บทที่ 15

ตอนที่ 15 สี่ปีจากนั้น

ท่านหมอม่อเห็นหานลี่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

แต่ท่านหมอม่อก็ยังรู้สึกว่าเขาฝึกได้ช้าไป

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาการป่วยของท่านหมอม่อดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ เขาจะไอถี่ขึ้นทุกวันและใช้เวลานานขึ้นในแต่ละครั้ง

เนื่องจากร่างกายที่แย่ลงทำให้ท่านหมอม่อยิ่งกังวลกับการฝึกของหานลี่มากขึ้น จากถ้อยคำที่ดูเร่งรัดของเขาก็ฟังออกว่าเขาร้อนใจมากแค่ไหน

ท่านหมอม่อดูท่าจะให้ความสำคัญกับหานลี่มาก ไม่เพียงแต่จะให้เงินเดือนมากกว่าศิษย์คนอื่นแล้ว แต่แววตาที่เขามองมายังหานลี่ช่างพิเศษเหมือนเขากำลังจ้องมองสิ่งของล้ำค่าหายากด้วยความทะนุถนอม

หานลี่ฝึกบทท่องได้ถึงขั้นที่สามซึ่งทำให้มีสัมผัสที่ว่องไวขึ้น เขาพบว่าเบื้องหลังแววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนี้ กลับปนไปด้วยความโลภและกระหายที่ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวล

ท่าทางเช่นนั้นทำให้หานลี่แอบหวาดกลัว เขามักรู้สึกว่า สีหน้าท่าทางที่ท่านหมอม่อแสดงออกมันไม่เหมือนกำลังมองคนคนหนึ่ง แต่มันเหมือนกับกำลังมองของสิ่งหนึ่ง

มันทำให้หานลี่สงสัยว่า ตัวเขามีอะไรที่ท่านหมอม่ออยากได้อย่างนั้นหรือ?

แน่นอนว่าไม่มี เขาตอบตัวเองอย่างมั่นใจ

บางครั้งหานลี่คิดว่าเขาอาจจะฝึกวิชามากเกินไปถึงกล้าแอบตำหนิท่านหมอม่อ เขาช่างเนรคุณเสียจริง

แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจลึกๆ ถึงได้มีความรู้สึกว่าต้องระวังตัวจากท่านหมอม่อและนับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือเขาพบอุปสรรคในการฝึกฝน และที่แย่กว่านั้นคือช่วงเวลาหลายปีที่หานลี่ฝึกฝนและกินยาบำรุง ทำให้ตัวยาอันล้ำค่าที่ท่านหมอม่อมีอยู่ถูกใช้ไปจนหมด

เห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร ไม่มีสมุนไพรมาช่วยบำรุง การฝึกฝนก็ไม่คืบหน้า

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อท่านหมอม่อเสียเหลือเกิน

ท่านหมอม่อดูเหมือนจะทุ่มเทกายใจและทุกสิ่งที่มีไว้กับเขา ทั้งจัดการทุกอย่างอย่างดีเพื่อให้เขาได้ฝึกฝน แต่เขากลับไม่สามารถทำตามที่ท่านหมอม่อต้องการได้

น่าแปลก ไม่รู้เหตุใดท่านหมอม่อผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้ ท่านหมอม่อจะรู้แค่ระดับการฝึกจากการจับชีพจรของเขา ดังนั้นหลายวันมานี้ท่านหมอม่อจึงไม่รู้ถึงอุปสรรคที่เขากำลังเผชิญ

เมื่อไม่นานมานี้หานลี่ตัดสินใจบอกความจริงกับท่านหมอม่อ

ท่านหมอม่อเมื่อได้ยินว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาหานลี่ฝึกบทท่องนิรนามไม่คืบหน้า หน้าสีเหลืองซีดก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด ยิ่งทำให้ใบหน้าไร้อารมณ์นั้นดูน่ารังเกียจขึ้นไปอีก

ท่านหมอม่อไม่ได้ตำหนิเขา แค่บอกว่าจะลงเขาไปเก็บสมุนไพรสักพักและให้เขาเร่งฝึกวิชาอยู่บนเขา อย่าแอบขี้เกียจ

ผ่านไปสองวันท่านหมอม่อได้นำกระเป๋าและเครื่องมือเก็บสมุนไพรออกไปจากสำนักสัตตทมิฬตามลำพัง

หลังจากที่ท่านหมอม่อออกเดินทางไป หุบเขาหัตถ์เทวาก็เหลือแค่หานลี่เพียงคนเดียว

ส่วนจางเถี่ยที่เป็นทั้งศิษย์ผู้พี่และเพื่อนของเขา เมื่อสองปีก่อนขณะที่เขาฝึก ‘เคล็ดวิชาด้วง’ ขั้นสามสำเร็จแล้วจู่ๆ เขาก็หายไป ทิ้งไว้แค่จดหมายลาที่บอกว่าจะออกไปสู่ยุทธภพ เรื่องนี้ทำให้สำนักวุ่นวายใหญ่โต จากนั้นได้ยินว่าท่านหมอม่อได้ออกหน้าช่วยเหลือไว้จึงไม่เดือดร้อนไปถึงผู้รับรองและครอบครัว หานลี่รู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป เขาเสียใจกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน ในใจลึกๆ รู้สึกว่ามันไม่ปกติแต่จางเถี่ยเป็นแค่คนต่ำต้อยจึงไม่มีใครถามถึง เรื่องก็เลยจบลงไปเสียอย่างนั้น แต่หานลี่เดาว่าจางเถี่ยไม่ได้แอบหนีไปเพราะกลัวที่จะฝึก ‘เคล็ดวิชาด้วง’ ขั้นสี่เป็นแน่

หานลี่ฝึกวิชาอยู่ในหุบเขาได้สองสามวันและพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาที่ยังมีนิสัยความเป็นเด็กจึงแอบออกจากหุบเขาหัตถ์เทวาไปเที่ยวเล่นที่เขาประกายรุ้ง

หานลี่ถอนหายใจขณะเดินไปบนทางที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตา

สองสามปีมานี้หานลี่เหมือนติดอยู่ในคุก และเพื่อตั้งใจฝึกวิชาเขาไม่เคยได้ออกจากหุบเขาแม้แต่ก้าวเดียว

คาดว่าศิษย์ในสำนักคงจะลืมศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างเขาไปเสียแล้ว

ระหว่างทางได้พบกับศิษย์ลาดตระเวนกลุ่มหนึ่ง เห็นเขาใส่ชุดศิษย์สำนักฝ่ายในแต่กลับไม่คุ้นหน้า ก็แตกตื่นเข้ามาสอบถามกันใหญ่ ทำให้เขาเสียเวลาอธิบายอยู่นานสองนานกว่าจะปลีกตัวออกมาได้

เพื่อหลบความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้น หานลี่จึงเลือกเดินไปตามทางแคบๆ ซึ่งมุ่งตรงไปยังที่ที่เงียบสงบเพราะเขาอยากหลีกเลี่ยงสถานที่ที่คนอยู่เยอะ เฮ้อ! มากคนก็มากความ

และก็เป็นอย่างนั้นเขาไม่พบคนน่ารำคาญคอยถามเซ้าซี้เลยสักคน ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

มองดูทิวทัศน์อันงดงามที่แตกต่างจากในหุบเขา และเงี่ยหูฟังเสียงร้องของนกดังเจื้อยแจ้ว ทำให้หานลี่ทิ้งความกลัดกลุ้มที่มีไว้เบื้องหลัง

ทันใดนั้นก็มีเสียงอาวุธรวมทั้งเสียงผู้คนทั้งด่าทั้งโห่ร้องลอยมาจากด้านล่างหน้าผาที่อยู่ไกลออกไป

สถานที่ไกลโพ้นเช่นนี้! มารวมตัวกันเยอะถึงเพียงนี้! แล้วยังเสียงโห่ร้องดังสนั่นอีก!

หานลี่เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาเดินไปตามเสียงต่อสู้นั้นจนถึงใกล้ๆ บริเวณหน้าผาโดยไม่กลัวว่าใครจะเข้ามาถามอะไรเขา

ใหญ่โตอะไรเพียงนี้! เขาตกใจค้างอยู่สักพัก

ด้านล่างหน้าผาที่ถูกบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่มีคนประมาณร้อยกว่าคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น พื้นที่ไม่ได้กว้างแต่กลับอัดแน่นไปด้วยผู้คน หรือแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ก็มีคนยืนมองลงมาจากด้านบนกิ่งไม้

กลางวงล้อมของคนมากมายได้มีคนสองกลุ่มที่ดูเป็นศัตรูกันกำลังหยั่งเชิงกันอยู่

ฝั่งซ้ายมีสิบสองคน ส่วนฝั่งขวามีแค่หกเจ็ดคน

หานลี่สังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนดูหรือกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางล้วนแต่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาทั้งนั้นน่าจะประมาณสิบกว่าปี

ใบหน้าของหานลี่ปรากฎรอยยิ้มขึ้น หึ ช่างบังเอิญเสียจริง!

ในกลุ่มคนบริเวณนั้น หานลี่จำหน้าพวกเขาได้อยู่หลายคน

“ว่านจินเป่า จางต้าหลู่ หม่าอวิ๋น ซุนลี่ซง... เฮ้ย! เจ้าอ้วนหวังอ้วนกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยว่ะ ไม่เสียแรงที่ที่บ้านเป็นพ่อครัว กินดีอยู่ดีเสียจริง! คนนี้คือ คือหลิวหัวเหล็กนี่ ชิ! ชิ! เจ้าเงาะตัวดำกลายเป็นหนุ่มหน้าขาวไปเสียแล้ว!” หานลี่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้และเรียกชื่อคนคุ้นหน้าที่ยืนอยู่ด้านล่าง