Chapter0049

  ตอนที่ 23 ผลที่ได้ หวนกลับ

ภายใต้บรรยากาศอันมืดมิดนั้น ในยามนี้อวี๋จิ้งชิวรู้สึกพิเศษเป็นอย่างยิ่ง

ตอนแรกเพราะอานุภาพกดดันของใต้เท้าเทวทูต นางก็ปล่อยวาง เตรียมต้อนรับความตายแล้ว! แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ก่อนหน้านี้ดูสามัญไม่สะดุดตามาตลอดก็ก้าวออกมา เผยพละกำลังที่ทำให้นางประหลาดใจสังหารใต้เท้าเทวทูตซึ่งๆ หน้า!ในเวลานี้เอง หลูหวายหรูก็ตัดสินใจเลือกกลับบ้านเก่าพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง นางยังถูกซือไป่หรงยึดเป็นโล่กั้นอยู่ข้างหน้า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แทบจะต้องตายอีกครา

แล้วก็ถูกช่วยไว้อีกครั้ง

ภายใต้ความมืดและก้อนหินกระจัดกระจายนับไม่ถ้วนที่ฝังกลบเอาไว้ ในใจของอวี๋จิ้งชิวมีรสชาตินับร้อยอย่าง

“ปัง!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นคราหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้แขนข้างเดียวออกแรงดันก้อนหินนับไม่ถ้วนที่กดทับอยู่บนโล่ออกไปจนก้อนหินเหล่านั้นปลิวว่อน

“พวกเราไปกันเถอะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันใช้มือข้างเดียวโอบเอวอวี๋จิ้งชิวแล้วทะยานขึ้นในพริบตา ขณะเดียวกันโล่ก็ตบอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แทบจะหลายสิบครั้งในพริบตาเดียว ทำให้ก้อนหินที่ร่วงหล่นลงมาทั้งหมดล้วนถูกตบลอยละลิ่วไป

การใช้มือข้างเดียวโอบเอวนักเวทย์สาวรูปงามนั้นดูเหมือนจะงดงามยิ่ง แต่ความจริงแล้วเพราะผิวกายของอวี๋จิ้งชิวมีเกราะน้ำแข็งคุ้มกันอยู่ตลอด ความรู้สึกที่อุ้มขึ้นมาจึงธรรมดามากจริงๆ เพราะทั้งแข็งทั้งเย็นเยียบยิ่ง ไม่สบายเลยสักนิด

“ตุ้บ” เมื่อร่อนลงบนกองหินด้านข้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางอวี๋จิ้งชิวลง

“เจ้าระวังหน่อย ทั่วทั้งตำหนักใหญ่อาจมีพวกหินก้อนใหญ่ร่วงลงมาได้ตลอดเวลา หรืออาจถึงขั้นถล่มลงมาครั้งที่สองได้ จะอย่างไรก็อย่าถอดเกราะน้ำแข็งของเจ้าออกเด็ดขาดนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางสายตากวาดสำรวจรอบๆ ก็พบว่ามีหลายแห่งที่ถล่มลงมาอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งเสาและผนังของเขตปราการเมืองชั้นในชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองที่ค้ำแผ่นหินด้านบนเอาไว้

เสาหินและผนังที่ค้ำอยู่นั้นไม่เอียงก็ล้มลงมาเสียแล้ว บางทียังมีก้อนหินร่วงลงมาอีกด้วย

ก้อนหินที่ร่วงลงมาเหล่านี้สำหรับบรรดาอัศวินที่เก่งกาจแล้วไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด แต่สำหรับนักเวทย์ที่ร่างกายเล็กบางอ่อนแอแล้วกลับเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นจึงต้องรักษาเวทมนตร์คุ้มกายเอาไว้ตลอดเวลา

   "อื้อ” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้าน้อยๆ “ท่าน…”

“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทะยานออกไปไกลแล้ว หยิบหอกยาวออกไปอย่างรวดเร็ว ก้อนหินปลิวกระจาย เห็นได้ชัดว่าออกไปตามหาร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น

แต่การระเบิดเช่นนี้ ขนาดร่างของใต้เท้าเทวทูตก็ยังแหลกสลายกระจายไปอย่างสิ้นเชิง ถึงอย่างไรอานุภาพของระเบิดนี้ก็สามารถสังหารอัศวินจันทร์เงินจนตายได้ เมื่อไม่มีวิถีการต่อสู้คุ้มกาย ไม่ว่าจะเป็นถังสง ใต้เท้าเทวทูต หรือหลูหวายหรู ร่างก็ล้วนแหลกสลายกระจายไปจนยากจะแยกแยะได้แล้ว ซือไป่หรงนั่นก็ไร้ร่างที่สมบูรณ์แล้วเช่นกัน

“ของที่พวกเขาทิ้งไว้ก็ล้วนหาเจอหมดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปยังข้างกายอวี๋จิ้งชิว

“ดี” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า เดินออกไปข้างนอกเคียงข้างตงป๋อเสวี่ยอิง ในยามนี้ผนังของตำหนักใหญ่ล้วนแตกร้าว ถึงขั้นว่าชั้นบนร่วงลงมา จึงเดินออกไปได้อย่างง่ายดายเป็นธรรมดา

ต่อให้ไม่มีทางออก ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้แกร่งกล้าที่มีพลังชั้นชั้นสมญาผู้นี้ก็สามารถเปิดทางสักสายออกมาได้

“ตงป๋อเสวี่ยอิง ขอบคุณนะ” เสียงของอวี๋จิ้งชิวแฝงความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้า หากมิใช่เพราะท่านแล้ว ข้าต้องตายแน่”

เมื่อครู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น หากตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ช่วยนางก็ถือว่าเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง

“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับเจ้ากลับเกี่ยวพันถึงชีวิต” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีรังสีเยียบเย็นพาดผ่าน “เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าเจ้าซือไป่หรงนั่นจะไร้ยางอายถึงเพียงนั้น”

อัศวินคนหนึ่งยึดนักเวทย์คนหนึ่งเป็นโล่อย่างนั้นหรือ

นับว่าตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเช่นนี้” ความรู้สึกเกลียดชังและกล่าวโทษที่อวี๋จิ้งชิวมีต่อซือไป่หรงก็มลายกานไปแล้ว อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ตายไปแล้ว “ตงป๋อเสวี่ยอิง ท่านวางใจเถอะ เรื่องเกี่ยวกับซือไป่หรงข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความ เรื่องที่เกิดขึ้นข้างในข้าก็จะไม่พูดมากเช่นกัน”

อวี๋จิ้งชิวรู้สึกว่าอีกฝ่ายเก็บงำพลังที่แท้จริงมาตลอดจนถึงยามคับขันจึงเปิดเผยออกมา เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะช่วยป่าวประกาศออกไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองนางแวบหนึ่งยิ้มๆ

“อุ้ย ขาท่านเลือดไหลอยู่น่ะ” ทันใดนั้นอวี๋จิ้งชิวก็พบว่าเท้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยเลือด เป็นแผลจากการระเบิดก่อนหน้านี้นั่นเอง

“ฮ่าฮ่า เลือดไม่ไหลตั้งนานจนแห้งหมดแล้วล่ะ แผลเล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งเท่าใด พลังฟื้นฟูร่างกายก็ยิ่งน่าตะลึงมากขึ้นเท่านั้น การบาดเจ็บที่เนื้อหนังดีขึ้นจนสมบูรณ์แล้ว ขนาดรอยแผลบนผิวหนังก็มองไม่เห็นแม้แต่น้อยแล้ว

ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

  บุรุษอาภรณ์ดำ สตรีอาภรณ์เขียวทั้งร่างถูกห่อหุ้มอยู่ในเกราะน้ำแข็ง

“เป็นเหลียงยง” พวกเขาเดินไปครู่หนึ่งจึงเห็นร่างไร้วิญญาณของเหลียงยง ถึงอย่างไรทั้งปราการเมืองชั้นในก็กินพื้นที่หนึ่งถึงสองลี้ การระเบิดนั้นเพียงแต่ทำลายตำหนักใต้ดินและทำให้บริเวณชั้นหนึ่งชั้นสองบางส่วนถล่มลงมาเท่านั้น โดยรวมแล้วทั้งปราการเมืองชั้นในยังคงสภาพเดิมอยู่ อย่างน้อยระเบียงซึ่งเหลียงยงนอนอยู่นี้ก็ยังแทบจะสมบูรณ์อยู่

“นับว่าเขาก็ยังมีร่างที่สมบูรณ์อยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

  ……

ทั้งสองเดินออกจากปราการเมืองชั้นในของปราการเมืองตระกูลหลูที่ถูกน้ำแข็งปิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์ไปอย่างรวดเร็ว ทหารและบ่าวรับใช้เหล่านั้นหนีไปไกลนานแล้ว

ทั้งสองเงยหน้ามองข้างบน แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทหมดแล้ว แต่สายตาอันน่ากลัวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นเรือบินที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยเมตรได้ชัดเจน

“ลงมาเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะโกนเสียงสูง เสียงนั้นสะท้อนก้องกลับมาท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบงัน

  ฟิ้ว…

เรือบินสีเงินซึ่งทำหน้าที่เฝ้าดูอยู่บนฟ้าไกลมาตลอด ลงจอดอย่างรวดเร็วตรงที่ว่างหน้าพวกเขาพอดิบพอดี

“แค่พวกท่านสองคนหรือ” คนของหอภูผามังกรทั้งสองเดินออกมา “แล้วผู้อื่นเล่า ซือไป่หรงเล่า”

“ตายหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหยิบวัตถุเวทมนตร์อารักษ์สามชิ้นออกมา “กำไลแขนวงนี้เป็นขอเหลียงยง เกราะแขนอันนี้เป็นของซือไป่หรง ส่วนแหวนวงนี้เป็นของถังสง ขอพวกท่านโปรดส่งคืนคนในตระกูลของพวกเขาด้วย!”

“ตายหมดแล้วหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตายหมดแล้วหรือ” คนของหอภูผามังกรทั้งสองประหลาดใจ หนึ่งในอัศวินรับวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ทั้งสามชิ้นนี้มา เนื่องด้วยผู้ที่รับภารกิจของหอภูผามังกรแล้วสิ้นชีพนับว่ามีอยู่มาก โดยทั่วไปสมบัติที่ทิ้งไว้ก็ล้วนส่งกลับไปยังแต่ละตระกูล นี่ก็คือกฎที่ตั้งขึ้นมาในหลายปีนี้ ส่วนสมบัติมีค่าที่ทิ้งเอาไว้จะถูกเพื่อนร่วมภารกิจหยิบไปบ้างหรือไม่นั้น แน่นอนว่าพูดยากแล้ว

อัศวินผู้นั้นก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งแล้วไม่พูดอะไร

ต่อให้นำทรัพย์สินมีค่าเช่นตั๋วเงินไปบ้างก็ไม่มีหลักฐาน!

   แท้จริงแล้ว...

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้หยิบสิ่งของในวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ของทั้งสามคนนี้ไปเลยสักชิ้นเดียว อย่างกำไลแขนของเหลียงยง ยังเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีกที่ค้นเจอจากในวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ของซือไป่หรง! หากไม่ใช่เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เป็นไปได้มากว่าทรัพย์สินมีค่าของเหลียงยงอาจถูกซือไป่หรงยักยอกไป!

“ยังคิดว่าซือไป่หรงนี่มีทรัพย์สินมากมายเสียอีก ที่ไหนได้กลับยากจนยิ่งนัก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดในใจ เป็นเพราะเขาได้ลองหลอมแปรดูแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่าซือไป่หรงยังร่ำรวยสู้ถังสงไม่ได้เลย! เห็นได้ชัดว่าตระกูลใหญ่เช่น ‘ตระกูลซือ’ นั้น ควบคุมเรื่องเงินทองอย่างเข้มงวด ลูกหลานเจ้าสำราญที่ไม่ยอมผจญอันตรายเช่นนี้มีเงินทองเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง

ผู้ที่ปกติสวมอาภรณ์ที่ดูหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ในถุงเงินกลับลีบแบนยิ่ง ยังสู้บุคคลที่รุ่งเรืองขึ้นมาด้วยกำลังของตนเอง เผชิญความเป็นความตายครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้มิได้เลย

แน่นอนว่าทรัพย์สินของทั้งสามคนนี้รวมเข้าด้วยกันแล้วยังไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของใต้เท้าเทวทูตเลย!

“เทวทูตผู้นี้มั่งคั่งจริงเชียว” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงย้อนคิดกลับไปก็ตกตะลึงอยู่บ้าง

  เขาไหนเลยจะรู้ขั้นตอนความรุ่งโรจน์ของเทวทูตผู้นี้ และถึงขั้นทำให้ผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาที่มีพลังใกล้เคียงกันผู้หนึ่งต้องตาย ดังนั้นเขาจึงมีแหวนเก็บวัตถุที่มีพื้นที่มากมายอยู่ถึงสองวง

“แต่ก่อนข้าตงป๋อเสวี่ยอิงมีตำลึงทองค่อนข้างอัตคัต เกรงว่าเพียงครู่เดียวก็นับว่าเป็นผู้มั่งคั่งที่สุดหนึ่งในสิบอันดับแรกของเมืองชิงเหอแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด “เกรงว่าคงมีเพียงชั้นสมญาบางคนจึงเทียบกับข้าได้กระมัง เอ้อ กลับไปครั้งนี้ต้องซื้อเครื่องมือนักเวทย์คุ้มกายให้น้องชายสักหลายชิ้น ที่ข้านี่ยังมีสาส์นเวทมนตร์ที่เยี่ยมยอดอีกหลายอัน ก็ต้องมอบให้น้องเช่นกัน”

สาส์นเวทมนตร์สามารถดึงดูดพลังฟ้าดินแล้วปลดปล่อยเป็นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งออกมาได้ แต่ว่าต้องอาศัยการเหนี่ยวนำจากนักเวทย์ ดังนั้นอัศวินจึงมิอาจใช้สาส์นเวทมนตร์ได้

แน่นอนว่า...เมื่ออยู่ต่อหน้าชั้นสมญาที่ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ สาส์นเวทมนตร์ก็มิอาจเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ ก็ไร้ประโยชน์แล้ว

ผู้ที่จะสามารถข่มขวัญชั้นสมญาได้ หากมิใช่ชั้นสมญาเช่นเดียวกัน ก็ต้องเป็นเหนือธรรมดาแล้ว!

“ต้องเสริมปราการเมืองศิลาหิมะของข้าให้แข็งแกร่งเสียหน่อย เอ้อ ทำคทาเวทย์ดีๆ สักอันให้เจ้าเด็กโยวเยวี่ยด้วย” หลายปีมานี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่เคยร่ำรวยแล้วใจป้ำเช่นนี้มาก่อน ทรัพย์สมบัติที่สะสมเอาไว้ของใต้เท้าเทวทูตผู้มีชีวิตอยู่มาหลายปีล้วนตกอยู่ในมือเขา นี่ยังมั่งคั่งกว่าตระกูลชั้นสมญาทั่วไปบางตระกูลเสียอีก

   “เป็นหลูหวายหรูที่ทำให้ชั้นใต้ดินของตำหนักใหญ่ระเบิด เพราะคิดจะกลับบ้านเก่าไปพร้อมพวกเรา พวกท่านไปดูก็จะรู้เอง” อวี๋จิ้งชิวไม่ได้พูดให้ละเอียด

“หอภูผามังกรเมืองชวีไท่จะมารับช่วงงานที่นี่ต่อในไม่ช้า ตอนนี้พวกเราจะไปส่งท่านทั้งสองกลับตัวเมืองก่อน”

“ประเสริฐ”

   ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวล้วนพยักหน้า เดินขึ้นเรือบินไป

บนเรือบิน อวี๋จิ้งชิวจึงค่อยสลายเกราะน้ำแข็งออก นัยน์ตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึกของนาง มองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ “ตงป๋อเสวี่ยอิง ประเดี๋ยวถึงตัวเมืองแล้ว ท่านก็จะเตรียมกลับไปแล้วหรือ”

      “ถูกต้อง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

   “ท่านอยู่ที่ใดในเมืองชิงเหอหรือ” อวี๋จิ้งชิวถามด้วยความอยากรู้

“แดนอินทรีหิมะแห่งเมืองอี๋สุ่ย ยินดีต้อนรับนักเวทย์จิ้งชิวมายังแดนใต้อาณัติเล็กๆ นั้นของข้าตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“เมืองอี๋สุ่ยหรือ”

    อวี๋จิ้งชิวพยักหน้าน้อยๆ

ท้องฟ้ายามราตรีนอกเรือบินมืดมิด ค่ำคืนนี้ไร้แสงจันทร์อย่างสิ้นเชิง เรือบินเหินไปด้วยความเร็วสูง เสียงลมลอยแว่วมา หัวใจของอวี๋จิ้งชิวสะท้อนขึ้นลง นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาแล้วเริ่มเงียบงันลง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางจะจดจำไม่ลืมเลือนไปชั่วชีวิต

…………………………………………………………………………………