มลชักทนไม่ไหวกับกูณฑ์แล้ว อีกฝ่ายมาอยู่กับเขาเกือบสัปดาห์แล้ว แต่ยังนอนตื่นสายเหมือนเดิม เข้าวันนี้มลจะไม่ทนอีกต่อไป เขาเข้าไปเขย่าตัวกูณฑ์ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
กูณฑ์เพียงพลิกตัวหนี บ่นพึมพำว่า "ขอต่ออีกห้านาทีนะครับ แม่"
มลตะโกนกรอกหูกูณฑ์ "ข้าไม่ใช่แม่เจ้า ตื่นได้แล้ว"
เสียงตะโกนที่แทรกไปในความฝันทำให้กูณฑ์สะดุ้งตื่น พอเห็นหน้ามลที่เข้ามาใกล้ก็ตบเขาอย่างแรงเพราะตกใจ พอตั้งสติได้ เด็กหนุ่มก็พึมพำขอโทษ "โทษที ตกใจไปหน่อย"
มลลูบรอยที่โดนตบเบา ๆ "ตกใจแบบนี้ไม่ดีเลยนะ"
กูณฑ์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง "แล้วนายมาปลุกฉันทำไมแต่เช้าเนี่ย"
"เช้าที่ไหนกัน พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การไปหาอาหาร"
กูณฑ์ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม "ฉันยังไม่หิว นายหิวก็ไปก่อนเลย"
มลดึงแขนมนุษย์จากอารยธรรมภายนอก "ไม่ได้ ข้าหาอาหารให้เข้ามาตลอด คราวนี้เป็นตาเจ้าบ้างแล้ว"
กูณฑ์คราง แต่ในที่สุด เขาก็ยอมออกไปกับมลอย่างไม่เต็มใจนัก
ภาพแรกที่เขาเห็นคืออุสากับฤๅษีกำลังฝึกสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น "โยคะ" ภาพที่เห็นทำให้กูณฑ์ตื่นเต็มตาทันที
"เอ่อ ฝึกโยคะกันอยู่เหรอครับ" เด็กหนุ่มถามอย่างไม่มั่นใจนัก
"ใช่แล้ว เจ้าค่ะ พี่กูณฑ์" อุสาตอบ
"ไม่ยักกะรู้ว่าเจ้าตากับอุสาเล่นโยคะกันด้วย"
"ถ้าใครบางคนไม่มัวนอนหลับอุตุอยู่ก็คงจะรู้" มลพูดลอย ๆ
"นายว่าใคร" กูณฑ์หันไปถามเสียงเขียว หมอนี่พูดราวกับเขาเป็นคนขี้เกียจ นอนกินบ้านกินเมืองอย่างนั้นแหละ ถึงเขาจะตื่นเป็นคนสุดท้ายทุกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย ก็คนที่อยู่ที่นี่เป็นพวกนกเช้าทั้งนั้น อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ตื่นสายจนน่าเกลียด ประมาณเจ็ดแปดโมงเท่านั้นเอง
มลยักไหล่ "ทำไมเจ้าต้องเดือดร้อนด้วย ข้ายังไม่ได้เอ่ยชื่อเลย ข้าอาจหมายถึงเคียวก็ได้"
เคียวผู้ซึ่งกำลังมองการสนทนาอย่างสนใจสะดุ้ง เมื่ออยู่ ๆ ตัวเองก็กลายเป็นหัวข้อสนทนา
"ไม่ใช่ฉันนะ ฉันไม่เคยนอนด้วยซ้ำ"
"เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าเถียงกันเลย" ผู้อาวุโสกว่าเข้ามาไกล่เกลี่ย ตอนแรกเขาก็ช่วยพวกนี้ไว้เอาบุญ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็มัวแต่วุ่นอยู่กับลิงพวกนี้จนแทบไม่มีเวลาเจริญภาวนา มีแต่ช่วงเช้าก่อนที่เด็กหนุ่มหัวร้อนจะตื่นที่มีเวลาเล่นโยคะ ถึงจะเรียกว่าเล่น แต่ก็เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ดังนั้นบางทีฤๅษีอย่างเขาก็อาจเรียกตัวเองว่าโยคี ผู้ฝึกโยคะได้เหมือนกัน
"ไปกันได้แล้ว" มลว่า พลางเดินนำหน้า
กูณฑ์รีบสาวเท้าตามให้ทัน มลชี้ให้ดูผลไม้ต่าง ๆ พลางสอนอีกฝ่ายให้รู้จักว่าผลไม้ไหนกินได้บ้าง
"ผลไม้ส่วนใหญ่ที่พวกลิงกินได้ พวกเราก็กินได้"
"ฉันถามนายจริง ๆ ทำไมนายต้องใส่หน้ากากตลาดเวลาด้วย" กูณฑ์ถาม
"ตกลงเจ้าได้ฟังที่ข้าพูดบ้างหรือไม่" มลพูดอย่างอ่อนใจ
"ฟังอยู่น่า" กูณฑ์ว่า "หน้านายออกจะหล่อ ใส่หน้ากากไว้ทำไมก็ไม่รู้"
"เจ้าอย่าคิดมาเกี้ยวพาราสีข้าเชียวนะ" มลว่า พลางขยับตัวออกห่าง
กูณฑ์เบ้ปาก "ให้มันน้อย ๆ หน่อย แค่หน้านายมันดูเจริญหู เจริญตากว่าเท่านั้นเอง"
มลเหลียวมองไปทางอาศรม "ข้าก็อยากถอดอยู่หรอก แต่เจ้าตาท่านไม่ยอมน่ะสิ"
"นายจะกลัวอะไร" กูณฑ์ว่า "มาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว ถอดหน่อยเถอะ"
ด้วยความที่มลเองก็อยากถอดหน้ากากอยู่แล้ว เขาจึงถูกโน้มน้าวใจได้ไม่ยากนัก
มลกับกูณฑ์เดินเคียงกันและช่วยกันเก็บผลไม้อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งกูณฑ์ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้
เด็กหนุ่มหัวไฟพยายามเงี่ยหูฟัง "นายได้ยินอะไรไหม"
"ข้าได้ยินเสียงคนร้องไห้" มลว่า
กูณฑ์พยักหน้า "ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน เราลองไปตามหาดูไหม" แค่คิดว่ามีผู้หญิงกำลังหลงทางอยู่ในป่าก็ทำเอากูณฑ์ใตไม่ค่อยดีแล้ว
"ไม่ได้เป็นอันขาด" มลพูดเสียงเฉียบขาด
"ทำไมเป็นคนไม่มีน้ำใจอย่างนี้เนี่ย" กูณฑ์โวยวายตามประสาคนเลือดร้อน ก่อนจะจ้ำอ้าวไปทางต้นเสียง
"รอข้าด้วย" มลวิ่งตาม
พวกเขามาพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ เธอแต่งตัวเหมือนพวกเจ้าหญิงในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ มีสร้อยคอ สร้อยอะไรก็ไม่รู้เต็มตัวไปหมด
"ร้องไห้ทำไมครับ" กูณฑ์ถาม เธอสวยมาก ไม่น่ามาอยู่กลางป่าแบบนี้เลย เธอสมควรอยู่ในปราสาท มีคนคอยพะเน้าพะนอเอาใจมากกว่า
มลดึงตัวกูณฑ์ให้ออกห่างจากหญิงสาวปริศนา
"เจ้าอย่าไปยุ่งกับนางเชียวนะ" เจ้าถิ่นกระซิบเตือนแขกจอมดื้อ
กูณฑ์สะบัดมลออก
"นายจะบ้าหรือไง เห็นคนร้องไห้แล้วไม่ช่วย ใจจืดใจดำชะมัด"
"ไม่ใช่ไม่ช่วย แต่ว่านางเป็นรากษส"
รากษส กูณฑ์รู้สึกคุ้น ๆ กับคำนี้ชอบกล
"พวกอมนุษย์ที่ชอบลากเผ่าอื่นไปกินยังไงล่ะ"
"ไร้สาระจริง" กูณฑ์ว่า ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางอย่างนี้ จะไปลากใครได้ แค่ลมพัดเบา ๆ ก็คงปลิวแล้ว
"ข้าพูดจริง ๆ" มลยืนยัน "เจ้าดูนางสิ ตาของนางไม่มีแวว"
กูณฑ์หันไปมอง เขาเห็นแววตาของอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เพราะมันพร่ามัวไปด้วยน้ำตา
"เอาล่ะ ต่อให้นางเป็นรากษสจริง ๆ แล้วยังไง คนยังมีทั้งดีและชั่วเลย พวกรากษสก็คงเหมือนกันแหละ"
เด็กหนุ่มหัวไฟตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่กล้าหาญมากและโง่มากด้วย เขาเดินไปหาหญิงที่กำลังโศกเศร้าคนนั้น ก่อนจะยิ้มให้
"อย่าร้องไห้ไปเลยครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า"
หญิงสาวสะอื้นไปพูดไปจนจับใจความแทบไม่ได้ แต่ได้ความว่าเธอหลงทางและกำลังหาทางกลับอยู่ แต่ไม่กล้าเดินไปคนเดียว
"ท่านช่วยเดินไปส่งข้าได้ไหมจ๊ะ ใกล้ ๆ แค่นี้เอง" เธอช้อนตามอง
กูณฑ์ใจอ่อนยวบ "ได้สิ"
และโดยไม่ได้ฟังคำทัดทานจากมล กูณฑ์กับคนหลงทางเดินไปด้วยกันทันที
กูณฑ์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมลถึงตั้งแง่รังเกียจเธอนัก เธอออกจะสวย น่ารัก น่าทนุถนอมขนาดนี้ มลยืนยันว่าเธอเป็นรากษสแปลงกายมา แต่ถ้าแปลงจริง ๆ แล้วอย่างไร ไม่ใช่เพราะมีคนอย่างมลหรอกหรือที่ตั้งแง่รังเกียจรากษสจนพวกเขาต้องทำแบบนี้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง
"ข้าอยู่ที่นี่แหละจ้ะ ท่านก็เข้ามาก่อนสิจ๊ะ"
กูณฑ์เดินเข้าไป พอเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในถ้ำแล้ว หญิงสาวก็จัดการดันหินที่ปากถ้ำปิดทันที
กูณฑ์อ้าปากค้างด้วยความตกใจ "คุณทำอะไรของคุณน่ะ"
เขารีบเดินไปที่ปากถ้ำที่แต่เดิมสามารถเข้าออกได้สะดวก แต่บัดนี้มีหินก้อนใหญ่กว่าตัวเขากั้นอยู่ กูณฑ์พยายามขยับหิน แต่ทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้
หญิงสาวยิ้ม "ไม่มีประโยชน์หรอก ท่าน แรงมนุษย์สักพันคนก็ยกหินนั่นไม่ได้หรอก"
"งั้นคุณก็ไม่ใช่มนุษย์น่ะสิ" กูณฑ์ว่า
เจ้าของถ้ำขยับเข้ามากอดรัดกูณฑ์ กลิ่นสาบที่โชยมาจากตัวเธอทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกพะอืดพะอม กลิ่นของเธอเหมือนพวกเนื้อเน่า ๆ คำว่าสวยแต่รูป จูบไม่หอม เป็นอย่างนี้นี่เอง
กูณฑ์พยายามผลักอีกฝ่ายออก แต่แรงคนก็ไม่อาจสู้แรงรากษสได้ เธอยังคงกอดก่ายอยู่เช่นนั้น
"ใจเย็นก่อนนะ ใจเย็นก่อน" กูณฑ์ว่า เมื่อมือของอีกฝ่ายเริ่มเลื้อยลงมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าอันตราย
"ท่านอย่ากลัวไปเลยถึงข้าจะเป็นนางรากษส แต่ข้าก็ยังบริสุทธิ์ ไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน"
นั่นเป็นเรื่องสุดท้ายเลยที่กูณฑ์เป็นกังวล เขาไม่ได้เกิดมาในยุคที่ถือว่าพรหมจรรย์ของผู้หญิงเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
"ผมยังเด็กอยู่เลย ผมเพิ่งอายุสิบห้าเอง ยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้หรอก"
แต่ข้อแก้ตัวนี้ใช้ไม่ได้ผล
"ตอนที่นางผีเสื้อสมุทรอยู่ครองคู่กับพระอภัยมณี พระองค์ก็เพิ่งมีพระชนมายุได้สิบห้าเหมือนกัน"
นั่นเป็นข้อมูลใหม่ที่กูณฑ์เพิ่งรู้ เขาคิดว่าพระอภัยมณีโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเสียอีก ตอนตัดสินใจอยู่กินกับนางผีเสื้อ แต่เห็นได้ชัดว่ายังเป็นเด็กอยู่ อายุเท่า ๆ กับกูณฑ์ตอนนี้นี่เอง
กูณฑ์ไม่รู้จะทำยังไงดี อีกฝ่ายกอดรัดเขาแน่นจนหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนกระดูกจะหัก
"ใจเย็นก่อนนะครับ" กูณฑ์พยายามเจรจาด้วย "ถ้าผมตกลง ผมต้องทำยังไงบ้าง"
ตอนนี้เขาต้องขอถ่วงเวลาก่อน หวังว่าจะคุยกันได้นะ
"ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ ท่านอยู่ในถ้ำนี้ให้สบาย ข้าจะเป็นคนออกหาอาหารมาเลี้ยงท่านเอง"
"แล้วถ้าผมอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกล่ะ" กูณฑ์ลองถามดู
"ท่านมีข้าอยู่แล้ว จะออกไปข้างนอกทำไมคะ" นางรากษสอ้อน "ท่านอยากกินผลไม้อะไร ก็บอกข้ส ข้าจะเอามาให้ท่านทุกอย่าง"
แค่คิดว่าต้องอยู่ในถ้ำนี้ต่อไปโดยไม่รู้วันรู้คืนและได้กินแต่ผลไม้กันตาย เด็กหนุ่มก็สยองแล้ว ต่อให้ผู้หญิงสวยแค่ไหนก็มาขัดขวางความรักระหว่างเขากับเนื้อย่างไม่ได้หรอกนะ
"แล้วถ้าผมอยากอาบน้ำล่ะ" ตั้งแต่มาอยู่ป่าหิมพานต์ กูณฑ์ก็อาบน้ำไม่เป็นเวลาเหมือนแต่ก่อน แต่ก็พอได้ขัดถูบ้าง แต่เท่าที่เขาดูในถ้ำนี้ ไม่มีแหล่งน้ำพอให้เขาได้ลงไปแช่ตัวด้วยซ้ำ
"ท่านจะอาบทำไมล่ะเจ้าค่ะ ตัวท่านก็หอมอยู่แล้ว" พูดไม่พูดเปล่า เธอยังสูดดมกลิ่นกายของเขา ทำเอากูณฑ์ขนลุกชันไปทั้งตัว
"ฟังนะครับ" กูณฑ์พูดอย่างเริ่มหมดความอดทน ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจหนึ่งก็โกรธ "ผมเป็นคน ผมอยู่ในถ้ำ ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ออกไปไหนไม่ได้ ผมทนอยู่กับขี้ไคลโดยไม่อาบน้ำเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งผมมีพ่อแม่ มีเพื่อนอยู่ข้างนอก ผมอยู่กับคุณไม่ได้หรอกครับ"
"ถ้าท่านรังเกียจที่ข้าเป็นนางรากษส กินคนเป็นอาหาร ข้าขอศาลสนว่าข้าจะไม่มีวันจับท่านกินเป็นอันขาด" อีกฝ่ายพูดไปคนละเรื่องโดยไม่ได้ใส่ใจฟังเหตุผลของกูณฑ์เลนแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มไม่ได้พูดสักคำเลยว่ารังเกียจที่เธอเป็นรากษส แต่คำพูดที่เหมือนเป็นคำสารภาพกลาย ๆ ทำให้กูณฑ์กลัวคู่สนทนามากขึ้นไปอีก
"คุณกินคนเป็นอาหาร" กูณฑ์ร้องพลางขยับหนี
"ไม่ต้องกลัว อย่างไรข้าก็ไม่กินท่าน"
'ไม่กินเขา แล้วคนอื่นล่ะ' เด็กหนุ่มคิด เท่าที่เขาจำได้ ถ้ำนี้ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ยังอยู่ในรัศมีที่มลอาจจะเดินมาปะนางรากษสได้ แค่คิดว่าวันหนึ่งเพื่อนร่วมทุกข์ของเขาจะมาหาเขาในท้องของผู้หญิงคนนี้ เขาก็แทบอยากจะอาเจียนออกมาแล้ว
"ไม่ ยังไงก็ไม่ได้" กูณฑ์ปฏิเสธเสียงแข็ง
"ได้โปรดเถิด ท่าน" เจ้าของถ้ำเข้ามากอดก่ายกูณฑ์ไว้อีก
กูณฑ์พยายามรวบรวมพลังที่ทำให้เขาจุดไฟได้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าถ้าไฟติดขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาจะไปอยู่ไหนก็ตาม แต่เมื่อถึงยามคับขันก็ต้องใช้มาตรการสิ้นท่า อีกอย่างเขาเป็นเทพอัคนีอวตาร คงไม่ตายเพราะไฟของตัวเองหรอกมั้ง