Chapter0050

ตอนที่ 24 การสนทนาของนักเวทย์

     ยามเช้าตรู่วันต่อมา เรือบินจึงลงจอดที่หอภูผามังกรในตัวเมือง

“วันนี้ข้าจะกลับสำนักลมหวนเดิม ระหว่างการระเบิดครั้งนี้ข้าได้ร่ายคาถาพวกเวทมนตร์น้ำแข็งออกมาแล้วเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้น กะว่าจะกลับสำนักเดิมไปค้นคว้าให้ดีเสียหน่อย อาจจะไม่ได้กลับเมืองชิงเหออีกนานทีเดียว” อวี๋จิ้งชิวเพิ่งนั่งลงบนหลังสัตว์ปีกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งก็พลันพูดขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงโพล่งวาจานี้ออกมา

“สำนักลมหวนเดิม ข้ายังไม่เคยไปเลย หากมีเวลาต้องไปสักคราแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพูดอย่างสบายๆ

“อืม”

อวี๋จิ้งชิวไม่ได้พูดอะไรอีก สัตว์มารมีปีกสีแดงเพลิงทะยานบินขึ้นไปในทันใด เส้นผมของอวี๋จิ้งชิวในอาภรณ์สีเขียวปลิวไสว เร่งออกไปด้วยความเร็ว

บนฟ้าไกลนั้น นางหันกลับมามองหอภูผามังกรที่เหลือเล็กนิดเดียวแวบหนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปยังทิศใต้

  ……

ตงป๋อเสวี่ยอิงขี่ม้าย่ำหิมะออกจากหอภูผามังกร จนมาถึงร้านขายวัตถุมีค่าของนักเวทย์แห่งหนึ่งในตัวเมือง ภายในร้านเงียบเชียบยิ่งนัก มีลูกค้าเพียงไม่กี่ราย อย่างไรเสียนักเวทย์ก็มีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว ผู้ที่มาซื้อวัตถุมีค่าก็ยิ่งน้อยไปใหญ่

“ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก...” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงจากม้าแล้วส่งม้าให้บ่าวรับใช้

“ใต้เท้าท่านนี้” สาวใช้ออกมาต้อนรับในทันที

“แนะนำเครื่องมือนักเวทย์ชั้นฟ้าพวกน้ำแข็งที่มีในร้านของพวกเจ้าทั้งหมดให้ข้าฟังสักรอบสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดสบายๆ สายตาของสาวใช้ดูแปลกใจอยู่บ้าง...แนะนำทั้งหมดรอบหนึ่งอย่างนั้นหรือ ลูกค้าท่านนี้โอหังพอตัวทีเดียว ไม่รู้ว่ามีความสามารถจริงหรือแค่จงใจทรมานคนกันแน่ แต่ทว่าสาวใช้ผู้นี้ก็ยังแนะนำเครื่องมือให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทีละชิ้นโดยย่อ

“กำไลคิมหันต์หนาวเหน็บ เครื่องมือชั้นฟ้าชั้นยอด! ข้างในมีรูปแบบเขตแดนเกล็ดน้ำแข็งขนาดย่อมที่ดัดแปลงเอาไว้ อานุภาพยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับสามส่วนของเขตแดนน้ำค้างแข็งที่นักเวทย์ชั้นดาวตกร่ายออกมา!” สาวใช้พูดอย่างคล่องแคล่ว “หากมีเครื่องมือนี้แล้ว นักเวทย์ธรรมดาก็สามารถร่าย ‘เขตแดนเกล็ดน้ำแข็งขนาดย่อม’ ออกมาได้ในทันใด”

“พูดต่อไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจว่าจะเอาเครื่องมือชิ้นนี้ในอึดใจเดียว

“กำไลวงนี้ เป็นเครื่องมือชั้นฟ้าขั้นกลาง ด้านในมีค่ายกลอยู่ หากออกแรงกระตุ้นแล้ว อานุภาพเทียบได้ดั่งคลื่นศรคลั่งที่นักเวทย์ชั้นฟ้าร่ายออกมา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังไปพลางเลือกสรรไปพลาง

รูปแบบเวทมนตร์ภายในเครื่องมือนักเวทย์นั้นล้วนตายตัวและเสถียรนัก นักเวทย์เพียงใส่พลังเวทย์เข้าไปก็สามารถกระตุ้นให้ออกมาได้แล้ว! นับว่าสะดวกที่สุด...แน่นอนว่าอานุภาพที่เครื่องมือนักเวทย์แสดงออกมาก็ไม่มีทางยกระดับได้ นักเวทย์ผู้แข็งแกร่งนั้นก็ยังจำเป็นต้องอาศัยการทุ่มเทค้นคว้าของตนเอง เพื่อจะได้สร้างรูปแบบเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งกว่า

ถึงขั้นที่ว่า ต่อให้นักเวทย์ชั้นจันทร์เงินคนหนึ่งมีเครื่องมือนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยม เมื่อชั้นสมญาควบคุมพลังฟ้าดินเอาไว้ ก็ร่ายเวทมนตร์ออกมาไม่ได้

ดังนั้นพลังที่แท้จริงของตนแข็งแกร่งจึงจะเป็นแก่นแท้!

แน่นอนว่า…

โอกาสที่จะพบชั้นสมญานั้นมีน้อยยิ่ง ทุกวันนี้น้องชายยังเป็นเพียงนักเวทย์ธรรมดา อย่างมากที่สุดก็สามารถกระตุ้นเครื่องมือนักเวทย์ชั้นฟ้าได้เท่านั้น! ส่วนเครื่องมือนักเวทย์ชั้นดาวตกนั้นกระตุ้นไม่ไหวแน่

“อืม ไม่เลว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกอย่างพิถีพิถัน “อันนี้ อันนี้ อันนี้ ยังมีอีกอัน ยังมีอันนี้ด้วย เอามาให้ข้าหมดเลย”

สาวใช้เบิกตาโพลงอ้าปากหวอ

สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกล้วนเป็นเครื่องมือชั้นฟ้าชั้นยอดทั้งสิ้น! สิ่งใดที่เรียกว่าเครื่องมือชั้นฟ้าชั้นยอดน่ะหรือ ก็เครื่องมือที่มีอานุภาพสามสี่ส่วนของเวทมนตร์ชั้นดาวตก หรือไม่ก็เป็นเครื่องมือที่สรรค์สร้างออกมาค่อนข้างจะพิเศษนั่นอย่างไรเล่า

“คำนวณดูสิว่าต้องใช้สักกี่ตำลึงทอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“เอ้อ ใช่แล้ว คทาเวทย์ด้ามนั้นก็ให้ข้าด้วย แล้วก็อาภรณ์นักเวทย์ชุดนั้นด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เลือกคทาเวทย์และอาภรณ์นักเวทย์ให้โยวเยวี่ยเช่นกัน  หากเทียบกันแล้วราคาของคทาเวทย์ก็นับว่าถูกกว่ามาก เพียงแค่สองพันตำลึงทองเท่านั้น  ที่จริงแล้วหน้าที่ของคทาเวทย์ก็คือช่วยนักเวทย์ร่ายเวทมนตร์ออกมา นักเวทย์ที่พลังอ่อนแอเกินไป...ถึงมอบคทาเวทย์ขั้นสุดยอดให้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดนัก

ส่วนอาภรณ์นักเวทย์นั้น ที่จริงแล้วเป็นเครื่องมือนักเวทย์ชั้นฟ้าชิ้นหนึ่ง แต่กลับราคาสูงลิ่วกว่ามาก ต้องใช้ถึงหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึงทอง

   ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าด้วยความสัมพันธ์ของตนและโยวเยวี่ย มอบของเท่านี้ให้ก็เพียงพอแล้ว  ยังไม่ต้องมอบของที่ดีที่สุดให้เช่นเดียวกับน้องชาย

   “ใต้เท้าท่านนี้” ทันใดนั้นหลงจู๊ก็ถูกเรียกตัวออกมา เขาพูดขึ้นว่า “เครื่องมือชั้นฟ้าชั้นยอดห้าชิ้นนี้ค่อนข้างแพงอยู่บ้าง ปัดเศษทิ้งไป ทั้งหมดก็สองแสนตำลึงทอง! ส่วนอาภรณ์นักเวทย์และคทาเวทย์นั้นสองหมื่นตำลึงทอง! ฮ่าฮ่า รวมทั้งสิ้นคิดเป็น...สองแสนตำลึงทองก็แล้วกัน หวังว่าหลังจากนี้ท่านจะมาเยี่ยมเยียนพวกเราให้มากๆ ราคาที่ข้าให้ท่านนี้ ข้ามิกล้าพูดว่าเป็นราคาที่ถูกที่สุดในทั้งเมืองชิงเหอ แต่ก็คงไม่ต่างกันมากสักเท่าไหร่แล้ว”

ทั้งเมืองนี้ ผู้ที่กล้าทุ่มสองแสนตำลึงทองในคราวเดียวมีอยู่ไม่กี่คนหรอก! เช่นก้ายปินแห่งกองดาบโค้งต้องฆ่าฟันปล้นสะดมอย่างบ้าคลั่งมาหลายปีเพียงนั้นยังมีตำลึงทองแค่เท่าไหร่กัน

เกรงว่าคงจะต้องเป็นตระกูลที่มีเป็นล้านตำลึงทองจึงกล้าใช้เงินครั้งเดียวมากเพียงนี้กระมัง ลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องรักษาไว้ให้ดีอยู่แล้ว

   “อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าคือ…” หลงจู๊ลดเสียงลงถาม

“ตงป๋อ เรียกข้าว่่าตงป๋อก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ใต้เท้าตงป๋อ ‘หอจันทร์ชาด’ ของเรามีสาขามากมายในแคว้นอันหยางสิง นี่คือวัตถุคำมั่น หลังจากนี้ไปต่อให้ซื้อของที่แม้จะถูกกว่านี้ ก็ล้วนลดราคาได้หนึ่งส่วน” หลงจู๊รีบมอบป้ายสีทองม่วงอันหนึ่งให้ทันที เห็นได้ชัดว่าก็เป็นสิ่งที่พวกนักเวทย์ทำขึ้นมาเช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วของที่ตงป๋อเสวี่ยอิงซื้อในครั้งนี้ก็คิดเศษด้วย แต่ลดราคาหนึ่งส่วนก็เป็นเงินสองแสนตำลึงทองกับอีกเล็กน้อยพอดี

หลงจู๊ก็ตัดสินใจแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปสืบให้ดีๆ ว่าทั้งเมืองชิงเหอมีบุคคลเยี่ยมยอดที่สามารถทุ่มเงินได้ถึงสองแสนตำลึงทองในคราเดียวเช่นนี้โผล่มาจากที่ใดกัน

  ……

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปซื้อเครื่องมือแปรธาตุมาอีกเล็กน้อย พวกเสื้อผ้าอาภรณ์และเกราะชั้นในของตนล้วนไม่ได้ดีอะไรนัก แย่กว่าอัศวินจันทร์เงินจำนวนมากเสียอีก แล้วก็ยังต้องไปซื้อของดีๆ ให้ท่านอาจงและท่านอาถงทั้งชุดด้วย หลังซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในวันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขี่ม้าย่ำหิมะเร่งกลับไปยังเมืองอี๋สุ่ยโดยมิได้หยุด

เร่งเดินทางอย่างต่อเนื่องมาสองวัน พลบค่ำของวันที่สองก็เร่งมาจนถึงแดนอินทรีหิมะจนได้

“ในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นภูเขาศิลาหิมะสูงตระหง่านและปราการเมืองบนยอดเขานั้นมาแต่ไกลก็ลิงโลดใจอย่างยิ่ง นี่สิจึงจะเป็นบ้านของตน

กุบกับ กุบกับ...

กีบเท้าม้าเหินทะยาน มาถึงปราการเมืองอย่างรวดเร็ว

“ใต้เท้าเจ้าแดนกลับมาแล้ว”

“ใต้เท้าเจ้าแดนกลับมาแล้ว รีบไปเรียนคุณชายน้อยชิงสือเร็วเข้า”

    ทั้งปราการเมืองอึกทึกคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สะพานแขวนถูกปล่อยลงมา ประตูเมืองก็เริ่มเปิดออกช้าๆ

จงหลิงและมนุษย์สิงห์ถงซานก็มาต้อนรับถึงประตูเมืองด้วยสีหน้าปีติยินดีอย่างยิ่ง

“ท่านอาจง ท่านอาถง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงจากหลังม้าแล้วยิ้มพูด

“เจ้าเร่งเดินทางมาตลอดทางคงลำบากแล้วกระมัง ชิงสือยังอยู่กับอาจารย์เขาโน่น พวกบ่าวรับใช้ไปส่งข่าวแล้ว เชื่อว่าชิงสือและโยวเยวี่ยคงกลับมาในเร็วๆ นี้แน่” จงหลิงยิ้มพูด

    ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางพยักหน้า ตนเตรียมของกำนัลมาให้พวกเขาพอดี

“ใช่แล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกเจ้า ‘ซือเฉิน’ นักเวทย์ผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลซือมาหาพวกเราที่นี่” จงหลิงกล่าว

“ตระกูลซือหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว หรือว่าเพราะการตายของซือไป่หรง แต่ว่ากันตามหลักแล้ว ตระกูลซือไม่ควรจะรู้รายนามของคนทั้งห้าที่เข้าร่วมภารกิจจึงจะถูก หอภูผามังกรมิกล้าเปิดเผย และก็เป็นไปไม่ได้ที่อวี๋จิ้งชิวจะพูดออกไปเช่นกัน อีกทั้งอวี๋จิ้งชิวก็กลับไปสำนักลมหวนก่อนแล้ว

“สองวันก่อนหน้านี้เอง นักเวทย์ซือเฉินผู้นี้ตั้งใจมาเพื่อเยี่ยมปรมาจารย์อวี๋จิ้งชิวโดยเฉพาะ พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นนักเวทย์ชั้นดาวตก ว่ากันว่าต้องการสนทนากันเรื่องการค้นคว้าบางอย่าง...” จงหลิงพูด “เสวี่ยอิง เจ้าก็รู้สถานะของตระกูลซือในเมืองชิงเหอเรา ข้าก็ไม่กล้าเพิกเฉย แต่ว่ายังดีที่ซือเฉินผู้นี้อาศัยอยู่ที่หอนักเวทย์ตลอดเวลา แต่ว่าในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ไปพบเขาเสียหน่อยเถอะ”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้

เพิ่งจะได้พบกับซือไป่หรงแห่งตระกูลซือระหว่างภารกิจ มาบัดนี้ก็มีนักเวทย์คนหนึ่งนาม ‘ซือเฉิน’ มาหาตนถึงที่นี่ ทว่าในเมื่อเขามาถึงที่นี่ตั้งแต่สองวันก่อน ก็ควรจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของซือไป่หรง

   “เห็นทีข้าและตระกูลซือจะมีวาสนาต่อกันยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ

“ท่านอาจง ช่วยส่งคนไปเรียนเชิญคุณชายน้อยตระกูลซือท่านนี้ให้มาร่วมงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้เสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

…………………………………………………………………………………………………..