ตอนที่ 16 ผู้รอบรู้
จุดศูนย์กลางของคนสองกลุ่มนั้น มีชายหนุ่มสองคนกำลังประลองฝีมือกันด้วยมือเปล่า คนหนึ่งรูปร่างท้วมแต่ท่อนล่างดูแข็งแรง กระบวนท่าของเขาดูมีพลังและเจ้านั่นคือเจ้าอ้วนหวังเพื่อนสนิทของเขาเอง ถึงเขาจะมีรูปร่างที่อ้วนแต่ฝีมือของเขาไม่ธรรมดา ทุกหมัดที่ออกไปตามเสียงโห่ร้องก็จะมีกระแสลมตามมาซึ่งดูแล้วน่าเกรงขาม ส่วนอีกคนรูปร่างเล็ก เคลื่อนไหวว่องไวราวกับหนู เขาไม่ได้ตอบโต้หมัดของเจ้าอ้วนหวังและแค่โยกตัวหลบไปมา ดูท่าว่าเขาอยากจะให้เจ้าอ้วนหวังหมดแรงแล้วค่อยตอบโต้กลับทีหลัง
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังประลองฝีมือในลานนั้น ใจของหานลี่ก็ต้องเอนเอียงไปทางเพื่อนเขาอยู่แล้ว
มองดูสักพักเขาก็เห็นเจ้าอ้วนหวังยังคงออกหมัดอย่างดุเดือด ถึงแม้หานลี่จะไม่ได้ฝึกวรยุทธ์มากมาย แต่ก็รู้ว่าเจ้าอ้วนหวังไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
เขามองหาคนที่อยู่รอบๆ เพื่อจะถามว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
ข้างๆ หินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีชายหนุ่มที่กำลังเฝ้าดูและขยับมือไปมา ส่วนปากก็บ่นพึมพำ “ชกไปที่หัว เตะเข้าที่เอว ไอ้หยา! พลาดไปนิดเดียวเอง! ใช่ ใช่ ถีบเข้าที่ก้นนั่นแหละ ออกแรงอีก...”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มหน้าบานไปปากก็พูดไปไม่หยุด
ฟังจากน้ำเสียงของเขาดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเจ้าอ้วนหวังนะ
หานลี่รู้สึกว่าคนคนนี้ดูน่าสนใจจึงปีนลงมาจากต้นไม้ช้าๆ และเดินตรงไปที่เขา
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านรู้จักคนที่อยู่ในลานนั้นหมดเลยหรือ? ทำไมพวกเขาถึงได้ต่อสู้กันเล่า?” หานลี่ถามด้วยท่าทางซื่อๆ
“ไม่เห็นต้องถาม ผู้รอบรู้อย่างข้ามีใครบ้างที่ไม่รู้จัก? พวกเขาต่อสู้กันเพราะ...เฮ้ย! เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้า เพิ่งเข้ามาในสำนักนี้หรือ? ไม่สิ เหลืออีกตั้งเกือบปีถึงจะรับศิษย์ใหม่เข้ามา เจ้าเป็นใครกันแน่?” ศิษย์พี่คนนี้ใจนึงอยากจะตอบคำถามเขา แต่ฉับพลันก็พบว่าตัวเขาไม่เคยเห็นหานลี่มาก่อน จึงดึงสติตัวเองกลับมาใหม่
“ข้าน้อยหานลี่ เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าอ้วนหวังที่ห้าวหาญไม่มีใครเกินคนนั้น” หานลี่ตอบอย่างจริงจัง
“เพื่อนสนิทเจ้าอ้วนหวัง? เพื่อนของเขาข้ารู้จักทุกคน แต่ไม่มีเจ้านี่!” ศิษย์พี่ยังดูระวังตัว
“เอ่อ สองสามปีมานี้ข้าได้เก็บตัวอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลก” หานลี่พูดทีจริงทีเล่น
“อย่างนั้นหรือ? เจ้าก็เป็นศิษย์ที่เข้ามาเมื่อสี่ปีก่อนหรอกหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าบนเขานี้ยังมีคนที่ผู้รอบรู้อย่างข้าไม่รู้จัก” เขากรอกตามองเสื้อผ้าที่หานลี่ใส่และดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อในสิ่งที่หานลี่พูด
เขาคุยเรื่องทั่วไปกับหานลี่อยู่สองสามประโยคก็พูดถึงการประลองยุทธ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่รู้อะไร เรื่องนี้เป็นศึกชิงนาง เริ่มจาก...” ไม่เสียทีที่เรียกตัวเองว่าผู้รอบรู้ เขาเล่าความเป็นไปของเรื่องนี้ให้หานลี่ฟังได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ที่แท้เรื่องนี้เริ่มต้นจากคนสองคน คนหนึ่งเป็นญาติผู้น้องของเจ้าอ้วนหวัง หวังย่าง อีกคนหนึ่งเป็นลูกชายของร้านแลกเงินแห่งหนึ่ง จางจ่างกุ้ย ทั้งสองเป็นศิษย์สายนอกและสายในของสำนักสัตตทมิฬ
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำบลเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้มาคลุกคลีอยู่ด้วยกัน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากผู้หญิงที่อยู่อีกตำบลหนึ่ง ตั้งแต่เด็กถูกหมั้นหมายไว้กับหวังย่าง แต่ก่อนหน้านี้ขณะที่นางได้ออกไปข้างนอก ระหว่างทางกลับบ้านก็ถูกคุณชายจางหมายตาไว้ สุดท้ายผู้หญิงรวมทั้งพ่อแม่ล้วนตกอยู่ในอำนาจเงินของคุณชายจาง นางจึงถูกยกให้กับจางจ่างกุ้ย ส่วนสินสอดของหวังย่างก็ถูกส่งกลับมา ฝ่ายหญิงเห็นแก่เงินจนยอมตกเป็นของคนอื่น ข่าวร้ายนี้กระทบจิตใจหวังย่างอย่างรุนแรงและหวังย่างเองก็แอบมีใจให้กับนางอยู่นานแล้ว หลังจากที่ได้รู้ข่าวก็เสียใจจะเป็นจะตาย สุดท้ายคิดไม่ตกโดดน้ำฆ่าตัวตาย
เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าจบลงแบบโศกนาฏกรรม
แต่เจ้าอ้วนหวังที่สนิทกับญาติผู้น้องคนนี้ได้ทราบข่าวก็ไม่ยอมรามือ เขาไปหาจางจ่างกุ้ยเพื่อขอท้าดวล ฝ่ายที่แพ้จะต้องทำพิธียกน้ำชาขอขมายอมรับผิด
แม้ว่าจางจ่างกุ้ยจะเป็นคนอวดดี แต่เมื่อเขารู้ว่าฝีมือของเขาอ่อนกว่าของเจ้าอ้วนหวังแค่นิดเดียว เขาจึงเสนอให้เพื่อนสามารถเข้าร่วมการต่อสู้นี้ด้วย ประลองกันหลายครั้งค่อยเอาผลมาตัดสินแพ้ชนะ เจ้าอ้วนหวังก็ดันตกลง จางจ่างกุ้ยถือว่ามีเงินจึงใช้เงินกว้านหาศิษย์ตระกูลดีมีฝีมือมาช่วยเหลือ แต่เจ้าอ้วนหวังแม้จะไม่มีเงิน แต่ด้วยความที่รู้จักคนในสำนักเยอะ เพื่อนระดับกลางระดับล่างมีหมด และคนมีฝีมือหลายคนก็เสนอตัวช่วยเหลือเขาเอง
ผลคือศิษย์ในสำนักเมื่อได้ยินข่าวการประลองในครั้งนี้ก็ตามกันมาดูและโห่ร้อง จึงทำให้การต่อสู้ของอริทั้งสองฝ่ายยิ่งดูดุเดือดขึ้น
จากน้ำเสียงของเขา หานลี่ฟังออกว่าความบาดหมางระหว่างศิษย์ตระกูลผู้ดีและศิษย์ชั้นกลางและล่างดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้น
คิดไม่ถึงเลยว่าการประลองยุทธ์จะดึงดูดผู้คนมาได้มากขนาดนี้
“เจ้าก็อยู่ฝ่ายเจ้าอ้วนหวังสินะ ถ้าพวกมันไม่เคารพกฎ พวกเราไปจัดการพวกคุณชายเหล่านั้นให้ฉี่ราดไปเลย พวกมันจะได้ไม่กล้ารังแกพวกเราอีก” เขายังไม่หยุดพูดตั้งแต่ที่เจอกัน
หานลี่ฝืนยิ้มให้และความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา ส่วนเรื่องนี้ก็พูดยากว่าใครถูกใครผิด ด้วยความที่เขานั่งฝึกสมาธิอยู่หลายปีทำให้ความใจร้อนของเขาลดน้อยลง อีกทั้งเขาไม่เคยได้เรียนกระบวนท่าหมัดมวยหรือจับอาวุธ เขาไม่มีทางเอาชนะศิษย์ในสำนักคนอื่นได้เป็นแน่ ดูจบก็กลับไปอยู่ในหุบเขาตามเดิมดีกว่า
“เยี่ยมมาก!” ทันใดนั้นชายหนุ่มร้องเสียงดังด้วยสีหน้าดีใจ
หานลี่ได้ยินก็รีบหันหน้ากลับไปมองที่ลานประลอง ที่แท้คู่ต่อสู้ของเจ้าอ้วนหวังก็หลบหมัดใหญ่ๆ ของเขาไม่พ้น ถูกชกเข้าให้ที่หัวและล้มพับลงไป
คนกลุ่มหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “เยี่ยม” ขึ้นมา ส่วนคนอีกหลุ่มหนึ่งก็หน้าถอดสีจนดูไม่น่ามอง
เจ้าอ้วนหวังแสดงสีหน้าได้ใจ ยกมือขึ้นคำนับไปรอบๆ สะบัดก้นใหญ่ๆ ไปยังฝั่งของเขา ท่าทางในการต่อสู้เมื่อครู่แทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
ฝ่ายของจางจ่างกุ้ยก็มีหนุ่มสองคนมาลากศิษย์ที่หมดสตินั้นกลับไป
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ส่งคนใหม่ออกมาอีก คนหนึ่งถือดาบ อีกคนถือกระบี่
ทั้งสองดูเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกอาวุธในมือขึ้นมาปะทะกันดังกึกก้องทั้งลานประลอง