บทที่ 18

ตอนที่ 18 ศิษย์พี่ลี่ (2)

“ศิษย์พี่ท่านนี้มีชื่อเสียงมากเลยหรือ! เขามีความเป็นมาอย่างไรกัน?” หานลี่รู้สึกสงสัย

“แม้แต่ศิษย์พี่ลี่เจ้าก็ไม่รู้จัก?”

“ก็ข้าเก็บตัวอยู่ตั้งหลายปี!”

“ใช่ ใช่ ข้าลืมไปได้อย่างไร ความจำข้าแย่แล้วจริงๆ ข้าแค่คิดว่าในสำนักสัตตทมิฬนี้ไม่มีใครไม่รู้จักศิษย์พี่ลี่ เลยลืมเรื่องที่ศิษย์พี่หานเก็บตัวเสียสนิทเลย” เจ้าผู้รอบรู้นึกขี้นได้ทันทีก็ขอโทษขอโพยใหญ่

“เล่าเรื่องศิษย์พี่ลี่ให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”

“ได้แน่นอน ศิษย์พี่หาน เรื่องราวของศิษย์พี่ลี่ ศิษย์รุ่นๆ พวกเรารู้ดีที่สุดเชียวหละ” เจ้าผู้รอบรู้หันกลับไปมองที่ลานประลองก็พบว่าฝ่ายจางจ่างกุ้ยยังไม่ส่งคู่ต่อสู้ออกมา จึงเล่าเรื่องของศิษย์พี่ลี่ให้เขาฟังเป็นฉากๆ

“ศิษย์พี่หาน อย่าหาว่าข้าขี้โม้เลยนะ เรื่องของศิษย์พี่ลี่ไม่ได้มีแค่ศิษย์อย่างพวกเราที่รู้ แม้แต่ศิษย์พี่บางคนก็ยังรู้ เดิมทีนะ...” เขาเล่าให้หานลี่ฟังอย่างกระตือรือร้น ท่าทางออกนอกหน้าจนเหมือนเป็นเรื่องของเขาเองเสียอย่างนั้น

ได้ฟังเจ้าผู้รอบรู้เล่าเรื่องราวของศิษย์พี่ลี่ก็รู้สึกว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ศิษย์พี่ลี่ก็ขึ้นเขามาเมื่อสี่ปีที่แล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่กลุ่มเดียวกันกับหานลี่ ตอนนั้นเขาก็ไม่ผ่านบททดสอบและถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ในนาม แต่บททดสอบครึ่งปีต่อจากนั้น เขาไม่เพียงแต่เอาชนะเป็นที่หนึ่งของทุกการทดสอบ เขายังทนรับกระบวนท่าของศิษย์พี่ได้ถึงสามสิบท่าซึ่งทำลายสถิติของศิษย์ในนามคนก่อนลงได้ เขาจึงทำให้อาวุโสหลายท่านสนใจอยู่ไม่น้อย

ที่น่าตกใจกว่าคือหลังการตรวจสอบพบว่าพื้นฐานกระดูกของเขาก็ธรรมดา ความสามารถก็มีจำกัด ทำให้หลายคนแอบเสียดายและเพราะเหตุนี้จึงไม่มีอาวุโสท่านไหนรับเขาเป็นศิษย์ หลังจากการฝึกฝนพื้นฐานสองปี เขาก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้คุมกฎธรรมดาคนหนึ่ง เรียนเคล็ดวิชาทั่วไปสองสามชุด เพลงดาบสายฟ้าฟาดคือหนึ่งในเคล็ดวิชาระดับกลางของสำนักสัตตทมิฬ

ถ้าเรื่องราวหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ศิษย์พี่ลี่ก็ไม่ถือว่าเป็นตำนาน เรียกว่าท่าดีทีเหลวถึงจะเหมาะกว่า แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ใช้เคล็ดวิชาเพลงดาบสายฟ้าฟาดที่ไม่เตะตานี้อย่างโดดเด่นในการประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ ประลองด่านแรกเขาก็ได้ขึ้นไปถึงลำดับที่สิบหก เขาเป็นศิษย์ใหม่เพียงคนเดียวที่ติดอันดับต้นๆ เรื่องนี้เลยทำให้เขากลับมาเป็นจุดสนใจในสำนักอีกครั้ง

การประลองยุทธ์ในแต่ละด่าน ศิษย์พี่ลี่ล้วนเก่งกาจไม่มีใครเกิน เขามักจะติดอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นหน้าเป็นตาให้ศิษย์ใหม่อย่างพวกเขา และการประลองยุทธ์ปีที่แล้วเขาติดอันดับที่สามส่วนที่หนึ่งและสองคือศิษย์ที่เข้าสำนักมาสิบกว่าปี ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ลี่จะเป็นศิษย์น้องที่อ่อนกว่าหนึ่งรุ่น แต่ก็อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดแล้ว ศิษย์พี่สองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่กำลังภายในพวกเขาก็ลึกล้ำกว่าอยู่แล้ว ศิษย์หลายคนคิดว่าถ้ากำลังภายในของศิษย์พี่ลี่พอๆ กับศิษย์พี่สองคนนั้น ที่หนึ่งนั้นต้องตกเป็นของเขาแน่

ด้วยเหตุนี้ศิษย์พี่ลี่จึงถูกเบื้องบนจับตามองและถูกส่งไปทำภารกิจนอกสำนักอยู่หลายครั้ง ในขณะที่ศิษย์ใหม่คนอื่นกำลังฝึกฝนกันอย่างหนัก เขาก็ได้ออกไปสร้างคุณความดีให้สำนักจนในยุทธภพเรียกเขาว่า ‘เสือลี่’ ได้ข่าวมาว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้เขาหอสัตตสมบูรณ์เพื่อฝึกเคล็ดวิชาที่สูงขึ้น

หานลี่ฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกประทับใจ ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ศิษย์พี่ลี่คนนี้ก็ไม่ธรรมดา แค่ศิษย์ในนามคนหนึ่งสามารถต่อสู้มาจนสำเร็จเช่นนี้ เขารู้สึกเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย

ฝ่ายจางจ่างกุ้ยหลังจากที่ยืดเยื้อมานาน ในที่สุดก็ส่งศิษย์ใจกล้าคนหนึ่งออกมา

ศิษย์คนนี้พอดูมีฝีมือไม่เบา เขาชักกระบี่ที่เปล่งประกายเล่มหนึ่งออกจากฝัก มันเรียวเหมือนนิ้วมือและดูนุ่มนวลอ่อนโยน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่กระบี่ที่คนธรรมดาทั่วไปเขาใช้กัน

ศิษย์พี่ลี่สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้มาถึงแล้ว จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความท้าทาย

จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาเหมือนเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังจนทำให้หูอื้อไปหมด ส่วนคนที่อยู่ตรงข้ามก็ยืนตัวสั่น แสดงสีหน้าหวาดกลัว

สิ้นเสียงตะโกน ดาบยาวของเขาก็เริ่มขยับ ตวัดครั้งเดียวก็หมุนอยู่หลายรอบ พริบตาเดียวก็ปรากฎเงาดาบสิบกว่าเงาวนรอบตัวคู่ต่อสู้คนนั้น

เจ้าคนนั้นก็มีไหวพริบ แม้ว่าเขาจะลุกลี้ลุกลน แต่กระบี่ในมือเขาก็ยังตวัดไปมา ป้องกันได้อย่างไม่มีช่องโหว่

“คนนี้เป็นใครกัน?” หานลี่อดที่จะถามไม่ได้

“จ้าวจื่อหลิง ศิษย์ของอาวุโสห้า เพลงกระบี่ที่ตวัดดุจใบหลิวนั่นรับมือได้ยาก”

“ถ้าเทียบกับศิษย์พี่ลี่เล่า?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอยู่แล้ว” เจ้าผู้รอบรู้ตอบอย่างภูมิใจ

“เช่นนั้นทำไมจางจ่างกุ้ยไม่ส่งคนที่เก่งกว่านี้ออกมา?”

“ฮ่าฮ่า! ก็จ้าวจื่อหลิงเก่งที่สุดในพวกเขาแล้วน่ะสิ ในบรรดาศิษย์ใหม่อย่างพวกเราไม่มีใครสู้ศิษย์พี่ลี่ได้อีกแล้ว ส่งใครเข้ามาก็ไร้ประโยชน์” เขามีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายต้องพ่ายแพ้

กระบวนท่าเพลงกระบี่ของจ้าวจื่อหลิงไม่ผิดเพี้ยน แต่กลับไม่มีกำลังซึ่งผิดกับของศิษย์พี่ลี่ ใครๆ ก็ดูออกว่าเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับศิษย์พี่ลี่ไม่ช้าก็เร็ว

หานลี่มองดูสักพักก็เกิดความสงสัย

“ข้ารู้สึกแปลกใจ ทำไมถึงไม่มีศิษย์พี่ที่อายุมากกว่าอยู่ในลานประลอง แม้ไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมประลอง อย่างน้อยกลุ่มคนดูก็น่าจะมีบ้าง แต่นี่ทั้งนอกและในลานประลองก็ไม่เห็นมีสักคน มีแต่ศิษย์ใหม่อายุสิบกว่าปีอย่างพวกเรา มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?” หานลี่ถามออกไปอย่างไม่เกรงใจ

เจ้าผู้รอบรู้ได้ฟังดังนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนสี ใช้สายตาแปลกๆ มองมาที่เขา ทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือว่าเขาถามอะไรที่เป็นสิ่งต้องห้ามเข้า?