนกัน? ข้าว่าคุณชายสามสกุลจางรูปงามนัก”
เหม่ยฉีส่ายหน้า เงยขึ้นมองท้องฟ้าเปิดโล่ง จินตนาการชีวิตในวันข้างหน้าของนาง
จะน่าตื่นเต้นแค่ไหนกัน นางได้คลอดบุตรเป็นทารกน้อยในร่างอสรพิษเขี้ยวขาวคม ไม่แน่ว่าอาจเป็นงูเผือกร่างอวบอ้วน คลานยั้วเยี้ยเต็มบ้าน นัยน์ตาสีชาดใสแป๋วเรียกหาท่านพ่อท่านแม่ บุตรของนางจะคลอดออกมาเป็นคนหรือเป็นไข่?
เหล่าอาวุโสหัวโบราณคงเป็นลมล้มพับกับความคิดพิสดาร นางได้ถูกท่านย่าทำโทษ ให้นางไประลึกความผิดเบื้องหน้าบรรพบุรุษที่เชิงเขาเทียนซาน
“เจ้ายิ้มอะไร บอกข้ามาเร็ว”
“ไม่มี พี่ใหญ่ ท่านตาฝาดไป”
“เจ้าหน้าแดงแล้ว ข้าว่าคุณชายสามคงดีใจหากได้ยินเรื่องนี้จากข้า สกุลหยางน่าจะมีข่าวดีในเร็ววัน”
“เกรงว่าข้ามีธุระต้องไปทำ ข้าลา...” นางยกมือคำนับพี่สาว โดยมิได้แสดงสีหน้ารำคาญใจ ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามชักจูงนางด้วยความอุตสาหะเป็นอย่างมาก พอนางจะไปพี่สาวยังรั้งดึงแขนของนาง
“เจ้าจะรีบไปไหนเล่า?”
“ข้าจะไปรอแม่ทัพเจี้ยนแถวกระโจม ไม่รู้เขาเดินทางกลับมาวันไหนอย่างไรพี่สาว ไม่รู้แหละ ข้าจะไปรอเขาทุกวัน ไว้ค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่วันหน้า”
“ทำไมต้องไป... ทุกทีก็ไม่เห็นเจ้าจะไป”
“ท่านเป็นพี่สาวข้ามาทั้งชีวิต กินนอนกับข้ามา ไม่สังเกตเห็นเลยหรือว่าข้ามิได้มีใจให้ท่านผู้ตรวจการ จึงแต่งงานกับเขาไม่ได้ ข้ามีบุรุษในใจข้า”
“ยะ... อย่าบอกข้านะว่า...”
พี่สาวยืนหน้าซีดปากสั่น ยกมือปิดป้องใบหน้าด้วยท่าทางตกใจ ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้เลย! น้องสาวไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มและเดินจากไป