ตอนที่ 13 ปรากฎการณ์ประหลาด
เพราะรู้ว่าขาของหานลี่ได้รับบาดเจ็บ จางเถี่ยจึงยกอาหารไปให้หานลี่และตั้งใจที่จะกินข้าวพร้อมกันกับเขา
หานลี่มองดูจางเถี่ยทำงุ่มง่ามอยู่ในห้องของเขา เดี๋ยวก็ย้ายเก้าอี้ เดี๋ยวก็ย้ายโต๊ะไปมา วุ่นวายอยู่ได้พักใหญ่ จนในที่สุดก็ย้ายเสร็จพร้อมกินข้าวได้สักที ในใจเขาเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจเสียมากกว่า
หลังจากที่พวกเขานั่งลงกินข้าวอาหารเต็มปาก ก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระในสำนักไปด้วย และถามถึงความคืบหน้าในการฝึกวิชาของอีกฝ่ายขึ้นมา
เมื่อเอ่ยถึง ‘เคล็ดวิชาด้วง’ จางเถี่ยทำสีหน้ากลัดกลุ้มกลอกตามองบน
จางเถี่ยในตอนนี้แค่พูดถึง ‘เคล็ดวิชาด้วง’ เขาก็หวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกได้แค่ขั้นแรก แต่เขาก็ถูกท่านหมอม่อทรมานจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่เพียงแต่ต้องมาต้มสมุนไพรเหม็นๆ ที่เดิมเวลาเดิม บางเวลายังต้องถูกไม้เท้าของท่านหมอม่อตีเข้าอีก บอกว่าต้องฝึกความแข็งแรงของร่างกาย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วิธีการฝึกที่หฤโหดเช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ในกลางดึก เพราะทุกส่วนในร่างกายของเขามีแต่รอยแดงช้ำเต็มไปหมด แค่ร่างกายสัมผัสเข้ากับขอบเตียงก็ทำให้เจ็บปวดจนร้องโอดครวญ
นั่นถือเป็นฝันร้ายสำหรับเขาเลยก็ว่าได้
เขายังแอบอิจฉาหานลี่อยู่ลึกๆ ที่ได้ฝึกบทท่องนิรนามนั้น
เขารู้สึกว่าทุกวันก็แค่นั่งสมาธิสวดมนต์เหมือนพระสงฆ์ก็พอแล้ว และเมื่อหานลี่ได้ฟังประโยคนี้ของจางเถี่ย เขาก็ถึงกับนิ่งเงียบไป
หานลี่พอจะเข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวของจางเถี่ยที่ต้องเจอเมื่อฝึก ‘เคล็ดวิชาด้วง’ ขั้นสูงขึ้น ไม่ว่าใครถ้าได้รู้ว่าจากนี้ต้องเผชิญกับความทรมานที่มากกว่าตอนนี้ไม่รู้กี่สิบเท่า เขาก็ต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับกันทั้งนั้น
จนถึงตอนนี้จางเถี่ยสามารถอดทนและไม่ยอมแพ้ก็ทำให้หานลี่นับถือใจเขาอยู่ไม่น้อย
ถ้าหากว่าเป็นตัวเขาเอง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางฝึกวิชาที่ทรมานตัวเองเช่นนี้เป็นแน่ แม้ว่าจะทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในชั่วข้ามคืน เขาก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม
พวกเขาคุยกันไปจนกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่จางเถี่ยเก็บถ้วยและตะเกียบแล้ว เขาก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ ก่อนที่เขาจะไป เขาบอกให้หานลี่พักผ่อนและรักษาแผลให้หายไวๆ
หลังจากหานลี่ยืนส่งจางเถี่ยที่หน้าประตู เขาก็รีบเดินกลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูและหน้าต่างแน่น มีแค่หน้าต่างระบายอากาศบนหลังคาที่เขาไม่ได้ปิด จากนั้นก็หยิบขวดออกมาจากถุงที่ห้อยคอแล้วเริ่มพิจารณามันใหม่อีกครั้ง
ถึงอย่างไรหานลี่ก็เป็นแค่เด็กสิบขวบ เขาพลิกขวดไปมาอยู่สักพักก็ยังหาวิธีเปิดมันไม่ได้จนเขาเริ่มเบื่อหน่าย บวกกับขาของเขาที่ยังบาดเจ็บอยู่เลยทำให้เขารู้สึกเหนื่อยจนเผลอหลับไปบนเตียงพร้อมกับขวดที่ยังอยู่ในมือ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หานลี่ที่กำลังหลับฝันหวานก็รู้สึกถึงลมเย็นวูบนึงส่งมาจากมือข้างหนึ่งของเขา
หานลี่สะดุ้งเฮือกด้วยความเย็น เขาฝืนลืมตาขึ้น รู้สึกว่าหนังตารู้สึกหนัก เมื่อลืมตาขึ้นได้เขาเขาก็มองไปยังมือเจ้าปัญหานั่น มันช่างดูเลือนลาง
ผ่านไปสักพัก เขาก็รีบลุกขึ้นนั่ง อ้าปากค้าง แม้แต่มีน้ำลายไหลออกมาเขาก็ยังไม่รู้ตัว ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไปเพราะเขาเหมือนถูกสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าสะกดไว้
เขาเห็นลำแสงสีขาวตกลงมาจากบนหลังคาที่เปิดอยู่เพียงบานเดียวตรงหน้า แสงนั้นรวมกันอยู่ที่ขวดในมือเขา พวกมันจนกลายเป็นจุดสีขาวที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวหลายเม็ด ทำให้ขวดนั้นเหมือนมีแสงสว่างสีขาวบางๆ ล้อมรอบอยู่
แสงสีขาวนี้ดูนุ่มนวล ไม่แสบตา แต่กลับมีความรู้สึกเย็นๆ ถูกส่งผ่านมาจากแสงสีขาวอ่อนๆ นั่น
หานลี่ฝืนกลืนน้ำลายที่เริ่มเย็นเข้าไปอึกใหญ่จึงรู้สึกตัวขึ้น เขาสะบัดขวดในมือทิ้งไปราวกับว่ามันกำลังลวกมือของเขาอยู่ ส่วนตัวเขาก็กลิ้งหลบไปอีกฝากหนึ่ง
เขาสำรวจมันอยู่สักพัก และพบว่ามันดูไม่มีพิษมีภัย จึงเดินเข้าไปใกล้มันอีกครั้ง
ขวดที่ตอนนี้ปกคลุมด้วยแสงสีขาวยิ่งทำให้ดูงดงามน่าดึงดูดขึ้นเป็นพิเศษ แล้วยังมีแสงสีรุ้งลึกลับนั่นด้วย
หานลี่ลังเลอยู่สักครู่ก่อนที่จะเอานิ้วไปจิ้มที่ขวดสองสามครั้ง แต่ไม่มีการตอบสนอง เขาจึงหยิบมันขึ้นมาดูอย่างระวังอีกครั้ง เขาวางมันลงบนโต๊ะและนั่งอยู่ใกล้ๆ มองดูสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเห็นนี้อย่างตื่นเต้น
หานลี่จ้องตาไม่กระพริบ เขารวบรวมสมาธิทั้งหมดจ้องไปยังแสงสีขาวนั้นกว่าสิบห้านาที ในที่สุดเขาก็พบสิ่งเร้นลับที่อยู่ในนั้น
เมื่อมองผ่านชั้นนอกของขวดเข้าไปจะเห็นว่ามันกำลังดูดซับลำแสงสีขาวที่ลอยไปลอยมาอยู่รอบๆ นั้น ไม่สิ ไม่ใช่ดูดซับ แต่เหมือนลำแสงเหล่านั้นกำลังพยายามเบียดกันเข้าไปในขวดราวกับว่าพวกมันมีชีวิต
หานลี่รู้สึกแปลกใจจึงใช้ปลายนิ้วแตะเข้าไปที่จุดสีขาวนั้น
รู้สึกเย็นๆ นอกนั้นก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกพิเศษอะไร
หานลี่เงยหน้ามองดู
ลำแสงแต่ละสายยังคงพุ่งตรงเข้ามาจากหน้าต่างบนหลังคาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
หานลี่จ้องมองไปที่หน้าต่างบานอื่นที่ปิดอยู่จากนั้นก็แหงนขึ้นไปมองหน้าต่างบนหลังคาที่เปิดอยู่
เขาคิดอะไรบางอย่างออก เขาเปิดหน้าต่างออกและชะโงกหน้าออกไปดูบริเวณรอบ
โชคดีที่ตอนนี้มันดึกแล้ว นอกจากเสียงแมลงที่ร้องกันเซ็งแซ่ ข้างนอกก็เงียบสงัดและไม่มีใครเลยสักคน
หานลี่หันหน้ากลับเข้ามาในห้องและหยิบขวดใส่กลับเข้าไปในถุง จากนั้นก็รีบวิ่งออกไป
เขาวิ่งไปจนถึงสถานที่โล่งเงียบสงบและไม่มีคน และเขาจึงตัดสินใจหยุดลงที่นั่น
เขาใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นจริงๆ เขาจึงหยิบขวดออกมาจากนั้นก็วางมันลงบนพื้น
ลำแสงสีขาวที่ปรากฎรอบขวดก่อนหน้านี้หายไปจนหมดตั้งแต่ตอนเขาเก็บขวดเข้าไปไว้ในถุงแล้ว
แต่หานลี่ก็ไม่ได้เป็นกังวล
และก็เป็นอย่างที่เขาคิด สักพักก็มีลำแสงหลายเส้นซึ่งมากกว่าตอนอยู่ในห้องเสียอีก พวกมันมาจากทุกทิศทาง จากนั้นจุดสีขาวมากมายก็ล้อมรอบขวดอยู่นับไม่ถ้วนจนกลายเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า